Skip to main content

ชื่อบทความเดิม : เยือนสวนทูนอิน อ่านชีวิต ความคิด 75 กะรัต 'รงค์ วงษ์สวรรค์

 

ภู เชียงดาว : เรียบเรียง/รายงาน

 

 

 

หมายเหตุ : นี่เป็นมุมมองชีวิต ความคิด ว่าด้วยการเมือง ทหาร การปฏิวัติ สุขภาพ และการเขียนหนังสือ ของ ' รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2538 ที่ได้ถ่ายทอดออกมา เมื่อ 20 พ.ค.2550 ณ สวนทูนอิน โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

 

รายงานชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ ใน นิตยสารขวัญเรือน' ปักษ์แรก กรกฎาคม 2550 ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเรียบเรียง/รายงาน ใน ประชาไท' อีกครั้ง เพื่อเป็นการไว้อาลัยและรำลึกถึงการจากไปอย่างสงบของพญาอินทรีแห่งวรรณกรรม เมื่อค่ำของวันที่ 15 มี.ค.2552 

 

 

 http://blogazine.prachatai.com/upload/headline/headline_20090316-023338.jpg

'รงค์ วงษ์สวรรค์  ศิลปินแห่งชาติ ปี 2538  พญาอินทรีแห่งวรรณกรรม

 (ที่มาภาพ โอ ไม้จัตวา:http://www.flickr.com/photos/freemindcard/sets/72157594143593002/)

 

 20 พ.ค.2550 ผมมีโอกาสไปเยือนสวนทูนอิน โป่งแยง แม่ริม เชียงใหม่ อันเป็นถิ่นพำนักของ "พญาอินทรีบินเหนือดอยสูง" 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2538 อีกครั้งหนึ่ง

เป็นการไปเยือนคารวะในห้วง 75 กะรัตของนักเขียนผู้ยิ่งยงท่านนี้ เมื่อเก๋งสีครีมพาเราไต่ไปบนความสูงของดอยโป่งแยงอย่างช้า ๆ พอถึงตีนดอย รถตู้ที่จอดรับส่งพาเราขึ้นไปข้างบน บรรยากาศโดยรอบดูสงบ เงียบและงาม จังหวะที่รถกำลังตีโค้งตรงทางเข้าสวนทูนอิน ผมหันไปมองและอ่านถ้อยคำที่แขวนอยู่บนป้ายเล็ก ๆ ทางซ้ายมือ

 

"ฆ่าหม่อน ฆ่าไหม ฆ่าต้นไม้ ฆ่าเงาไม้"

 

ผมชอบป้ายอนุรักษ์ธรรมชาติของเจ้าของสวนแห่งนี้ เป็นสำนวนปรัชญา งามง่าย ชวนให้สะดุดและครุ่นคิด

 

"พวกกระทรวงป่าไม้น่าจะหัดเขียนป้ายแบบนี้บ้างนะ..." ผมครุ่นคำนึงกับตัวเอง

 

ถึงแล้ว...ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังนั่งกันอยู่บนลานกว้าง เราเข้าไปคารวะ รงค์ วงษ์สวรรค์ กับคุณสุมาลี คู่ชีวิตที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้โบราณ ก่อนพากันไปนั่งตรงซุ้มกินหอมตอมม่วน บรรยากาศเรียบง่าย เป็นกันเอง ทุกคนที่มาร่วมงานต่างพากันหอบหิ้วข้าวปลาอาหารมาฮ่วมฮอมกันเหมือนดั่งญาติมิตร

 

ผมนิ่งมอง รงค์ วงษ์สวรรค์ ใน พ.ศ.นี้ ยังรับรู้สึกได้ถึงพลังชีวิต พลังใจที่แข็งแกร่งและสดใหม่อยู่เสมอ แม้ว่าวันวัยจะผ่านล่วงมาถึง 75 ปีก็ตาม

 

เมื่อทุกคนทยอยขึ้นมากันจนหมดขบวนแล้ว "กรรณิการ์ เพชรแก้ว" นักข่าวสาวจากประชาชาติธุรกิจ เอ่ยทักทายแขกผู้มาเยือน ก่อนจะยื่นไมค์ให้กับเจ้าของบ้าน เจ้าของงานวันคล้ายวันเกิดในวันนั้น...

 

นานแล้วที่เราไม่ได้ฟังมุมมองความคิดของเขา- - รงค์ วงษ์สวรรค์

 

รงค์ วงษ์สวรรค์ เอ่ยออกมาเป็นประโยคแรกในวันนั้นว่า "...ถ้าสมมติว่าวันนี้เป็นวันเกิดผม ผมเกิดเมื่อ 6 โมงเช้าของวันนี้ และผมก็อายุ 75 ปีแล้ว ผมบอกตัวเองว่า บาทหนึ่งมีอยู่สี่สลึง สลึงหนึ่งมีอยู่ 25 สตางค์ ผมใช้ไปแล้ว สามสลึงถ้ามีใช้ได้ครบหนึ่งร้อยก็เหลืออยู่สลึงเดียว แต่คงไม่ครบหรอกครับ อีกซักเฟื้องหรือสิบสองสตางค์ก็น่าจะตายได้แล้ว..." 

