Skip to main content

feet picture
ภาพจาก: http://imaim.wordpress.com

แรงกระเพื่อมของสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา ต่อเรื่อง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้ต้องมานั่งนับวันว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่กฎหมายฉบับนี้นี้จะเขาที่ประชุม ครม.เพื่อลุ้นเอาแค่กฎหมายฉบับนั้นจะผ่านครม.เข้าสู่สภาฯ ได้หรือไม่ แล้วค่อยไปว่ากันต่อด้วยเรื่องหน้าตาว่าจะออกมาสวย หล่อ เพียงใด

ตามที่ รมว.คลัง ท่านบอกผ่านสื่อมวลชนไว้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา มีกำหนด 2 สัปดาห์ นี่ก็คงอยู่ในช่วงระยะเวลานัดหมายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ล่าสุด รมว.คลังกล่าวผ่านสื่อว่า กระทรวงการคลังยังเดินหน้าแนวคิดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเดือน ส.ค.นี้

นับย้อนไป..

หลังจากที่รัฐบาลโดยการนำของนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาประกาศสนับสนุนให้เดินหน้ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 และพ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 ตามแนวคิด นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่ให้เหตุผลว่า "เพื่อความเป็นธรรมในสังคม" หลังจากพบว่าการจัดเก็บภาษีตามกฎหมายเดิมมีปัญหาความเหลื่อมล้ำมากมาย

แถมยังแสดงความกระตือรือร้นในการออกกฎหมายดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการประกาศว่าร่างกฎหมายจัดทำเสร็จแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม จ่อเข้าที่ประชุม ครม.แล้ว และคาดหวังว่าร่างกฎหมายภาษีที่ดินดังกล่าวจะผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรและบังคับใช้ได้ช่วงปลายปี 2552

แต่ข้อสงสัยที่ยังเซ็งแซ่ คือ ท่าน รมว.คลัง จะผลักดันเรื่องนี้สำเร็จหรือ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า ส.ส.และ สว.ในสภา ต่างประกอบไปด้วยมหาเศรษฐีที่ดินที่เรียกกันถึงขั้นราชา ราชินี หากนับมูลค่าที่ดินรวมๆ คงจะนับเลขในหลักสิบล้านกับไม่หวาดไม่ไหว

.....

หลายคนมองว่า...

รัฐบาลชุดนี้ นายแน่มาก ที่กล้าหาญชาญชัยออกมาผลักดันเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงในเรื่องภาษีมรดก เพราะเขาวาดภาพถึงการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าต่อทรัพย์สินเหล่านี้ แต่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของรัฐบาลนี้ก็ยังไม่ใช่ภาษีก้าวหน้าอย่างแท้จริง และรัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลแรกที่มองเห็นปัญหาการจัดเก็บภาษีที่มีอยู่

เรื่องนี้เคยเริ่มตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งมีกระแสความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินและเงินทุนจากของบุคคลเป็นระบบสหกรณ์ และ "ท่านปรีดี พนมยงค์" แกนนำคณะราษฎรได้ยกร่างฯ "เค้าโครงเศรษฐกิจ" แต่ถูกยกเลิกไป และในสมัยของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เองก็ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำการศึกษาร่างกฎหมาย ล่าสุดที่จ่อคิวจะเข้า ครม.คือในสมัยของ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็น รมว.คลัง แต่ก็มีการเปลี่ยนรัฐบาลเสียก่อน

ในส่วนหลักการที่ รมว.คลัง คนปัจจุบัน ยืนยัน มาตลอดนั่น คือ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะนำมาใช้นี้ จะก่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม มีระบบจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพ มีความทั่วถึง

ด้วยการจัดเก็บจากฐานมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และตามประเภทการใช้งาน ถ้าเป็นสำหรับการเกษตรอัตราการจัดเก็บก็จะต่ำสุดคือไม่เกิน 0.05 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นที่อยู่อาศัยก็จะสูงขึ้นหน่อยคือไม่เกิน 0.1 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเป็นเชิงพาณิชย์จะอยู่ที่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนถ้าเป็นที่ดินที่ไม่ใช้ประโยชน์ก็จะจัดเก็บในอัตราสูงสุดนั่นก็คือ 0.5 เปอร์เซ็นต์

