Skip to main content

การหวนกลับมาระบาดอย่างหนักของยาเสพติดในปัจจุบัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด และได้ผลของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ถึงแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิทธิมนุษยชน แต่ข้อดีอันเป็นรูปธรรมที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือยาเสพติดได้ลดหายไปจากสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน-นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผม “คิดถึง” อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร

การเอาจริงเอาจังกับปัญหายาเสพติดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายเดือดร้อนถูกจับกันถ้วนหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้ซื้อและขายอย่างสะดวกสบายโดยที่รัฐบาลไม่มีปัญญาจะจัดการได้

ผู้ขายยาเสพติดรายใหญ่คนหนึ่งบอกว่า เขาสามารถซื้อตำรวจได้ทั้งจังหวัด และไม่คิดว่านโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของอดีตนายกฯ ทักษิณ  ชินวัตร นั้นจะทำอะไรเขาได้เพราะรัฐบาลแล้วรัฐบาลเล่าก็ดีแต่พูดว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติดแต่ไม่เคยทำได้จริงสักที อย่างไรก็ตามไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็ถูกจับโดยตำรวจที่เขาเคยซื้อและคิดว่ายังซื้อต่อไปได้

ปัญหายาเสพติดนั้นเป็นปัญหาที่ผมให้ความสำคัญในระดับต้น ๆ สำหรับปัญหาของเยาวชน เพราะเยาวชนที่หลงเข้าไปบนทางเส้นนี้แล้ว โอกาสที่จะเสียคน เสียเวลา เสียอนาคตนั้นมีอยู่ไม่น้อย  ผมไม่ใช่คนแก่ (และยังไม่แก่) ที่ชอบพร่ำบ่นถึงการทำตัวเหลวไหลของเด็ก ๆ เพราะผมเองก็เคยทำอะไรที่เหลวไหลไว้มากเหมือนกันในอดีต

 

ผมรู้จักเด็กคนหนึ่งตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม 5 พอขึ้นชั้นมัธยม 1 เด็กคนนี้ก็เริ่มหัดสูบบุหรี่ พอขึ้นชั้นมัธยม 2 เทอมปลายก็หัดเสพยาบ้าซึ่งหาได้ง่าย ๆ ในซอยที่อาศัยอยู่ พออยู่มัธยม 3 ก็นำยาบ้าเข้าไปในโรงเรียนเอาไป “ปล่อย” ให้เพื่อนนักเรียนด้วยกัน

เด็กคนนี้ไปโรงเรียนทุกวันแต่แทบไม่เคยเข้าชั้นเรียน บางทีก็ไปหลบอยู่ตามห้องน้ำหรือตามซอกต่าง ๆ ของโรงเรียน

ครูประจำชั้นเรียกแม่ของเด็ก (เด็กคนนี้มีแต่แม่ ไม่มีพ่อ) ให้ไปพบหลายครั้งหลายหนทั้งในเรื่องการขาดเรียน และเรื่องสูบบุหรี่ที่ครูจับได้คาหนังคาเขา แต่ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

แม่ของเด็กตัดสินใจส่งลูกไปเรียนต่อมัธยมปลายที่ต่างจังหวัด แต่ก็ไม่อาจทำให้อะไรดีขึ้นเช่นกัน ซ้ำร้ายยังหนักกว่าเดิมเสียอีก เพราะประสบการณ์จากเมืองกรุงทำให้เด็กตั้งตนเป็นผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยได้อย่างง่าย ๆ ในต่างจังหวัด

อย่างไรก็ตาม เด็กคนนี้เกือบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเกิดการ “หักของ” กันกับพ่อค้ารายย่อยกลุ่มอื่น แม่จึงเรียกตัวกลับกรุงเทพ ฯ อีกครั้งในขณะที่การเล่าเรียนก็ถูกยกเลิกไปกลางคัน