 

เป็นการเกริ่นนำเหมือนกับจะบอกว่า รงค์ วงษ์สวรรค์ ณ พ.ศ.2550 นั้นมองชีวิตอย่างชัดเจนและเป็นสุข

 

"...ทุกวันนี้ผมมีความสุขด้วยเหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะคิดว่าตนเองไม่มีความทุกข์แค่นั้น คนเราที่ไม่มีความสุขเพราะไปคิดกังวลว่าเรามีความทุกข์ ทุกข์ว่าเมื่อไหร่จะเปลี่ยนรัฐบาล เมื่อไหร่จะเปลี่ยนรัฐมนตรีที่มันโกงลำไย เมื่อไหร่จะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ก็ได้เปลี่ยนแล้ว ทหารมาเปลี่ยนให้สะใจดีไหม? บอกว่าไม่ชอบทหาร ในที่สุดก็ต้องพึ่งทหารจนได้..."

 

เอาละสิ, แค่เริ่มต้นก็เริ่มครึกครื้นเสียแล้ว กับบทสนทนาว่าด้วยการเมืองไทยในห้วงยามนี้...

 

1. การเมือง ทหาร การปฏิวัติ

 

แน่นอน เป็นที่รับรู้กันดีว่า รงค์ วงษ์สวรรค์ นั้นผ่านการปฏิวัติมาหลายครั้งแล้ว นับครั้งยังทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ใช้ชีวิตความเป็นหนุ่มตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี

 

"...ผมทำงานหนังสือพิมพ์ เมื่ออายุ 20 ตอนนั้น จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จนปีนี้ 75 ก็เท่ากับทำงานหนังสือพิมพ์มา 55 ปี ได้ผ่านนายกรัฐมนตรีมาหลายคน ได้ผ่านรัฐมนตรีมาหลายคน ได้ผ่านการรัฐประหารมาหลายครั้งมาก จนรู้สึกเป็นเรื่องปกติ..."

 

เมื่อพูดการปฏิวัติ รัฐประหารครั้งล่าสุด เมื่อวันที่19 กันยายน 2549 ในนามของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ในระบอบประชาธิปไตยทรงเป็นประมุข(คมช.)

รงค์ บอกว่า การปฏิวัติกันครั้งนี้ ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่

 

"...แต่การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการปฏิวัติที่น่าแปลก แม้แต่ผมซึ่งทำงานกับงานข่าวตลอดเวลา ซึ่งไม่เคยเห็นเลย เพราะทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ ประชาชนที่ยืนข้างถนนส่วนมากเห็นทหารยืนอยู่นานเป็นวัน ๆ มักจะเอาน้ำไปให้ สมัยก่อนไม่มีขวดน้ำจะเป็นถุงโอเลี้ยง นมเย็น  ส้มเขียวหวานเอาไปให้ ถ้ายืนนานก็เอาข้าวผัดไปให้ แต่ยุคนี้น่าแปลกใจมาก มีคนเอาดอกไม้ไปให้ทหาร เอาพวงมาลัยไปสวมกระบอกปืนรถถัง เป็นเรื่องที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และที่น่าแปลกที่สุดคือ โคโยตี้ ไปเต้นหน้ารถถัง ปฏิวัติอะไร...มีระบำโป๊ไปเต้นให้ทหารดู..."

 

'รงค์ วงษ์สวรรค์ ‘2550 บอกย้ำด้วยน้ำเสียงขรึมปนขำ ว่า "การปฏิวัติครั้งนี้ประทับใจมาก นักปฏิวัติได้ดูระบำโป๊กลางถนน"

 

'รงค์ ยังเล่าเหตุการณ์การปฏิวัติแบบอารมณ์ขันอีกว่า เคยมีทหารไทยทำการปฏิวัติไม่สำเร็จครั้งหนึ่ง เพราะว่า มีทหารขับรถถังแล้วหลงถนน กระทั่งทหารต้องเอ่ยถามชาวบ้านไปว่า "รัฐสภาไปทางไหน?"

 

"จะไปยึดเขาดันหลง แปลกมาก เดินทางจากปราจีนบุรี มาจากกาญจนบุรี พอเข้ากรุงเทพฯ พวกเขาก็หลง ถ้าเป็นอย่างต่างประเทศ ทหารแพ้หมดเลย โดนลูกระเบิดตายเลย"

 

'รงค์ บอกถึงการปฏิวัติของไทยครั้งล่าสุดนี้ว่า การปฏิวัติแบบนี้ไม่ได้มีที่ไทยแห่งเดียว เมื่อ 10 กว่าปีที่ก่อน ที่โรมาเนีย มีทหารปฏิวัติเหมือนกัน เพื่อจะขับไล่เผด็จการชอเชสคู ซึ่งเป็นประธานาธิปดีที่โกงบ้านเมือง

 

"ผมเคยพาภรรยาไปดูบ้านของแก ในบ้านมีห้องนอนแค่ 800 กว่าห้อง เมียก็มีเพชรประมาณ 2-3 ถัง มีเครื่องเสื้อตัวละล้านกว่าบาทเป็นร้อย ๆ ตัว เป็นต้น มีรองเท้าประมาณพันกว่าคู่"

 

รงค์ บอกเล่าให้ฟังว่า มีสิ่งหนึ่งที่น่าบันทึกไว้ในการปฏิวัติครั้งนั้นที่โรมาเนีย มีทหารที่ไม่ยอมปฏิวัติโดนขึ้นศาลในข้อหาว่าทรยศต่อประชาชน พวกเขาต้องการปฏิวัติขนาดนั้น มีนายพลบางคนไม่อยากจะร่วมปฏิวัติเพราะอาจมีผลประโยชน์กับประธานาธิปดีคอร์รัปชั่นถูกขึ้นศาลทหารและถูกจำคุก แต่ก็แค่เพียง 3-5 เดือน พอเป็นพิธี พอให้รู้ว่าอย่าทรยศกับประชาชน