ผลคือ"ที่ดินเกิดการใช้ประโยชน์" จะถูกนำมาพัฒนาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างเหมือนที่พบเห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน แม้ผลปรากฏออกมาจะเป็นสวนกล้วยในพื้นที่ทำเลทองก็ตาม

ส่วนรัฐในส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่าง อบต.และเทศบาลจะมี "รายรับเพิ่ม" จากการจัดเก็บภาษี เพื่อการบริหารจัดการในท้องถิ่น พูดได้ว่า รัฐบาลและกระทรวงการคลังกำลังเพ่งเล็งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

สำหรับความเป็นธรรมแก่สังคมที่ รมว.คลังและท่านนายยกว่าไว้ ตีความได้ถึงการยึดหลัก "ผู้ที่ได้ประโยชน์ต้องจ่าย" ที่ดินพื้นที่มากในทำเลทองยอมได้ดอกผลจากที่ดินมากกว่าพื้นที่ขนาดเล็ก ก็ต้องจ่ายมากและเงินนั้นก็นำมาทำประโยชน์เพื่อท้องถิ่นนั้นๆ เอง

คำถามคือ จริงหรือที่ว่าสิ่งเหล่านี้คือการใช้กระบวนการทางกฎหมายเพื่อมาช่วยลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ตามนัยการสร้างความเป็นธรรมในสังคมของใครหลายๆ คน

......

หลายคนให้ความเห็นว่า...

รัฐบาลหยิบเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกมาในช่วงนี้ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่เกี่ยวข้องกับปากท้องประชาชนที่จะต้องเร่งแก้ในช่วงที่วิกฤติเศรษฐกิจ โดยมองว่ามันเป็นการเร่งรัดนำเงินออกจากกระเป๋าประชาชนทั้งที่เศรษฐกิจกำลังลุ่มๆ ดอนๆ

ยกตัวอย่างคนทั่วๆ ไป ในปัจจุบันคนที่เป็นเจ้าของบ้านหรือที่อยู่อาศัยนั้นไม่ต้องเสียภาษี แต่ภาษีตัวใหม่นั้นต้องเสีย เพราะฉะนั้นภาระของคนที่มีบ้านเป็นขอตัวเองตรงนี้เพิ่มขึ้น แต่ว่าอัตราภาษีก็ไม่ได้ถูกกำหนดมาแบบที่สูงมาก

ด้วยเหตุผลที่ว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นช่องทางที่ทำให้รัฐสามารถมีรายได้เข้าคลังที่ดูเหมือนกำลังต้องการเอาอากาศเข้าไปเพื่อยื้อชีวิต หลังลุยรีดภาษีน้ำมัน เหล้า บุหรี่ไปกันแล้ว และเตรียมไล่บี้ภาษีสรรพาสามิตสถานบันเทิงผับ บาร์ คาราโอเกะ กันต่อ รวมทั้งการออก พ.ร.ก.เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ กู้เงินฉุกเฉิน 400,000 ล้านบาท ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ามีความจำเป็นรีบด่วนเมื่อไม่กี่วันมานี้

แต่การที่กฎหมายตัวนี้แม้ว่าจะผ่านสภาแล้วก็จะยังไม่มีมีผลบังคับใช้ทันที เนื่องจากบทเฉพาะกาลที่กำหนดไว้ว่าหลังจากนั้นอีก 2 ปี จึงจะมีการจัดเก็บภาษี เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัว ตรงนี้ช่วยลดแรงเสียดทานจากการบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนั้นยังการออกกพระราชกฤษฎีกายกเว้นการเก็บภาษี หากทรัพย์สินมีมูลค่าต่ำกว่าที่กำหนด และมีช่องในการนำค่าเสื่อมสภาพของบ้านมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้

ตรงนี้ทำให้เกิดความสงสัยว่าหากหวังเม็ดเงินจากการเก็บภาษีในส่วนนี้ รัฐบาลนี้ก็คงต้องอยู่ยาวไปอย่างน้อย 2 ปี เพื่อจะได้ดำเนินการให้มีการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามที่วางแนวทางไว้ แต่หากหวังจะดึงเม็ดเงินมาช่วยหนุนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ มองอย่างไรก็คงไม่ทันการ

ความจริงสิ่งที่ ปฏิเสธไม่ได้คือไม่ว่าในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ ปัญหาที่ดินทำกินเป็นปัญหาปากท้องของประชาชนที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข และอยู่ในขั้นวิกฤตลงทุกขณะ

.....

