สายวันหนึ่งขณะที่เดินทางออกไปนอกบ้าน ท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งจอแจเช่นเคย สายตาเหลือบไปเห็นข้อความด้านหลังของรถแท็กซี่มิเตอร์สีเขียวเหลืองคันที่อยู่ข้างหน้า “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน”...
แม้จะเป็นข้อความเรียบง่ายธรรมดาๆ แต่ก็เป็นข้อความที่มีความหมาย และให้ความรู้สึกแปลกตาโดยเฉพาะเมื่อมาปรากฏอยู่บนกระจกหลังของแท็กซี่เช่นนี้ ทำให้พาลอยากรู้ว่าเจ้าของข้อความซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลังพวงมาลัยของแท็กซี่คันนี้ก็เป็นได้ มีฝันอะไรแล้วได้ใช้ความพยายามหรือความกล้าไปแลกมาซึ่งความฝันของตัวเองบ้างแล้วหรือยัง
แม้จะได้ผ่านตาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแต่ข้อความนั้นก็ได้เข้ามาสิงสถิตอยู่ในหัวและก่อเกิดเป็นท่วงทำนองของความคิดในห้วงถัดมา
ความคิดที่ว่าเกาะเกี่ยวอยู่กับคำว่า “ความฝัน” และการเข้าไปหาสิ่งที่ตัวเองฝันของคนเรา ไม่ว่าจะด้วยอาการกล้าหรือกล้าๆ กลัวๆ ขัดเขินหรือค่อยเป็นค่อยไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาระหรือเป็นเสมือนเข็มทิศให้กับการค้นหาเส้นทางในการดำเนินชีวิตของคนเราทุกคน
ความฝันแม้โดยถ้อยคำอาจจะดูเหมือนล่องลอย เป็นนามธรรมหรือจับต้องไม่ได้ แต่เมื่อมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์และนำมาวางเทียบเคียงกับสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินไปของคนเรา ความฝันมักจะเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักหนักแน่น และสามารถบงการชีวิตของคนเราให้ก้าวไปในทางใดทางหนึ่งอยู่เสมอ ฉะนั้นแค่เพียงมองดูความหมายของถ้อยคำกับสิ่งที่มีผลจริงๆ ต่อชีวิต ความฝันที่เบาบางล่องลอยแท้จริงแล้วกลับมีพลังและดลดาลทุกอย่างให้เกิดขึ้นในชีวิต
จึงไม่น่าแปลกใจที่เรามักจะได้ยินได้ฟังประโยคทำนองนี้อยู่บ่อยๆ ว่า “คุณมีความฝันหรือไม่ ทำความฝันให้เป็นจริง เดินไปหาความฝัน กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน…” ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นคำกล่าวในเชิงปลุกเร้าหรือกล่าวขึ้นมาลอยๆ ก็ตาม แต่คำว่าความฝันก็ไม่เคยอยู่ห่างไกลไปจากความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นไป
เมื่อมาคิดต่อถึงที่ทางของความฝันที่คนเราเก็บเอาไว้ ไม่ว่าจะในร่างกายหรืออวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม ที่แห่งนั้นย่อมจะต้องทำหน้าที่ได้ดีกว่าส่วนของการจดจำ จดจำว่าคนเราฝันอะไร เพราะอะไรจึงฝันเช่นนั้น แม้จริงๆ แล้วความฝันอาจจะไม่ต้องการเหตุผลมากก็ได้ แต่ความฝันที่ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ย่อมไม่ต่างไปจากสายป่านของลูกโป่งสวรรค์ที่ถูกปล่อยลอยให้หลุดจากมือแล้วเราเองก็มองเห็นได้แต่สีสันที่ค่อยๆ ลอยลิบหายไปจากสายตา