 

"ผมบังเอิญพาภรรยาไปเที่ยวหลังจากการปฏิวัติซัก 2 ปี ยังได้เห็นศพของนักศึกษา ประชาชนที่ตายจากการปฏิวัติ เพราะยิงกันมาก ยิงกันเมืองถล่ม ตึก 10-20 ชั้นล้มพังเลย และที่โรมาเนียมีประเพณีที่ผมอยากเอามาใช้ในเมืองไทย คือ ที่โรมาเนีย ใครตายตรงไหนก็ฝังตรงนั้นเลย แล้วทำไม้กางเขนไว้ เมืองไทยน่าจะทำบ้าง คือใครรบตรงตรงไหนก็ไปขีดเส้นไว้ พอปฏิวัติเสร็จก็เอาศพมาฝังไว้ตรงนั้นเลย บูคาเรสเป็นประเทศหลุมฝังศพทั้งเมืองเลย..."

 

'รงค์ ยังพูดติดตลกอีกว่า ปฏิวัติในเมืองไทยครั้งนี้ ก็สนุกดี ปฏิวัติมาแล้วก็ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นนักบวช แปลกมาก เพราะทุกทีเราให้นายพลเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ครั้งนี้เป็นนักบวช

 

กระนั้น 'รงค์ พยามจะบอกกับพวกเราว่า ควรมองโลกให้สนุก ถ้ามองโลกให้สนุกมันก็สนุก

 

"...สมัยที่ผมอายุ 30 กว่า ตอนที่เผด็จการมีอำนาจสูงสุดตอนนั้น ไม่ค่อยสนุกหรอก สำหรับชีวิตหนังสือพิมพ์ค่อนข้างมีอันตรายอยู่พอสมควร กับการเป็นฝ่ายค้านที่เขียนคัดค้านผู้มีอำนาจ แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าอันตรายก็จะน้อยลงไป..."

 

2. สุขภาพ

 

เมื่อพูดถึงเรื่อง "สุขภาพ" ของ รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่หลายคนเป็นห่วงเป็นใย

 

รงค์บอกกับเราว่า เป็นเพียงผู้ชายอายุ 75 ซึ่งไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ไม่เรียกตัวเองว่าเป็นคนป่วย และไม่เรียกตัวเองว่าเป็นคนพิการ แค่เป็นโรคไต เป็นโรคที่รักษาไม่ได้เท่านั้นเอง

 

รงค์ ยังพูดเรื่องประสบการณ์การผ่าตัด- -ชีวิต

 

"ผมมีประสบการณ์ผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้งในชีวิต ครั้งแรกที่ผ่าเกิดจากอาการที่ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าวันหนึ่งแล้วผมรู้สึกเบื่อชีวิต  คือปกติผมเป็นคนนอนหลับสนิทไม่ฝัน ถ้าคืนไหนฝันนั้นหมายความว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ปวดท้องก็ปวดหัว คือถ้าคืนไหนฝันแสดงว่าป่วย แต่เช้าวันนี้แย่กว่า คือเบื่อโลก เบื่อชีวิต จึงไปหาหมอที่ ศูนย์วิจัยของโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ หมอก็เลยตรวจให้หลังเที่ยง หมอก็เอาแผ่นฟิล์มมาให้ดูว่ามีอะไรบ้างในกระเพาะ ปรากฏว่าในลำไส้มีตุ่ม ๆ ขึ้นมากมายหลายสิบตุ่ม ทั้งตุ่มเล็กตุ่มใหญ่ มีตุ่มเท่าหัวแม่มืออยู่ในกระเพาะอาหาร ก็เลยสันนิษฐานได้อย่างเดียวว่าเป็นเนื้องอก..."

 

"...พอเป็นเนื้องอก ก็มีการสานต่ออีกว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า ตอนนั้นมีความทุกข์อยู่สองสามวัน ระหว่างที่เขาเอาเนื้อไปตรวจ แต่ผลก็ปรากฏว่าไม่ได้เป็นมะเร็งเป็นเนื้องอกธรรมดา สรุปแล้ว ก็เอาออกแล้วก็กลับมานอนที่บ้าน พักอยู่หลายเดือน..."

 

"...พออยู่ ๆ มาสะดือก็โป่งมาอีก ต้องไปผ่าตัดอีก ปรากฏว่าหมอผ่าตัดคนที่แล้วเรียงเส้นลำไส้ไม่สวยกลายเป็นไส้เลื่อน ก็เลยต้องกลายเป็นว่าผ่าตัด 2 หน ปีนั้นทั้งปีไม่ต้องทำอะไรเลยเดินขาถ่างอยู่ในบ้าน แต่ก็รอดพ้นจากมะเร็ง..." รงค์ บอกเล่าด้วยอารมณ์ขัน

 

รงค์ บอกกับเราด้วยว่าบักหำน้อย-บักจ่อย ลูกชายทั้งสองเคยยินดีสละไตให้

 

"...เคยมีความคิดว่าอยากจะเปลี่ยนไต ผมมีลูกชายสองคนคนแรกชื่อว่าบักหำน้อย เป็นชื่อที่เรียกน่ารักของชาวอีสาน คนเล็กชื่อว่าไอ่จ่อยแปลว่าผอม ลูกทั้งสองก็ยินดีที่จะสละไตให้ผม ผมก็คิดว่าจะผ่าตัดเปลี่ยนดีไม่ดี แต่ผมก็มาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับเด็ก ซึ่งผมเป็นพ่อของเขาเดินทางอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงหลุมฝังศพ ผมไม่ควรเอาอวัยวะที่จะต้องใช้ในการเจริญเติบโต ต่อสู้โลกของเขาเอามาเป็นของตัวเอง ผมก็เลยไม่เปลี่ยนไม่เอาไตของลูก..."