หลายคนตั้งความหวังว่า...

การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะช่วยลดการสะสมที่ดินเพื่อการเก็งกำไร เพราะที่ดินมีมูลค่าที่ต้องจ่ายไปกับภาษี ทำให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดิน โดยที่ดินถูกคายมาสู่ตลาด จนทำให้ราคาที่ดินต่ำลงพอที่ผู้มีความต้องการทั่วไป (ไม่เฉพาะคนจน) เข้าถึงได้

นั่นคือความคาดหวังของประชาชน ที่หวังแม้มันจะเป็นเพียงผลพลอยได้ของกฎหมายฉบับนี้

ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง ชาวบ้าน เกษตรกร คนจนไร้ที่ดิน หลายต่อหลายกลุ่มได้จากบ้านมาชุมนุมตากแดดตากฝนหน้าทำเนียบและกระทรวงต่างๆ เพื่อหวังมาต่อรองให้นักการเมืองมาช่วยแก้ปัญหาที่ดินทำกิน

ขณะที่เราจับจ้องอยู่กับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่แม้จะได้รับแรงหนุนจากนายกรัฐมนตรีที่ออกปากว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลและของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องผลักดัน แต่ก็ต้องรอลุ้นกับความจริงใจของรัฐบาลและนักการเมืองว่าจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องมากกว่ากัน

หลายพื้นที่ของประเทศนี้ ประชาชนกำลังประสบภัยปัญหาไม่มีที่ดินทำกิน มีการแย่งชิงพื้นที่เพื่อทำการเกษตรระหว่างชาวบ้านและนายทุนเจ้าที่ดินขนาดใหญ่ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

เครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ ซึ่งเป็นภาคประชาชนกลุ่มใหญ่ที่ออกมาเคลื่อนไหวแก้ปัญหาที่ดินของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ได้ร่วมทำงานแก้ปัญหาที่ดินกับรัฐบาล โดยนายกอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินฯ และได้นั่งเป็นประธานด้วยตัวเอง ถึงวันนี้ใกล้ครบกำหนด 90 วัน ของการทำงานของคณะอนุกรรมการฯ ในคณะกรรมการอำนวยการฯ แต่การดำเนินงานยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

ในพื้นที่ ปัญหาการแย่งชิงที่ดินทำกินของชาวบ้านกับรัฐราชการ รวมทั้งอิทธิพลเถื่อนยังคงเกิดขึ้น มีการข่มขู่ คุกคาม และรุนแรงถึงขั้นยิงกราด เผาบ้านอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ตัวอย่างกรณีแรกที่ เขตพื้นที่ ส.ป.ก.ใน อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ช่วงวันที่ 16-19 พ.ค. มีการข่มขู่ คุกคาม ใช้อาวุธปืนยิงกราด และเผาบ้านพักชั่วคราวจำนวน 19 หลัง โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลมืดในพื้นที่ ที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทขนาดใหญ่ที่เคยขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อปลูกปาลืมน้ำมัน แม้ขณะนี้บริษัทได้หมดอายุแล้วแต่ยังมีความพยายามขับไล่ชุมชนต่างๆ ให้ออกจากพื้นที่ ส่งผลให้สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ต้องย้ายพื้นที่ไปอาศัยกับชุมชนใกล้เคียง

อีกกรณีหนึ่งในพื้นที่ ต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งในอดีตเป็นพื้นที่อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดพื้นที่ป่าให้ชาวบ้านเข้าไปทำกินเมื่อปี พ.ศ. 2515-2516 ต่อมาเมื่อสถานการณ์สงบลง รัฐบาลมีนโยบายให้ชาวบ้านอพยพออกจากพื้นที่ ซึ่งก็คือพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่ให้บริษัทเอกชนเช่าปลูกป่ายูคาลิปตัส และเมื่อบริษัทหมดสัญญาเช่าแล้ว ชาวบ้านกลุ่มเดิมที่เคยทำกินในพื้นที่นี้มาก่อน จำนวน 171 ครอบครัวจึงเข้าไปทำกินในพื้นที่ แต่กลับถูกขู่คุกคามโดยการปล่อยข่าวว่าจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่

