ภาพจาก: http://imaim.wordpress.com
แรงกระเพื่อมของสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา ต่อเรื่อง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้ต้องมานั่งนับวันว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่กฎหมายฉบับนี้นี้จะเขาที่ประชุม ครม.เพื่อลุ้นเอาแค่กฎหมายฉบับนั้นจะผ่านครม.เข้าสู่สภาฯ ได้หรือไม่ แล้วค่อยไปว่ากันต่อด้วยเรื่องหน้าตาว่าจะออกมาสวย หล่อ เพียงใด
ตามที่ รมว.คลัง ท่านบอกผ่านสื่อมวลชนไว้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา มีกำหนด 2 สัปดาห์ นี่ก็คงอยู่ในช่วงระยะเวลานัดหมายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ล่าสุด รมว.คลังกล่าวผ่านสื่อว่า กระทรวงการคลังยังเดินหน้าแนวคิดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือน ส.ค.นี้
นับย้อนไป..
หลังจากที่รัฐบาลโดยการนำของนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาประกาศสนับสนุนให้เดินหน้ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 และพ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 ตามแนวคิด นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่ให้เหตุผลว่า "เพื่อความเป็นธรรมในสังคม" หลังจากพบว่าการจัดเก็บภาษีตามกฎหมายเดิมมีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากมาย
แถมยังแสดงความกระตือรือร้นในการออกกฎหมายดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการประกาศว่าร่างกฎหมายจัดทำเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม จ่อเข้าที่ประชุม ครม.แล้ว และคาดหวังว่าร่างกฎหมายภาษีที่ดินดังกล่าวจะผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรและบังคับใช้ได้ช่วงปลายปี 2552
แต่ข้อสงสัยที่ยังเซ็งแซ่ คือ ท่าน รมว.คลัง จะผลักดันเรื่องนี้สำเร็จหรือ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า ส.ส.และ สว.ในสภา ต่างประกอบไปด้วยมหาเศรษฐีที่ดินที่เรียกกันถึงขั้นราชา ราชินี หากนับมูลค่าที่ดินรวมๆ คงจะนับเลขในหลักสิบล้านกับไม่หวาดไม่ไหว
.....
หลายคนมองว่า...
รัฐบาลชุดนี้ นายแน่มาก ที่กล้าหาญชาญชัยออกมาผลักดันเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงในเรื่องภาษีมรดก เพราะเขาวาดภาพถึงการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าต่อทรัพย์สินเหล่านี้ แต่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของรัฐบาลนี้ก็ยังไม่ใช่ภาษีก้าวหน้าอย่างแท้จริง และรัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลแรกที่มองเห็นปัญหาการจัดเก็บภาษีที่มีอยู่
เรื่องนี้เคยเริ่มตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งมีกระแสความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินและเงินทุนจากของบุคคลเป็นระบบสหกรณ์ และ "ท่านปรีดี พนมยงค์" แกนนำคณะราษฎรได้ยกร่างฯ "เค้าโครงเศรษฐกิจ" แต่ถูกยกเลิกไป และในสมัยของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เองก็ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำการศึกษาร่างกฎหมาย ล่าสุดที่จ่อคิวจะเข้า ครม.คือในสมัยของ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็น รมว.คลัง แต่ก็มีการเปลี่ยนรัฐบาลเสียก่อน
ในส่วนหลักการที่ รมว.คลัง คนปัจจุบัน ยืนยัน มาตลอดนั่น คือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะนำมาใช้นี้ จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม มีระบบจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ มีความทั่วถึง