 

เหตุผลของ' รงค์ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนไตจากจีน

เพราะส่วนใหญ่ไตมาจากอำนาจและคอรัปชั่น !

 

รงค์ บอกว่า ก่อนไปประเทศจีน ก็ได้ไปที่กรุงเทพฯ มีเพื่อนรุ่นน้องเป็นทหารระดับพลเอกที่กองทัพบกบอกว่าจะลัดคิวให้ แต่ รงค์คิดว่ามันไม่ยุติธรรม เพราะเขาเข้าคิวมาเป็นปี ๆ เราจะมาลัดคิวด้วยอำนาจ ซึ่งทหารรุ่นน้องยศนายพลท่านนี้คงให้ด้วยความรักและหวังดี แต่ท้ายสุด รงค์ ก็บอกไม่เอา

 

"...แล้วก็มีคนบอกให้ไปเอาไตที่ประเทศจีน เพราะเมืองจีนมีไตทุกวัน ไตได้มาจากนักโทษที่รับโทษประหารชีวิตเพราะคอร์รัปชั่น ไม่มีเรื่องอื่น ไตที่ประเทศจีนเป็นไตของคนที่คอร์รัปชั่นทั้งนั้นเลย ไตดี ๆ ไม่มีเลย ผมก็เลยไม่เอา สรุปแล้วผมก็เลยไม่ผ่าตัด ก็ยอมไปฟอกไต ยอมทุกข์ทรมานต่อไป เมื่อไหร่จะตายก็ยังไม่แน่..."

 

รงค์ พูดถึงโรคไต น้ำ  ผลไม้ ปลา ผัก และออกซิเจน

 

รงค์ บอกว่า ไม่ปัสสาวะมาหลายปีแล้ว ไม่มีแม้แต่หยดเดียว เมื่อไม่มีปัสสาวะ หมอก็ห้ามกินน้ำ ทุกวันนี้ดื่มน้ำได้ 500 ซีซี ต่อวัน น้ำทุกชนิด ไม่ว่า ชา กาแฟ น้ำอัดลม ฯลฯ

 

อาหารประเภทแป้ง ทานได้มื้อละ 60 กรัม (ประมาณ 3 ช้อน)

สัตว์กีบทั้งหลาย ทานได้เฉพาะเนื้อหมูอย่างเดียว

ปลา ทานได้แต่ปลาน้ำจืดอย่างเดียว (ปลาทะเลกินไม่ได้ทุกชนิด)

 

เขาย้ำทานได้แต่ปลาน้ำจืดอย่างเดียว แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นปลาที่มีเกล็ดเท่านั้น (ในขณะที่ปลาที่มีเกล็ดนั้นหายากมากในเชียงใหม่) 

 

รงค์ ยังบอกอีกว่า ที่โหดร้ายมากสำหรับคนที่เป็นโรคไต คือ ทานผลไม้ไม่ได้ทุกชนิด โดยเฉพาะผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ข้าวโพด ฟักทอง มะม่วง สับปะรด แม้แต่ลิ้นจี่ มังคุดก็กินไม่ได้

 

รงค์ ย้ำคนใช้ออกซิเจน ไม่ใช่คนป่วย

 

รงค์บอกว่า ทุกวันนี้ต้องใช้ออกซิเจน เนื่องจากหายใจไม่ค่อยสะดวก แต่ถึงแม้ว่าต้องใช้ออกซิเจน แต่ก็ไม่ได้คิดว่าผมเป็นคนป่วย เพราะว่าเดี๋ยวนี้ในร้านเหล้าร้านกาแฟที่ทันสมัยของโลก เขาก็จะเสิร์ฟออกซิเจนด้วย ญี่ปุ่นนำก่อนเพื่อนเลย กินกาแฟไปดูดออกซิเจนไป เพราะออกซิเจนทำให้สดชื่น

 

"...แต่คนไทยยังเชื่อว่าเป็นเรื่องของคนป่วย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เหมือนกับคนถือไม้เท้าเขาก็บอกว่าเป็นคนแก่ ซึ่งผมบอกว่ามันไม่ใช่ ไม้เท้านี่ใคร ๆ ก็ต้องถือ ถ้ารู้สึกว่าตัวเองศูนย์มันเสียและการมีชีวิตอยู่ในป่า ไม้เท้าสำคัญที่สุด เพราะว่าเราอาจจะลื่นหกล้ม หรือเวลาเราเดินไปงูได้ยินเสียงไม้เท้ามันก็จะหนี..."

 

http://blogazine.prachatai.com/upload/headline/headline_20090316-023633.jpg

'รงค์ วงษ์สวรรค์ คุณสุมาลี คู่ชีวิต กับ สเลิงรงค์ - วงค์ดำเลิง วงษ์สวรรค์ บุตรชาย

(ที่มาภาพ โอ ไม้จัตวา: http://www.flickr.com/photos/freemindcard/sets/72157594143593002/)

 

 

3. การครองชีวิต

 

ในขณะที่บรรยากาศกำลังเริ่มครึกครื้น แสงดาว ศรัทธามั่น' กวีนักเขียนแห่งล้านนา ลุกขึ้นถาม 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี

 

"มีคนอยากรู้ว่า 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ใช้ชีวิตคู่อย่างไรถึงมีความสุขอย่างนี้..."