นอกจากนี้ยังมีกรณีของชาวบ้านที่ถูกประกาศพื้นที่ป่าทับที่ทำกินที่ปัญหายังคาราคาซังกันอยู่ แม้ในบางพื้นมีการตกลงให้ชาวบ้านทำกินชั่วคราว แต่ในบางพื้นที่กฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่คุกคามชาวบ้าน ให้ไม่สามารถทำมาหาอยู่ได้อย่างเป็นสุข

หลายครั้ง และหลายพื้นที่ ที่มักได้ยินเสียงสะท้อนจากในพื้นที่ว่า "ชาวบ้านกลัวกฎหมาย แต่นายทุนไม่กลัว เพราะเขามีเงิน เขามีรัฐเป็นเพื่อน"

และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนได้ถึงความจริงใจของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน

มันสร้างข้อสงสัยขึ้นในใจว่า การที่นายกรัฐมนตรีหยิบยกเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไปจนถึงเรื่องโฉนดชุมชน ธนาคารที่ดิน ขึ้นมาพูดถึง นั่นคือการหาเสียงท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ดูไม่ค่อยมั่นคงของรัฐบาลบนฐานคะแนนของคนรากหญ้า มากกว่าความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรคนยากจนโดยแท้จริง

.....

การที่คนส่วนหนึ่งให้การสนับสนุนแนวคิดจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นั่นเพราะเขาถือว่ามันคือจุดเริ่มต้นหนึ่งของความพยายามจัดการกับความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่ในสังคม ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่าแค่การจัดเก็บภาษีนี้ มันไม่สามารถทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมระหว่างคนรวยและคนจนแคบลงได้ ไม่สามารถเร่งรัดให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินจากมือคนรวยสู่มือเกษตรกรได้ ไม่สามารถทำให้ราคาที่ดินถูกลงพอที่คนธรรมดาสามัญไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานกว่าจะมีที่ดินมีบ้านเป็นของตัวเอง ฯลฯ

ถึงอย่างไรมันก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มทำอะไร...

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของการปฏิรูประบบภาษีที่จะมีส่วนอย่างสำคัญต่อการกระจายการถือครองที่ดิน ที่เราต้องการจะไปให้ถึง

เมื่อที่ดินคือทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ไม่แพ้น้ำ อากาศ ป่าไม้ ในฐานทรัพยากรในการผลิตที่ผูกพันกับวิถีชีวิตผู้คนมาเนินนาน และเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเข้าถึง แต่มันกลับถูกแปลงเป็นสินค้าที่ถูกควบคุมโดยกลไกตลาดอย่างเต็มรูป ที่ถูกปั่นราคา เก็งกำไร ซื้อมาขายไปกันอย่างคล่องมือในหมู่ผู้มีอันจะกินที่ไม่ต้องอาบเหงื่อลงดินก็มีกินไปตลอดชาติ

ในขณะนี้ที่การออกกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการทางภาษียังต้องลุ้น แถมความคาดหวังถึงการปฏิรูปที่ดิน ยังเป็นเรื่องที่ดูยาวไกล

เอาแค่เฉพาะหน้านี้ จะทำอย่างไรให้ทุกคนที่อยากใช้ทรัพยากรที่ดินในการผลิตสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่ถูกข่มขู่คุกคามจากกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ นี่คงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาที่ดินให้กับประชาชน และดูเหมือนมันจะยากเย็นเต็มกลืนอยู่แล้ว

รัฐบาลอย่าหยิบยกเรื่องปฏิรูปภาษีเพื่อความเป็นธรรม ปฏิรูปที่ดินเพื่อคนจน ขึ้นมาสร้างกระแส แล้วปล่อยให้เราต้องมานั่งฟันหวานอยู่กับอะไรที่เลื่อนลอย ช่วยสร้างผลงานสักชิ้นให้เห็นประจักษ์ในความจริงต่อการแก้ปัญหา ที่ไม่ใช่แค่การเอาผลประโยชน์ของประชาชนใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงสนับสนุนทางการเมือง

เหมือนที่บอกกันมาว่า "ประชาธิปไตยของคนจนคือประชาธิปไตยที่กินได้" รัฐบาลที่ไม่มีน้ำยาแก้ปัญหาให้ประชาชนมีอยู่มีกินได้ก็ไม่ควรเป็นรัฐบาลของประชาชนเช่นกัน