ด้วยการจัดเก็บจากฐานมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และตามประเภทการใช้งาน ถ้าเป็นสำหรับการเกษตรอัตราการจัดเก็บก็จะต่ำสุดคือไม่เกิน 0.05 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นที่อยู่อาศัยก็จะสูงขึ้นหน่อยคือไม่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเป็นเชิงพาณิชย์จะอยู่ที่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนถ้าเป็นที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์ก็จะจัดเก็บในอัตราสูงสุดนั่นก็คือ 0.5 เปอร์เซ็นต์
ผลคือ"ที่ดินเกิดการใช้ประโยชน์" จะถูกนำมาพัฒนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างเหมือนที่พบเห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน แม้ผลปรากฏออกมาจะเป็นสวนกล้วยในพื้นที่ทำเลทองก็ตาม
ส่วนรัฐในส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่าง อบต.และเทศบาลจะมี "รายรับเพิ่ม" จากการจัดเก็บภาษี เพื่อการบริหารจัดการในท้องถิ่น พูดได้ว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลังกำลังเพ่งเล็งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
สำหรับความเป็นธรรมแก่สังคมที่ รมว.คลังและท่านนายยกว่าไว้ ตีความได้ถึงการยึดหลัก "ผู้ที่ได้ประโยชน์ต้องจ่าย" ที่ดินพื้นที่มากในทำเลทองยอมได้ดอกผลจากที่ดินมากกว่าพื้นที่ขนาดเล็ก ก็ต้องจ่ายมากและเงินนั้นก็นำมาทำประโยชน์เพื่อท้องถิ่นนั้นๆ เอง
คำถามคือ จริงหรือที่ว่าสิ่งเหล่านี้คือการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อมาช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ตามนัยการสร้างความเป็นธรรมในสังคมของใครหลายๆ คน
......
หลายคนให้ความเห็นว่า...
รัฐบาลหยิบเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกมาในช่วงนี้ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับปากท้องประชาชนที่จะต้องเร่งแก้ในช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจ โดยมองว่ามันเป็นการเร่งรัดนำเงินออกจากกระเป๋าประชาชนทั้งที่เศรษฐกิจกำลังลุ่มๆ ดอนๆ
ยกตัวอย่างคนทั่วๆ ไป ในปัจจุบันคนที่เป็นเจ้าของบ้านหรือที่อยู่อาศัยนั้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ภาษีตัวใหม่นั้นต้องเสีย เพราะฉะนั้นภาระของคนที่มีบ้านเป็นขอตัวเองตรงนี้เพิ่มขึ้น แต่ว่าอัตราภาษีก็ไม่ได้ถูกกำหนดมาแบบที่สูงมาก
ด้วยเหตุผลที่ว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นช่องทางที่ทำให้รัฐสามารถมีรายได้เข้าคลังที่ดูเหมือนกำลังต้องการเอาอากาศเข้าไปเพื่อยื้อชีวิต หลังลุยรีดภาษีน้ำมัน เหล้า บุหรี่ไปกันแล้ว และเตรียมไล่บี้ภาษีสรรพาสามิตสถานบันเทิงผับ บาร์ คาราโอเกะ กันต่อ รวมทั้งการออก พ.ร.ก.เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ กู้เงินฉุกเฉิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ามีความจำเป็นรีบด่วนเมื่อไม่กี่วันมานี้
แต่การที่กฎหมายตัวนี้แม้ว่าจะผ่านสภาแล้วก็จะยังไม่มีมีผลบังคับใช้ทันที เนื่องจากบทเฉพาะกาลที่กำหนดไว้ว่าหลังจากนั้นอีก 2 ปี จึงจะมีการจัดเก็บภาษี เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัว ตรงนี้ช่วยลดแรงเสียดทานจากการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนั้นยังการออกกพระราชกฤษฎีกายกเว้นการเก็บภาษี หากทรัพย์สินมีมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนด และมีช่องในการนำค่าเสื่อมสภาพของบ้านมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้
ตรงนี้ทำให้เกิดความสงสัยว่าหากหวังเม็ดเงินจากการเก็บภาษีในส่วนนี้ รัฐบาลนี้ก็คงต้องอยู่ยาวไปอย่างน้อย 2 ปี เพื่อจะได้ดำเนินการให้มีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่วางแนวทางไว้ แต่หากหวังจะดึงเม็ดเงินมาช่วยหนุนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ มองอย่างไรก็คงไม่ทันการ
ความจริงสิ่งที่ ปฏิเสธไม่ได้คือไม่ว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ ปัญหาที่ดินทำกินเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข และอยู่ในขั้นวิกฤตลงทุกขณะ
.....