แม่ของเด็กคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า เคยถึงขนาดยอมกราบเท้าลูกทั้งน้ำตาเพื่อให้ลูกเลิกยุ่งกับยาเสพติด ฝ่ายลูกก็รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะเลิก ลูกพูดสาบานด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าจะเลิก แต่หลังจากสาบานเพียงไม่กี่วันก็กลับไปหายาเสพติดอีก

ปัจจุบัน เด็กคนนี้กลายเป็นพ่อค้ารายย่อยเต็มตัว และยังชักชวน หลอกล่อให้เด็กคนอื่นหันมาเสพยาเสพติดโดยแรก ๆ ก็ให้เสพฟรี ๆ พอติดใจก็เริ่มขาย ใครที่ไม่มีเงินซื้อก็ให้ช่วย “เดินของ”เพื่อแลกกับยา ส่วนแม่ของเด็กนั้นเลิกสนใจไยดีแล้ว เธอบอกว่าต่อให้ลูกถูกตำรวจจับเธอก็จะไม่ขอยุ่ง เธอปวดร้าวมากกับลูกเพียงคนเดียวคนนี้ หากมีเวลาว่างเธอจะหันหน้าเข้าหาธรรมะ นุ่งขาว ห่มขาว ปล่อยวางและทำใจ

ส่วนเด็กคนนี้เล่าให้ผมฟังว่าแม่นั้นคิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง ทอดทิ้งเขามาตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่าเขาโตมากับการเลี้ยงดูของยาย ป้าและคนอื่น ๆ

เด็กบอกว่า “ถ้าหากพ่อยังอยู่ คงจะไม่เป็นอย่างนี้”

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่ายังมีความดีงามอยู่ในตัวของเด็กดังนั้นเพื่อไม่ให้กลายเป็นเด็กเร่ร่อนหลังจากที่แม่ประกาศตัดหางปล่อยวัด ผมจึงให้เด็กคนนี้มาอาศัยอยู่กับผมชั่วคราว เตรียมตัวสมัครเรียนมัธยมปลายอีกครั้ง และขอให้เด็กเลิกยุ่งกับยาเสพติด เด็กรับปากตามเคยแต่ก็ทำไม่ได้อีกตามเคยเพราะ “แค่ลงจากบันไดก็พบแหล่งที่จะหายาเสพติดได้แล้ว”

ผมโทรศัพท์แจ้ง ปปส.และตำรวจท้องที่หลายครั้งเพื่อให้จัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ครั้งหนึ่งตำรวจถามผมกลับด้วยความหงุดหงิดใจว่า “จะให้ทำอย่างไรล่ะ ผู้ปกครองยังแก้ไม่ได้แล้วตำรวจจะทำอะไรได้”

ผมจำได้ดีว่าตนเองเคยเขียนบทความต่อต้านนโยบายปราบปรามยาเสพติด ซึ่งก่อให้เกิดการฆ่าตัดตอน และทำลายระบบนิติรัฐที่ผู้ต้องหา/ผู้ต้องสงสัยถูกฆ่าโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่ถูกตำรวจวิสามัญและฆ่ากันเอง

ผมจำได้ดีว่าเคยพูดกับเพื่อนว่าสิ่งที่ผมรับไม่ได้กับนโยบาย และการบริหารของพรรคไทยรักไทยมีอยู่สองเรื่องคือปัญหาความรุนแรงจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนโยบายยาเสพติดที่ทำให้เกิดการฆ่าตัดตอน

กระนั้นก็ตาม ปัญหาการระบาดของยาเสพติดอย่างหนักในปัจจุบันได้คืบคลานเข้ามาจนเป็นเรื่องใกล้ตัว และเป็นปัญหาที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจ เจ็บปวดแก่ผู้ปกครองของเด็ก ยังความเสียหายแก่ร่างกายและจิตใจของเด็กที่เสพ ผมจึงหวนคิดถึงนโยบายของพรรคไทยรักไทยในเรื่องนี้