บล็อกของ Hit & Run

Hit & Run
ศรายุธ ตั้งประเสริฐ
Hit & Run
  โจว ชิงหมาเกิด     ประเด็นฮอตฮิตในรอบสัปดาห์นี้หนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือบทสัมภาษณ์ "สมชาย หอมละออ"แย้มผลสอบสลายชุมนุมพฤษภา′53 ผัวเมียทะเลาะกัน... ผิดทั้งคู่ (วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 14:00:45 น. สัมภาษณ์พิเศษ โดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์)    
Hit & Run
เดือนมีนาคมแล้วค่ะท่านผู้อ่าน ช่วงเวลาที่นักเรียนชั้น ม.6 ต้องจำจากจรสถาบันอันเป็นที่รักเพื่อก้าวไปข้างหน้า ทั้งจากความต้องการของตัวเองและกระแสสังคมที่ต่างคาดหวังว่าการ ศึกษาคือหนทางแห่งการเป็น “เจ้าคนนายคน” หากท่านผู้อ่านเคยผ่านช่วงเวลาของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นระบบเอนทรานซ์หรือระบบแอดมิชชันคงยังจำช่วงเวลาหฤโหดของการเข้าห้องสอบที่แบกเอาความฝันของตัวเอง ความคาดหวังของผู้บุพการี และหน้าตาของสถาบันระดับมัธยมศึกษา (ที่มักจะวัดกันด้วยจำนวนนักเรียนที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้)ตลอดจนท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู อาจารย์…
Hit & Run
ปีนี้บรรยากาศเหน็บหนาวที่มาพร้อมกับลานเบียร์หลายแห่งตามห้างสรรพสินค้า มีเรื่องสนุกสนานทวีคูณมากขึ้น เมื่อเกิดปรากฏการ “สาวลีโอ” ที่ยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังเมื่อไปพันกับการเมืองยุคอำมาตย์ฝึกหัดครองเมือง เมื่อมาถึงปลายปีที่มีบรรยากาศหนาวๆ ชวนให้เปล่าเปลี่ยว ธรรมเนียมปฏิบัติของบรรษัทค่ายน้ำเมาต่างๆ จะต้องมีแคมเปญอะไรมาเป็นของกำนัลให้กับหนุ่มๆ คึกคักมีชีวิตชีวา โดยปฏิทินรูปแบบวาบหวามมักจะถูกเข็นออกมาในช่วงนี้ และลีโอก็ไม่เคยพลาด หลังจากที่ได้ “ลูกเกด - เมทินี กิ่งโพยม” มาช่วยเป็นแม่ทัพดูแลการผลิตด้านสื่อหวาบหวิวให้ค่ายลีโอ…
Hit & Run
สถานการณ์ในเมืองไทยตอนนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถนำเสนออะไรหลายอย่างได้โดยเฉพาะสิ่งที่มาจากต่างประเทศ ก็เพราะประเทศสยามกำลังพยายามปิดกั้นไม่ให้ประชาชนรับรู้ข้อมูลจากสื่อต่างชาติ หรือถ้าจะให้รับรู้ก็จะถูกบิดเบือนหรือรับเอามาดัดแปลงให้เป็นวาทศิลป์มุ่งสำเร็จความใคร่ในการทำลายล้างศัตรูของตนเอง โดยไม่สนถึงผลกระทบที่ตามมาว่าจะบานปลายร้ายแรงขนาดไหน
Hit & Run
ก่อนที่คนเสื้อแดงจะได้รับการยอมรับนับถืออย่างทุกวันนี้ เราผ่านอะไรมามากมาย และมาวันนี้เราอาจจะลืมอะไรไปมากมายเช่นกัน ทุกวันนี้การสอดแทรกประเด็นประชาธิปไตยเพื่อผูกโยงกับมวลชนคนรักทักษิณเป็นเรื่องหลักๆ ที่เราพูดถึงกัน โดยจุดสำคัญที่ฝ่ายที่เรียกว่าตนเองเป็น“ฝ่ายที่เป็นปัญญาชน-ฝ่ายที่ต้านลัทธิเสรีนิยม” สามารถมายืนข้างคนรักทักษิณได้อย่างไม่เคอะเขิน ก็คือการที่คุณทักษิณได้รับการเลือกตั้งมาตามวิถีประชาธิปไตยแล้วถูกโค่นอำนาจโดยการรัฐประหาร
Hit & Run
“กม.มั่นคงคุมเขตดุสิต แดงเย้ยตื่นตูม พท.ชี้ยั่วยุคนมาชุมนุม นายกฯ อ้างมีข่าวมือที่สาม”
Hit & Run