 

รงค์ บอกว่า ที่สำคัญมากที่สุด คือต้องให้เกียรติผู้หญิง

 

"ผมให้เกียรติผู้หญิงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโสเภณี ผมเป็นนักเขียนผู้ชายคนเดียวที่ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อโสเภณีมาตลอดชีวิต..."           

 

"...เราควรให้เกียรติผู้หญิง การใช้ชีวิตคู่ก็ไม่ควรเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน อย่างผมกับภรรยา(คุณสุมาลี) ภรรยาผมทำงานหนักกว่าผมมาก ถึงแม้ก่อนผมป่วยเป็นโรคไต ก็จะต้องดูแลผม ซึ่งผมถือว่าเป็นงานหนัก แต่พอถึงปี ผมจะให้รางวัลภรรยา คือพาไปเที่ยวเมืองนอกอย่างน้อยปีละครั้ง ให้เขาได้พักผ่อนไปเที่ยวตามสบาย และเผอิญผมก็โชคดีที่ภรรยาไม่เคยอ้อนวอนให้ผมซื้อเพชรให้ เขาไม่เคยประสงค์แบบนั้น คนที่เมียขอให้ซื้อเพชรให้ปีละเม็ดนะซวยฉิ...หาย มันไม่ใช่เม็ดละบาทสองบาท มันเม็ดละเป็นแสน  เสื้อผ้าก็เหมือนกันเขาไม่เคยสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยจนเกินเหตุ เธอก็แต่งตัวธรรมดา ๆ ผมก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ดี..."

 

"การครองชีวิตคู่มันอยู่ที่เหตุผล..." 'รงค์ กล่าวทิ้งท้าย

 

 

4. งานเขียนคือชีวิต

 

รงค์ยังคงบอกกับเราไว้ว่า งานเขียนคือหน้าที่ รายงานความเป็นไปในโลก

 

"...เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องรายงานเรื่องราวต่างๆ ให้สังคมทราบว่าอะไรเกิดขึ้นในโลก และผมเป็นคนอย่างนั้นเอง คือ ผมชอบรู้อะไรมันจะเกิดขึ้น...แล้วส่วนเวลาทำงานก็อย่างที่บอก ผมตื่นเช้า 8 โมงครึ่ง, 9 โมงครึ่งถึงโต๊ะทำงาน ทำงานถึงบ่ายโมง กินข้าวแล้วก็นอน ตื่นหกโมง ล้างหน้าล้างตา 1 ทุ่มก็ทำงานต่อจนถึงตีหนึ่ง กินข้าวมื้อสุดท้ายเมื่อตีสอง..."

 

งานคืออาชีพ ค่าต้นฉบับคือเงินเดือน

 

"งานมันเป็นปกติ มันเป็นอาชีพของผม ทุกวันนี้ผมยังต้องประกอบอาชีพ ต้องเอาค่าต้นฉบับมาเลี้ยงชีวิต มาเป็นเงินเดือน ดังนั้น ก็ต้องทำงานกันต่อไป...อย่างนี้ก็มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข เราต้องฝักใฝ่เกี่ยวกับการเขียนหนังสือและมองดูรอบตัวมีอะไรเกิดขึ้นในโลก..."

 

ก่อนจบบทสนทนา 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ได้กล่าวคำพรให้เราในวันนั้นว่า- -ไม่โกรธ ไม่เกลียด และมีอารมณ์ขัน

 

 "...ผมขออวยพรกลับไปขอให้ทุกคนมีสุขภาพดี ๆไม่ต้องดีเท่าผม แต่ดีเท่าที่คุณเป็นอยู่ และขอให้ทุกคนมีสุขใจ ขอให้ทำใจสบาย ๆ เหมือนผมตัดหมดแล้ว คือผมไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยเกลียดใคร แม้แต่คนที่กวนที่สุดก็ต้องถีบมันนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่โกรธไม่เกลียดและมีอารมณ์ขัน ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับมัน มันจะปฏิวัติ  หน้าตารัฐบาลจะเป็นยังไง เป็นขิงแก่ ขิงเน่า ขิงเห่อเหิม เกิดมาไม่เคยเป็นรัฐมนตรีก็ให้เป็นก็เลยหน้าบานเป็นกะโล้ เดินไปมาไม่เห็นทำอะไรเลย ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับมัน..."

 

นี่เป็นบางมุมมอง บางความคิดของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ในห้วงครบรอบ 75 ปี ที่สะท้อนให้เห็นถึงคมความคิดของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2538 ท่านนี้ว่ายังคงชัดเจนกับ "ชีวิต"อย่างยิ่ง

 

 

(ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารขวัญเรือน ปักษ์แรก กรกฎาคม 2550)

 

 

 

 

'รงค์ วงษ์สวรรค์ เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี พ.ศ. 2538 เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2475 ที่จังหวัดชัยนาท เป็นนักเขียนที่มีผลงานหลายอย่าง เช่น คอลัมน์ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี บทภาพยนตร์ เอกลักษณ์ของงานเขียนคือการใช้ภาษา ซึ่งใช้คำยุคเก่า แต่สื่อถึงเรื่องราวที่ทันสมัย