ผมอยากให้รัฐบาลชุดที่กำลังจะเข้ามา จัดการจริงจังกับปัญหายาเสพติดอีกครั้งเช่นที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยทำได้โดยนำเอาความผิดพลาดมาแก้ไขปรับปรุง

และอยากจะขอให้ชนชั้นนำรวมทั้งสื่อมวลชนทั้งหลายเพลา ๆ เรื่องการเมืองแล้วหันมองให้ความสำคัญกับปัญหาสังคมอย่างปัญหายาเสพติดที่กำลังระบาดราวกับโรคร้าย ชนชั้นนำและสื่อมวลชน คงจะไม่ตระหนักว่า ในขณะที่ถกเถียงต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเรื่องการเมืองนั้น มะเร็งร้ายยาเสพติดได้ทำลายเยาวชนไปอย่างไม่อาจแก้ไขย้อนคืนได้.

 

บล็อกของ เมธัส บัวชุม

เมธัส บัวชุม
ท่ามกลางเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่จากนักวิชาการสายพันธมิตร, สื่อสายพันธมิตร, 40 สว. ลากตั้งสายพันธมิตร, พรรคการเมืองสายพันธมิตร, นักสิทธิมนุษยชนสายพันธมิตร, คนกลางสายพันธมิตร, คนดีสายพันธมิตร, ตุลาการสายพันธมิตร และอะไรต่อมิอะไรสายพันธมิตรนั้น เราพอจะได้ยินได้อ่านอะไรที่แตกต่างสร้างสรรค์ เป็นถ้อยคำรื่นหูที่ได้ยินแล้วสบายใจอยู่บ้างแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เสียงส่วนน้อยเหล่านี้ควรค่าแก่การจดจำตอกย้ำหรือเก็บไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง เป็นเสียงแห่งความกล้าหาญที่ช่วยดึงรั้งไม่ให้สังคมเตลิดไปกับความหลงผิด เป็นเสียงแห่งเหตุผลและความถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนคงผ่านหู ผ่านตามาแล้ว แต่ขอนำเสนอซ้ำอีกครั้งหนึ่ง 1.…
เมธัส บัวชุม
พวกกบโง่....เห็นนกกระยาง....เป็นนางฟ้า...สมน้ำหน้า....หลงบูชา....ดุจนางแถน...นางประแดะ.....แสร้งเมตตา...อย่างแกนๆฝูงกบแสน....ดีใจ....ได้นายดี......๚ะ๛                                                ๏..ตรังนิสิงเห...๚ะ๛( http://www.prachatai.com/webboard/wbtopic.php?id=733477 )========================================= ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ละเลงเลือดแผ่นดินเดือด ถ่อยเถื่อน สะเทือนไหมเหล่าแกนนำ อำมหิต คงสะใจประเทศไทย ใกล้พังยับ นับวันรอพันธมิตร ป่วนเมือง ระส่ำสุดเตรียมอาวุธ รบกับใคร กระไรหนอกองทัพธรรม กำมีดพร้า ฆ่าให้พอทำเพื่อ "พ่อ" สนธิลิ้ม และจำลอง ละอองดาว ( http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=13977&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai ) พอฝุ่นควันจากเหตุการณ์สลายหายไป ภาพปรากฏก็เริ่มชัดเจนขึ้น ข้อเท็จจริงค่อย ๆ แสดงตัวออกมาทีละส่วน ๆ ก่อนจะกลายเป็นภาพรวมใหญ่ ทำให้การใส่ความและการโฆษณาชวนเชื่อของแกนนำพันธมิตรฯ…
เมธัส บัวชุม