ขอ 'อภัย' ล่วงหน้า หากว่าเรื่องนี้จะ(ไม่) เกี่ยวข้องกับการ 'อภัย' ใน 'โทษ' ของคนตนหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นร้อน!
Hit & Run
ดูเหมือนว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์เวชชาชีวะจะให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์-รณรงค์ทางอินเทอร์เน็ตเป็นพิเศษโดยที่ผ่านมามีการเปิดตัวเว็บไซต์หลายโครงการอาทิโครงการต้นกล้าอาชีพhttp://www.tonkla-archeep.com/ เว็บไซต์ช่วยชาติที่แสดงข้อมูลและความคืบหน้าของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรััฐบาล http://www.chuaichart.com/ เว็บโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชนhttp://www.chumchon.go.th/ โครงการคิดอย่างยั่งยืนตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกอ.รมน. หรือ MOSO http://mosothai.com และล่าสุดhttp://ilovethailand.org เว็บที่ชวนคนมาแสดงความรักประเทศไทยผ่านบล็อกคลิปวิดีโอรูปถ่ายและข้อความสั้น
Hit & Run
คุณ ลิเดีย กูวารา อาจไม่ได้มีความงามตามแบบฉบับสาวทั่วไป แต่ จากองค์ประกอบการจัดวาง การตกแต่ง อุปกรณ์เสริมคือแครอทเป็นเหมือนแถบคาดกระสุน รวมถึงการโพสท์ท่าของเธอ ทำให้ดูมีเสน่ห์ด้วยพลังของความเป็นชาย (masculine) ...แม้แครอทจะดูเล็ก ๆ เหี่ยว ๆ ไปหน่อยก็ตาม
Hit & Run
ในปีนี้หนังสือพิมพ์ไทยรัฐคว้ารางวัล “ภาพข่าวยอดเยี่ยม” ไปครอง หลังจากนั้นมาไม่กี่วันก็แทบจะต้องเพิ่มตำแหน่งมิสป๊อบปูล่าไปให้ด้วย เพราะมันไม่ใช่ได้รางวัลแล้วก็แล้วกันไปแบบทุกปี หากแต่ถูกพูดถึงอย่างมากมาย โดยเฉพาะในโลกไซเบอร์ มีทั้งคำชื่นชมและผรุสวาทให้ระงม ฐานที่เกี่ยวพันกับการเมืองลูกกวาดหลากสีของเราเต็มๆ ในฐานะที่ไม่ใช่คณะกรรมการ (และไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ด้วย) ขอประกาศสนับสนุนคณะกรรมการที่ให้รางวัลแก่ภาพนี้ โดยจะขอยกเหตุผลเพิ่มเติมจากท่านคณะกรรมการตัวจริงที่อาจพูดสั้นไป เพราะท่านคงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพวกไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้จักแพ้ชนะ ทั้งยังไม่มีองค์ความรู้ด้านสื่อสารมวลชน…
Hit & Run
ภาพจาก: http://imaim.wordpress.com แรงกระเพื่อมของสังคมไทยในช่วงที่ผ่านมา ต่อเรื่อง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำให้ต้องมานั่งนับวันว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่กฎหมายฉบับนี้นี้จะเขาที่ประชุม ครม.เพื่อลุ้นเอาแค่กฎหมายฉบับนั้นจะผ่านครม.เข้าสู่สภาฯ ได้หรือไม่ แล้วค่อยไปว่ากันต่อด้วยเรื่องหน้าตาว่าจะออกมาสวย หล่อ เพียงใด ตามที่ รมว.คลัง ท่านบอกผ่านสื่อมวลชนไว้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา มีกำหนด 2 สัปดาห์ นี่ก็คงอยู่ในช่วงระยะเวลานัดหมายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ล่าสุด รมว.คลังกล่าวผ่านสื่อว่า กระทรวงการคลังยังเดินหน้าแนวคิดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยจะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.…