หลายคนตั้งความหวังว่า...
การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะช่วยลดการสะสมที่ดินเพื่อการเก็งกำไร เพราะที่ดินมีมูลค่าที่ต้องจ่ายไปกับภาษี ทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน โดยที่ดินถูกคายมาสู่ตลาด จนทำให้ราคาที่ดินต่ำลงพอที่ผู้มีความต้องการทั่วไป (ไม่เฉพาะคนจน) เข้าถึงได้
นั่นคือความคาดหวังของประชาชน ที่หวังแม้มันจะเป็นเพียงผลพลอยได้ของกฎหมายฉบับนี้
ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง ชาวบ้าน เกษตรกร คนจนไร้ที่ดิน หลายต่อหลายกลุ่มได้จากบ้านมาชุมนุมตากแดดตากฝนหน้าทำเนียบและกระทรวงต่างๆ เพื่อหวังมาต่อรองให้นักการเมืองมาช่วยแก้ปัญหาที่ดินทำกิน
ขณะที่เราจับจ้องอยู่กับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่แม้จะได้รับแรงหนุนจากนายกรัฐมนตรีที่ออกปากว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลและของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องผลักดัน แต่ก็ต้องรอลุ้นกับความจริงใจของรัฐบาลและนักการเมืองว่าจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องมากกว่ากัน
หลายพื้นที่ของประเทศนี้ ประชาชนกำลังประสบภัยปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน มีการแย่งชิงพื้นที่เพื่อทำการเกษตรระหว่างชาวบ้านและนายทุนเจ้าที่ดินขนาดใหญ่ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ซึ่งเป็นภาคประชาชนกลุ่มใหญ่ที่ออกมาเคลื่อนไหวแก้ปัญหาที่ดินของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้ร่วมทำงานแก้ปัญหาที่ดินกับรัฐบาล โดยนายกอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ และได้นั่งเป็นประธานด้วยตัวเอง ถึงวันนี้ใกล้ครบกำหนด 90 วัน ของการทำงานของคณะอนุกรรมการฯ ในคณะกรรมการอำนวยการฯ แต่การดำเนินงานยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ในพื้นที่ ปัญหาการแย่งชิงที่ดินทำกินของชาวบ้านกับรัฐราชการ รวมทั้งอิทธิพลเถื่อนยังคงเกิดขึ้น มีการข่มขู่ คุกคาม และรุนแรงถึงขั้นยิงกราด เผาบ้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ตัวอย่างกรณีแรกที่ เขตพื้นที่ ส.ป.ก.ใน อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ช่วงวันที่ 16-19 พ.ค. มีการข่มขู่ คุกคาม ใช้อาวุธปืนยิงกราด และเผาบ้านพักชั่วคราวจำนวน 19 หลัง โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลมืดในพื้นที่ ที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทขนาดใหญ่ที่เคยขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อปลูกปาลืมน้ำมัน แม้ขณะนี้บริษัทได้หมดอายุแล้วแต่ยังมีความพยายามขับไล่ชุมชนต่างๆ ให้ออกจากพื้นที่ ส่งผลให้สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ต้องย้ายพื้นที่ไปอาศัยกับชุมชนใกล้เคียง
อีกกรณีหนึ่งในพื้นที่ ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งในอดีตเป็นพื้นที่อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดพื้นที่ป่าให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินเมื่อปี พ.ศ. 2515-2516 ต่อมาเมื่อสถานการณ์สงบลง รัฐบาลมีนโยบายให้ชาวบ้านอพยพออกจากพื้นที่ ซึ่งก็คือพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่ให้บริษัทเอกชนเช่าปลูกป่ายูคาลิปตัส และเมื่อบริษัทหมดสัญญาเช่าแล้ว ชาวบ้านกลุ่มเดิมที่เคยทำกินในพื้นที่นี้มาก่อน จำนวน 171 ครอบครัวจึงเข้าไปทำกินในพื้นที่ แต่กลับถูกขู่คุกคามโดยการปล่อยข่าวว่าจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ยังมีกรณีของชาวบ้านที่ถูกประกาศพื้นที่ป่าทับที่ทำกินที่ปัญหายังคาราคาซังกันอยู่ แม้ในบางพื้นมีการตกลงให้ชาวบ้านทำกินชั่วคราว แต่ในบางพื้นที่กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่คุกคามชาวบ้าน ให้ไม่สามารถทำมาหาอยู่ได้อย่างเป็นสุข
หลายครั้ง และหลายพื้นที่ ที่มักได้ยินเสียงสะท้อนจากในพื้นที่ว่า "ชาวบ้านกลัวกฎหมาย แต่นายทุนไม่กลัว เพราะเขามีเงิน เขามีรัฐเป็นเพื่อน"
และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนได้ถึงความจริงใจของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน
มันสร้างข้อสงสัยขึ้นในใจว่า การที่นายกรัฐมนตรีหยิบยกเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไปจนถึงเรื่องโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน ขึ้นมาพูดถึง นั่นคือการหาเสียงท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ดูไม่ค่อยมั่นคงของรัฐบาลบนฐานคะแนนของคนรากหญ้า มากกว่าความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรคนยากจนโดยแท้จริง
.....