 

ผลงานรวมเล่มแยกตามปีของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์

 

 

2503 - หนาวผู้หญิง, เถ้าอารมณ์ , ไฟอาย
2504 - สนิมสร้อย,บนถนนของความเป็นหนุ่ม, สนิมกรุงเทพฯ
2505 - ปักเป้ากับจุฬา, บางลำพูสแควร์, คืนรัก
2506 - เสเพลบอยบันทึก,พ่อบ้านหนีเที่ยว
2511 - ใต้ถุนป่าคอนกรีต ขบวนหนึ่ง, หอมดอกประดวน,นิราศดิบ
2512 - เสเพลบอยชาวไร่, ผู้มียี่เกในหัวใจ, หัวใจที่มีตีน, ใต้ถุนป่าคอนกรีต ขบวนสอง,หลงกลิ่นกัญชา
2513 - ฝนซาฟ้าหม่น
2514 - น้ำค้างเปื้อนแดด, ไอ้แมลงวันที่รัก,แดง รวี,หนามดอกไม้, ใต้ถุนป่าคอนกรีต ขบวนสาม
2515 - 00.00 น., ปีนตลิ่ง, ดลใจภุมริน,บ้านนี้มีห้องแบ่งให้เช่า
2516 - นักเลง โกเมน,กรุงเทพฯ รจนา, สัตหีบ : ยังไม่มีลาก่อน, ตาคลี : น้ำตาไม่มีเสียงร้องไห้,ชุมทางพลอยแดง (สารคดี),นาฑีสุดท้ายทับทิมดง
2517 - อเมริกันตาย, แม่ม่ายบุษบง
2518 - คึกฤทธิ์แสบสันต์, 23 เรื่องสั้น,ไม่นานเกินรอ,น้ำตาสองเม็ด,ความหิวที่รัก,มาเฟียก้นซอย,๒๘ ดีกรีเที่ยงวัน บรั่นดีเที่ยงคืน ('รงค์ วงษ์สวรรค์ และ "หำน้อย"), ดอกไม้ในถังขยะ
2519 - จากแชมเพญถึงกัญชา, ขี่ม้าชมดอกไม้, จากโคนต้นไม้ริมคลอง, ถึงป่าคอนกรีต, 2 นาฑีใต้แสงดาวแดง, ปักกิ่ง-กรุงเทพฯ,ซูสีไทเฮา,กัญชาธิปไตย
2520 - ดอกไม้และงูพิษ, ยินโทนิค 28 ดีกรี
2521 - แอลกอฮอลิเดย์, เบื้องข้างพันเอกณรงค์ กิตติขจร, บนหลังหมาแดดสีทอง, ผู้ดีน้ำครำ 1, 'รงค์ วงษ์สวรรค์ แสบสันต์, แกงส้มผักบุ้ง 22.00น.
2522 - ผู้ดีน้ำครำ 2
2525 - บักหำน้อย ซ้ายปลาร้าขวาเนย, สาหร่ายปลายตะเกียบ
2527 - นินทากรุงเทพฯ บุหลันลบแสงสุรยา-บรูไน, ระบำค้อนเคียว, ลมหายใจสงคราม
2528 - ไสบาบานักบุญในนรก
2529 - สามเหลี่ยมในวงกลม
2531 - สารคดีไฉไลคลาสสิค , ครูสีดา
2535 - ผกานุช บุรีรำ
2536 - ดอกไม้ดอลล่าร์, ระบำนกป่า,พูดกับบ้าน, ขุนนางป่า
2537 - แมงบาร์
2538 - 2 นาฑีบางลำพู,บูชาครูนักเลง,บาลีนีส์ทัดดอกลั่นทม,ดอกไม้ในถังขยะ, พรานล่าอารมณ์ขัน
2539 - คึกฤทธิ์ ปราโมช ในเงาเวลาของ 'รงค์ วงษ์สวรรค์, บนถนนอากาศ
2540 - กินหอมตอมม่วน
2542 - เมนูบ้านท้ายวัง, เงาของเวลา, นอนบ้านคืนนี้, ลมบาดหิน
2544 - นินทา ฯพณฯ สากกะเบือ, นินทานายกรัฐมนตรี, โคบาลนักเลงปืน, หงา คาราวาน เงา-สีสันของแดด, อเมริกา -อเมริกู
2545 - มาดเกี้ยว
2546 - ฝนเหล็ก -- ไฟปืน '๓๕, นาฑีสุดท้ายทับทิมดง (รวมเล่มครั้งแรก)
2547 - บักอี สีจำปา                                                                                                              2549 - เปลี่ยวคอนกรีท

 

 

 

