ความสัมพันธ์อันมั่นคงยืนนานตั้งอยู่บนความรักโดยสมัครใจ ซึ่งกว่าจะได้มาก็ใช้เวลายาวนานในการปลูกสร้างสั่งสมจนเชื่อมั่นไว้วางใจกัน เพราะได้ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลอุปถัมภ์กันในยามยากและยามคับขัน ให้อภัยกันในยามหลุดปากพลั้งมือผิดพลาดต่อกัน ต่างฝ่ายต่างเข้าใจว่าเราตั้งใจจะคงความสัมพันธ์นี้ต่อไปและเราจะอยู่ด้วยกันอย่างยาวนานได้ก็ด้วยการปฏิบัติต่อกันเยี่ยงนี้
ทว่าเมื่อใดก็ตามที่เราตัดสินใจย้ายฐานความสัมพันธ์นั้น ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ไปอยู่บนการขู่เข็ญบังคับลงโทษแทนมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ กลับจะไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ดังกล่าวและอาจส่งผลด้านกลับแปรความสัมพันธ์นั้นให้กลายคุณภาพ คือไม่สามารถรู้แน่ว่าเป็นการแสดงออกด้วยความสมัครใจ หรือด้วยความหวาดกลัว
ถึงจุดนั้น สภาพความสัมพันธ์ที่ปรากฏให้เราได้เห็นได้ยิน จะไม่มีคุณภาพเหมือนเดิม เป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนเท่าที่ความกลัวอำนาจบังคับตั้งอยู่เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว ในห้วงลึกของจิตใจแต่ละคน อาจไม่มีคุณภาพเดิมอยู่เลยก็ได้ และตรงนั้นต่างหากที่เป็นที่ตั้งสำคัญที่สุดของความสัมพันธ์
ผมคิดว่าผูัคนจำนวนมากในสังคมไทยไม่เข้าใจความข้างต้นและกำลังทำลายความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่อย่างปราศจากความคิด
เราอยู่ในสังคมการเมืองที่มากไปด้วยมรดกของการใช้อำนาจรัฐปิดปากฝ่ายค้านและผู้มีความเห็นต่างไม่ให้ออกสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นปกติธรรมดามานานปี ดังนั้นเมื่อมีการระงับออกรายการ ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด (เหนือเมฆ, คนค้นคนตอนศศิน, ฯลฯ) เราจึงคิดแบบแทบจะอัตโนมัติ/เป็นสัญชาตญาณเลยว่า "รัฐบาล", "หน่วยราชการ", "นักการเมือง" แทรกแซงให้แบนอีกแล้ว...