การที่คนส่วนหนึ่งให้การสนับสนุนแนวคิดจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นั่นเพราะเขาถือว่ามันคือจุดเริ่มต้นหนึ่งของความพยายามจัดการกับความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่ในสังคม ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าแค่การจัดเก็บภาษีนี้ มันไม่สามารถทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนรวยและคนจนแคบลงได้ ไม่สามารถเร่งรัดให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินจากมือคนรวยสู่มือเกษตรกรได้ ไม่สามารถทำให้ราคาที่ดินถูกลงพอที่คนธรรมดาสามัญไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานกว่าจะมีที่ดินมีบ้านเป็นของตัวเอง ฯลฯ
ถึงอย่างไรมันก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไร...
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการปฏิรูประบบภาษีที่จะมีส่วนอย่างสำคัญต่อการกระจายการถือครองที่ดิน ที่เราต้องการจะไปให้ถึง
เมื่อที่ดินคือทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่แพ้น้ำ อากาศ ป่าไม้ ในฐานทรัพยากรในการผลิตที่ผูกพันกับวิถีชีวิตผู้คนมาเนินนาน และเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเข้าถึง แต่มันกลับถูกแปลงเป็นสินค้าที่ถูกควบคุมโดยกลไกตลาดอย่างเต็มรูป ที่ถูกปั่นราคา เก็งกำไร ซื้อมาขายไปกันอย่างคล่องมือในหมู่ผู้มีอันจะกินที่ไม่ต้องอาบเหงื่อลงดินก็มีกินไปตลอดชาติ
ในขณะนี้ที่การออกกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการทางภาษียังต้องลุ้น แถมความคาดหวังถึงการปฏิรูปที่ดิน ยังเป็นเรื่องที่ดูยาวไกล
เอาแค่เฉพาะหน้านี้ จะทำอย่างไรให้ทุกคนที่อยากใช้ทรัพยากรที่ดินในการผลิตสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่ถูกข่มขู่คุกคามจากกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ นี่คงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาที่ดินให้กับประชาชน และดูเหมือนมันจะยากเย็นเต็มกลืนอยู่แล้ว
รัฐบาลอย่าหยิบยกเรื่องปฏิรูปภาษีเพื่อความเป็นธรรม ปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจน ขึ้นมาสร้างกระแส แล้วปล่อยให้เราต้องมานั่งฟันหวานอยู่กับอะไรที่เลื่อนลอย ช่วยสร้างผลงานสักชิ้นให้เห็นประจักษ์ในความจริงต่อการแก้ปัญหา ที่ไม่ใช่แค่การเอาผลประโยชน์ของประชาชนใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงสนับสนุนทางการเมือง
เหมือนที่บอกกันมาว่า "ประชาธิปไตยของคนจนคือประชาธิปไตยที่กินได้" รัฐบาลที่ไม่มีน้ำยาแก้ปัญหาให้ประชาชนมีอยู่มีกินได้ก็ไม่ควรเป็นรัฐบาลของประชาชนเช่นกัน