บล็อกของ หัวไม้ story

หัวไม้ story
ระหว่างรอผลว่า ท้ายที่สุดอดีตนายกรัฐมนตรีไทยและภรรยาจะได้อยู่ในประเทศอังกฤษในฐานะผู้ลี้ภัย หรือจะกลายเป็นผู้ร้ายข้ามแดนที่ต้องประสานให้ส่งมอบตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย ลองดูซิว่าทำเนียบรุ่นผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศอังกฤษอ้าแขนรับที่ผ่านมา มีใครบ้าง.... 
หัวไม้ story
วันที่ 8 สิงหาคม ปี 1988 เป็นวันแห่งการปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และการปราบปรามนั้นได้ดำเนินไปหลายวันในย่างกุ้ง หัวไม้สัปดาห์นี้ ขอเป็นส่วนหนึ่งของการรำลึกในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของการต่อสู้ของเพื่อนมิตรชาวพม่าในครั้งนั้น ด้วยบทเพลงพม่าที่เขียนขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น คือเพลง วันที่ 8 เดือน 8 ปี 88 และ เพลงไม่มีวันลืม (Kabar Ma Kyay Bu Heyt!) ทั้งสองเพลงออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เสียงประชาธิปไตยแห่งพม่า (Democratic Voice of Burma - DVB) ทุกรอบปี เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ปราบปรามที่เกิดขึ้นเราหวังว่าสักวันหนึ่งเสรีภาพและประชาธิปไตยจะปรากฏขึ้นในขอบฟ้าฟากตะวันตก เพลง วันที่ 8…
หัวไม้ story
< พิณผกา งามสม > ถ้าผู้หญิงคืออีกซีกหนึ่งของฟากฟ้า อย่างที่จอน เลนนอน ไอดอลแห่งยุคบุปผาชนเคยกล่าวไว้  ภาพข่าว ดร. วันอาซีซาร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งสมาชิกรัฐสภาแห่งสหพันธ์รัฐมาเลเซีย เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อเปิดทางให้กับสามีได้ลงเลือกตั้งชิงเก้าอี้ในรัฐสภาที่ว่างลงในฐานะอีกครึ่งชีวิตทางการเมืองของนายอันวาร์ อิบราฮิม ก็คงเป็นตัวอย่างจริงของความเป็นอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้า แต่จะเป็นท้องฟ้าของวันใหม่ดังที่นายอันวาร์ย้ำมาตลอดหรือไม่ เป็นเรื่องของการเมืองที่ยากจะคาดการณ์ ดร. วันอาซีซาร์ ได้ชื่อว่าเป็นทัพหลังที่แข็งแกร่งของนายอันวาร์ จากอาชีพจักษุแพทย์…
หัวไม้ story
ทีมข่าวการเมือง ประชาไท บันทึกปฏิกิริยาฝ่าย ‘ขวาใหม่' ภายใต้ฉายา ‘พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' หลังจากการปราศรัยที่สนามหลวงของ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ‘ดา ตอร์ปิโด' เมื่อวันที่ 18 กรกฎคมที่ผ่านมาโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้หยิบประเด็นการปราศรัยของ ‘ดา ตอร์ปิโด' มาวิพากษ์วิจารณ์เป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายคืนนับตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม เป็นต้นมา กระทั่ง กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บ.ชน.) ขอให้ศาลอาญากรุงเทพฯ อนุมัติหมายจับเลขที่ 2209/51 ให้จับกุม น.ส.ดารณีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ทำให้ น.ส.ดารณี…
หัวไม้ story
นับแต่รัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเข้าสู่ตำแหน่ง การฟ้องร้องอันเนื่องมาจากการเมือง และการฟ้องร้องอันมีผลทางการเมืองก็ดาหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไทย และองค์กรอิสระ เสมือนเป็นโหมโรงสำหรับ ‘ตุลาการภิวัตน์’ ก็ไม่ปาน เพื่อเป็นหมุดหยุดพักสำหรับความสับสนในคดีที่เยอะแยะ อีรุงตุงนังกันอยู่ขณะนี้  "ประชาไท" รวบรวมคดีที่มีการฟ้องร้องกัน ภายใต้เงื่อนเวลาเริ่มต้นคือรัฐบาลชุดนี้ ให้ดูกันว่ายุคนี้ ศาลนั้น "งานเข้า" ขนาดไหน  
หัวไม้ story
จังหวัดระยองเป็นจังหวัดแรกๆ ที่รองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ โดยนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2524 จากขนาด 4,100 ไร่ ขยายจนเป็น 15,745 ไร่ นิคมฯ มาบตาพุดยังประกอบด้วย 4 นิคม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมเหมราช นิคมอุตสาหกรรมผาแดง และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ปัจจุบันมีโรงงานอุตสาหกรรมหนักทั้งสิ้น 134 โรง (รวมโรงไฟฟ้า 8 โรง (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2550)) แยกเป็น 1.กลุ่มปิโตรเคมี  2.กลุ่มเคมีภัณฑ์และปุ๋ย 3.กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน 4.กลุ่มสาธารณูปโภค เช่น โรงไฟฟ้า 5.กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก 6.กลุ่มเขตธุรกิจอุตสาหกรรม เช่น โรงกำจัดกากของเสีย 7.กลุ่มเขตท่าเรือ…
หัวไม้ story
หลังจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) 2007 ได้รับอนุมัติไปเมื่อราวเดือนมิถุนายน 2550  ก็เป็นอันชัดเจนว่า นับจากนี้ไป 15 ปี ประเทศไทยมีแผนการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซ 20 กว่าโรง โรงไฟฟ้าถ่านหิน 4 โรง (2,800 เมกกะวัตต์) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 4 โรง (4,000 เมกกะวัตต์) มีทั้งที่ กฟผ.สร้างเองและการเปิดให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ผลิตไฟฟ้า (IPP)ยังไม่นับรวมการรับซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านอีกเป็นจำนวนมากด้วย  แผนดังกล่าวถูกร่างขึ้นโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นตัวหลัก ขณะที่มีเสียงเรียกร้องให้มีองค์กรอิสระขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อจะได้วิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้าน…
หัวไม้ story
ในสังคมการเมืองไทยสมัยใหม่ของไทย ผ่านความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบ โครงสร้าง การเข้าถึงอำนาจ หลายครั้ง หลายรูปแบบ ที่มีสำเร็จและล้มเหลวคละเคล้ากันไปสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างฉับพลัน โดยวิธีนอกระบบกฎเกณฑ์ทางการเมืองที่สังคมในช่วงเวลานั้นๆ ไม่ยอมรับ เกี่ยวพันโดยตรงกับผลลัพธ์ของปฏิบัติการ ถ้าสำเร็จ คณะผู้ก่อการก็สามารถบัญญัติคำหรือภาษาสวยงามลงไปอ้างอิงการกระทำของกลุ่มตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็น คณะปฏิวัติ  คณะปฏิรูป  เป็นต้น แต่หากล้มเหลวมีเพียงโทษสถานเดียวคือการเป็นศัตรูของสังคมในฐานะ “กบฏ” หัวไม้สัปดาห์นี้จะพาย้อนไปดูการปฎิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ…
หัวไม้ story
  < พิณผกา งามสม > เมื่อชาวนาอยากจะพูดให้คุณเข้าใจปี 2545 ชาวบ้านปากมูลเลือกที่จะเดินทางทั่วอิสานเพื่อสื่อสารทางตรงไปยังบรรดาเพื่อนระดับชาวบ้านเพื่อให้เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงต้องต้านเขื่อนเพราะพวกเขาไม่ได้พื้นที่ในสื่อกระแสหลักที่มักนำเสนอข่าวแบบจุดพลุ แล้วก็เลือนหายไป นั่นจึงทำให้พวกเขาออกเดิน เดินเพื่อสื่อสารทางตรง ไม่ต้องผ่านสื่ออีกต่อไป แน่นอนว่าชาวบ้านปากมูลต้องเดินทางวันละกว่า 10 กิโลเมตร ค่อยๆ เดินไปเพื่อแสดงนิทรรศการ และพูด แบบปากต่อปาก พวกเขาไม่ได้เดินมาที่ทำเนียบรัฐบาลหลังจากได้บทเรียนยาวนานจาก 99 วันหน้าทำเนียบ ชาวบ้านบางคนบอกว่า…
หัวไม้ story
สัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ 59 ปีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ห้อง ร.103 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์13 มิถุนายน 2551 “...ในวาระนี้นอกจากจะรู้สึกถึงวันเกิดของคณะ(รัฐศาสตร์) แล้ว ก็อยากจะอวยพรท่านนายกฯ ในสังคมมุสลิมนั้นมีวิธีขอพรให้ผู้นำ และเขาบอกว่าวิธีขอพรให้ผู้นำนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องขอพรให้ต้อง ขอให้พระเป็นเจ้าเอื้ออำนวยให้ผู้ปกครองมีสติ สามารถดำเนินการปกครองของตัวโดยคำนึงถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ประโยชน์ของคนทั้งหลายทั้งปวง มีปัญญาเลือกทางเลือกที่ถูกต้อง ผมว่าอันนี้เป็นพรที่เราอยากจะให้กับท่านนายกรัฐมนตรีในวันเกิดของท่าน เสียดายที่นักข่าวโทรทัศน์ไปหมดแล้ว...”…
หัวไม้ story
ภาวะความขัดแย้งทางการเมืองไทยขณะนี้ ได้ก่อให้เกิดความกังวล 2 ประการคือ รัฐจะใช้ความรุนแรงกับผู้เคลื่อนไหวในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และอีกประการคือ การรัฐประหารซึ่งสื่อกระแสหลักยังคงต้องเกาะติด ‘น้ำเสียง' และ ‘ท่าที' ของนายทหารระดับสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อย้อนดูสถิติการรัฐประหารของไทยจะพบว่า ความถี่ในการรัฐประหารของไทยคือ ประมาณ 7 ปีต่อการรัฐประหาร 1 ครั้ง การรัฐประหารที่เว้นช่วงสั้นที่สุดคือการรัฐประหารครั้งที่ 7 วันที่ 6 ตุลาคม 2519 - 20 ตุลาคม 2520 ( 1 ปีกับอีก 15 วัน)ช่วงที่เว้นระยะนานที่สุดคือ 23 ก.พ. 2534 - 19 กันยายน 2549 เว้นช่วงนาน 15 ปี 6 เดือน กับอีก 28 วัน…
หัวไม้ story
หลังจากทำงานขับรถบรรทุกส่งแก๊สกับบริษัทไทยอินดัสเตรียลแก๊ส จำกัด (มหาชน) (ทีไอจี) มาได้ร่วมปี “สุรชัย” ถูกเรียกเข้าสำนักงานใหญ่ หวังใจว่าจะได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ หลังจากถูกต่ออายุทดลองงานมาเกือบปี แต่เมื่อไปถึงสำนักงานใหญ่ เขากลับได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบริษัทอเดคโก้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของบริษัททีไอจีอ้างว่า เป็นบริษัทจัดหางานระดับโลก ที่มีพนักงานกว่าเจ็ดหมื่นคนทั่วโลก ทีละคน ทีละคน... เขาและเพื่อนๆ ทยอยเซ็นสัญญาที่เจ้าหน้าที่ของบริษัทบอกว่าจะกรอกรายละเอียดให้ เขาบอกว่า ปัญหาใหญ่ คือทุกคนไม่ได้มีความรู้เรื่องกฎหมายแรงงานหรือสัญญาเลย ทั้งยังไม่มีเวลาอ่าน…