นอกจากคำกล่าวเปรียบเปรยและทักทายถึงความฝันของคนเราที่มักจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอไม่ว่าจะโดยคนรอบข้างหรือจากเสียงภายในของเราเองที่ปลุกเร้าตัวเองด้วยการเชิดชูความฝันใดความฝันหนึ่งขึ้นมา ในทำนอง “กล้าที่จะไปให้ถึงฝัน” หรือไม่ คนเราควรจะหันกลับมามองและตรวจสอบความรู้สึกนึกคิด พลังในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นแรงบันดาลใจหรือความพยายามในรูปแบบต่างๆ ถามตัวเองด้วยความรู้สึกที่แท้จริงว่า เรามีความฝันหรือไม่และจำเป็นหรือไม่ที่คนเราจะต้องจัดวางที่ทางในชีวิตไว้ให้สำหรับความฝัน
หรือว่าที่ความฝันปรากฏและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา แท้จริงแล้วก็เป็นเหมือน “วาทกรรม” ทางสังคม ที่เรามักจะผ่านหูผ่านตาไปพบเข้าแล้วเก็บกลับสิ่งที่เรียกกันว่าความฝันเข้ามาเติมไว้ในชีวิตของเราเอง เพื่อไม่ให้เป็นชีวิตที่ว่างเปล่าจนเกินไปหรือขาดไร้ซึ่งทิศทางจนไม่รู้ว่าวันต่อวันจะเดินหน้าไปทางไหนหรือเอาความคิดความจริง สิ่งที่ลงมือกระทำไปฝากไว้กับสิ่งใดหรือผู้คนใด
ถ้าเราตอบตัวเองได้ว่าสิ่งที่ฝันมีเป้าหมาย มีเส้นทางของการดำเนินไปและมีจุดหมายเพื่อที่จะบรรลุ ความฝันเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นความฝันเกี่ยวกับเรื่องใดก็น่าที่จะมีน้ำหนักและไม่ล่องลอยหรือว่างเปล่าจนยากจะเติมเต็มหรือทำให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งต่างๆ จากความฝันของใครหลายคนที่แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ดึงเข้ามาประดับไว้เพื่อให้ชีวิตของตัวเองเป็นชีวิตที่มีความฝัน แม้จะไม่มีทางเป็นไปได้จริง นอกเสียจากมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น
เป็นการยากที่จะตัดสินหรือมองลงไปให้ชัดว่าฝันของใครเป็นฝันที่มีน้ำหนักหรือฝันแบบไหนที่ว่ายากจะไปถึง กระทั่งไม่มีวันที่ฝันจะเป็นจริงหรือเป็นความฝันที่ลมๆ แล้งๆ เพราะฝันของคนแต่ละคนมีที่มาที่ต่างกันและมีส่วนที่เก็บงำเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ลึกล้ำแตกต่างกัน ยากที่คนหนึ่งคนใดจะมองเห็นหรือเข้าถึงความฝันที่อีกคนหนึ่งเตรียมเอาไว้เป็นเสบียงแบกหามเพื่อให้การเดินทางในชีวิตแต่ละวันของตัวเองไม่ว่างเปล่าจนเกินไป
แต่ถ้าหากเราถามตัวเองแล้วว่าฝันถึงสิ่งใดอยู่ และเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ฝันจะเป็นฝันที่ดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นและหากทุ่มเทเรี่ยวแรงพลังลงไปเพื่อผลักดันทำสิ่งนั้นให้บรรลุเกิดขึ้นเป็นจริงได้แล้วจะทำให้ชีวิตมีด้านที่หลากหลายสมบูรณ์ขึ้น ก็ขอให้ก้าวเข้าไปหาสิ่งนั้นด้วยความกล้า และลงมือทำด้วยความเชื่อมั่นและเต็มใจ
ฝันจะเกิดขึ้นหรือเป็นจริงได้หรือไม่ก็ยังขึ้นชื่อว่าเป็นมากกว่าผู้ที่แบกเอาไว้ซึ่งความฝัน