Skip to main content
การล่า 1 ล้านรายชื่อของสามเกลอแห่ง "ความจริงวันนี้" เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นประเด็นให้คนเสื้อแดงถกเถียงแก้เซ็งไปพลาง ๆ โหมโรงการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป


มีความคิดเห็นค่อนข้างหลากหลายในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกัน ทั้งนี้เพราะคนเสื้อแดงนั้นมีความหลากหลายในตัวเองอยู่แล้ว คือมีตั้งแต่ "แดงอนุรักษ์" ไปจนถึง "แดงถอนรากถอนโคน" ซึ่งลักษณะที่ว่านี้ไม่มีในหมู่คนเสื้อเหลือง


บางคนในฝ่ายแดงมีความเห็นว่าการถวายฎีกานั้นเท่ากับยอมรับว่าอดีตนายก ฯ ทักษิณ ผิดจริง บางคนเห็นว่าการถวายฎีกานั้นคือการดึงอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง บางคนบอกว่าขอดูรายละเอียดในฎีกาเสียก่อน ในขณะที่บางคนคิดว่าการถวายฎีกาเป็นโบราณประเพณีที่สามารถทำได้เมื่อคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฯลฯ


ผมไม่มีความเห็นไปในทางใดทางหนึ่งเพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้ใหญ่โตจนต้องขยายผลอะไร แต่ก็ไม่ใคร่สบายใจนักเมื่อได้ยินเรื่องการถวายฎีกาเพราะเห็นว่าคนเสื้อแดงควรจะสู้กับความไม่เป็นธรรมด้วยวิธีอื่น เป็นต้นว่าควรจะพึ่งอะไรที่มันเป็นหลักการมากกว่าตัวบุคคลหรือถ้าพึ่งหลักการไม่ได้เพราะถูกแทรกแซงหมดแล้ว ก็ควรที่จะล้มเลิก ล้มล้างมันเสีย ยกตัวอย่าง เช่น หากเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาล มีความเอนเอียง ใช้กฎหมายพิฆาตฝ่ายเสื้อแดง ก็ควรจะขัดขืนต่อต้านคำพิพากษาของศาลโดยอาจต้องใช้ความรุนแรงบ้างในสถานการณ์ที่จำเป็น ผมยังคิดว่าถ้าหากกระบวนการยุติธรรมหรือศาลยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ (อ้างพจนานุกรม อ้างหลวงตามหาบัว เขียนคำพิพากษาแบบไม่มีตรรกะ)สงครามกลางเมืองก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องเกิดขึ้น


อันที่จริงเท่าที่ติดตามฟัง คุณวีระ มุสิกะพงศ์ พูดเปรย ๆ เรื่องการถวายฎีกาหลายครั้งหลายหนแล้วแต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติและกลายเป็นข่าวใหญ่โตในหมู่คนเสื้อแดงและไม่แดงเหมือนครั้งนี้ แสดงว่าเรื่องนี้อยู่ในใจของคุณวีระ มุสิกะพงศ์มานานแล้วและคงคิดมาแล้วในระดับหนึ่ง ไม่ใช่มานึกเอาปุบปับบนเวทีสนามหลวงที่เพิ่งผ่านมา


อีกเรื่องหนึ่งที่ได้ยินแล้วไม่สบายใจ และคิดว่าเกี่ยวเนื่องกับการถวายฎีกาก็คือสมมติว่ามีการอภัยโทษให้กับอดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับการล้างไพ่ ล้มกระดานเริ่มต้นใหม่หมด ยกโทษให้กับใครก็ตามที่เคยทำผิดรวมถึงการรัฐประหารและการปิดสนามบิน การต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่าทันที


คนที่ทำรัฐประหารต้องได้รับโทษทัณฑ์ ไม่ทางกฎหมายก็ทางสังคม เช่นเดียวกับกลุ่มที่ปิดสนามบินควรจะได้รับโทษตามความผิดที่ก่อไว้ ไม่เช่นนั้นแล้ว สังคมจะอยู่ร่วมกันบนความสมานฉันท์ได้ยาก เราจะปล่อยให้คนที่ข่มขืนผู้อื่นลอยนวลโดยไม่ได้รับโทษทัณฑ์ได้อย่างไรกัน? เราจะปล่อยให้คณะรัฐประหารและกลุ่มพันธมิตรลอยนวลโดยไม่ได้รับโทษทัณฑ์ได้อย่างไรกัน ?


กลับมาที่เรื่องการถวายฎีกา ผมคิดว่าสามเกลอแห่งความจริงวันนี้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางการประณีประนอมเพื่อหาทางให้อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตรได้กลับบ้านซึ่งถ้าทำได้จริง อาจทำให้เกิดความสงบชั่วคราวพร้อม ๆ กับที่ประชาธิปไตยสะดุดหยุดนิ่ง

อุดมการณ์ของคนเสื้อแดงไปไกลเกินกว่าจะประณีประนอมได้แล้ว การประณีประนอมจะทำให้มวลชนอ่อนพลังลง การลุกขึ้นสู้ต่างหากคือสิ่งที่คนเสื้อแดงต้องทำ การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ไม่มีอภิสิทธิชนต่างหากที่ชาวเสื้อแดงควรจะทำ


ผมไม่ได้คัดค้านเรื่องการถวายฎีกา ที่จริงแล้วในใจผมแอบเชียร์อยู่ด้วยซ้ำเพราะอยากให้อดีตนายก ฯ ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากบ่วงกรรมที่คล้องคออยู่ แต่อย่างที่บอกไปแต่ต้นว่าเรื่องถวายฎีกาไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับคนเสื้อแดง


ลองมองในแง่ดี การถวายฎีกาอาจหมายถึง "การรุก" อย่างมีจังหวะของคนเสื้อแดง หากผลออกมาเป็นลบ การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็จะชัดเจนขึ้น สามเกลอก็คงจะตระหนักใน "ความจริงวันนี้" ได้มากขึ้น


ผมเชื่อว่าเป็นไปได้มากที่ผลของการถวายฎีกาจะไม่ออกมาเป็นบวก...

ส่วนเนื้อหาของฎีกานั้นเขียนได้ดีในระดับหนึ่งโดยเฉพาะการย้อนกลับไปที่รัฐประหาร 19 กันยา 49

"การยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่19 กันยายน พ.ศ.2549 นอกจากก่อให้เกิดผลเสียทางเศรษฐกิจ ทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทางด้านความมั่นคงแล้ว ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จนนักกฎหมายผู้เคารพต่อศักดิ์ศรีวิชาชีพต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจากปี 2549 ถึงปัจจุบันนี้ ประเทศเรามีปัญหาด้านนิติรัฐและนิติธรรม เป็นที่น่าอับอายแก่นานาอารยประเทศ"


http://upload.one2car.com/download/download.aspx?pku=4D4EC4F13CELPTGF8R2VDMZZ1HLN6

 

ปล่อยให้นักการเมืองเล่นบทของตนเองด้วยการถวายฎีกา ส่วนแนวร่วมหัวก้าวหน้าก็แยกไปทำเรื่องอื่นเพื่อเป้าหมายเดียวกัน คนเสื้อแดงบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยควรจะสงวนสิทธิ์ของตนเองรักษาจุดยืนไว้ให้มั่น ความแตกต่างทางความคิดเหล่านี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากจะทำให้แดงยิ่งเข้มและแรงขึ้น.

 

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛                                                ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน  อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ  ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…