นายแพทย์ประเวศ วะสี ผู้ซึ่งรู้จักกันโดยทั่วไปภายใต้โลโก้ “ราษฎรอาวุโส” เป็น “ผู้ใหญ่” ที่ใครต่อใครรู้จักกันดี เพราะคำพูดคำอ่านหรือแนวคิดของท่าน ตกเป็นข่าวพาดหัวอยู่เสมอทางหน้าหนังสือพิมพ์และได้รับการขานรับจากกลุ่มคนน้อยใหญ่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรม แม้กระทั่งข้าราชการ บทบาทของนายแพทย์ประเวศ วะสี ในหลาย ๆ วาระและโอกาส มีความสำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองไทยอย่างสูง จนคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น บุคคลดีเด่นของชาติ รางวัลแมกไซไซ รางวัลจากยูเนสโก เหรียญเชิดชูเกียรติจาก WHO เป็นที่ยอมรับโดยไม่มีข้อกังขาว่า…
เมธัส บัวชุม
นอกจากจะรู้จักใช้ “สี” ให้เป็นประโยชน์แล้ว ลัทธิพันธมิตรยังมีความสามารถพิเศษในการ ”เปลี่ยนสี” ให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือ “เลือกสี” ให้เหมาะกับกาละเทศะ เพราะจะใช้ “สีเดียว” ทุกเวลาและสถานที่คงไม่ได้ การรู้จัก “เปลี่ยนสี” นี้เป็นการปรับตัวเช่นเดียวกับที่เราได้เห็นในสัตว์หลายชนิดที่สามารถสร้างสีให้เกิดความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมหรือสื่อสารกับสัตว์ตัวอื่นๆ ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเป็นผู้ล่าหรือผู้ถูกล่า หรือจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีหรือไม่มีกระดูกสันหลังต่างก็มีความสามารถในการเปลี่ยนสีด้วยกันทั้งนั้น
เมธัส บัวชุม
ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 49 กระทั่งปัจจุบัน  อันธพาล-ลัทธิพันธมิตร ได้ผลิต ตอกย้ำนำเสนอ วาทกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จำนวนมาก ผ่านเครือข่ายการสื่อสารที่กว้างขวางและร่วมด้วยช่วยกันกับองค์กรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา บุคคลที่มีชื่อเสียง สว. ลากตั้ง ดารา ฯลฯ  ทั้งที่เป็นวาทกรรมเพื่อมุ่งทำลายฝ่ายตรงข้ามและใช้ในการยกยอปอปั้นลัทธิตนเอง วาทกรรมบางอย่าง ลัทธิพันธมิตรประดิษฐ์ขึ้นโดยตรงสำหรับการกรรโชกข่มขู่รัฐบาลและสังคม แต่บางวาทกรรมไม่ได้คิดขึ้นเองหากแต่นำมาจากประธานองคมนตรี นักวิชาการ ราษฎรอาวุโส สื่อมวลชน และจากบรรดาบุคคลที่เทิดทูนระบอบอมาตยาธิปไตยไว้เหนือหัว…
เมธัส บัวชุม
กลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียเป็นปัญหาเสมอมาสำหรับการสถาปนากติกาการปกครองและระเบียบการเมือง ทั้งนี้เพราะเป็นกลุ่มที่กฎหมายและการจัดระเบียบทางสังคมไม่สามารถควบคุมจัดการได้ คุกคามต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ปกติของคนโดยทั่วไปเพราะกลุ่มอันธพาลการเมือง หรือแก๊งมาเฟียดำรงชีพอยู่ได้ก็ด้วยการขู่เข็ญกรรโชกกระทั่งใช้กำลัง หรือใช้กฎหมู่เพื่อให้มาในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากจะไม่ผลิตอะไรออกมาแล้ว กลุ่มอันธพาลการเมืองยังคอยรีดไถเงินจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับการข่มขู่รีดไถหรือล็อบบี้อย่างชาญฉลาดของกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เรียกตนเองว่าพันธมิตรอย่างสมบูรณ์แบบที่กลุ่มพันธมิตร…
เมธัส บัวชุม
ไม่ต้องเป็นผู้ฉลาดหลังเหตุการณ์เราก็จินตนาการได้ไม่ยากว่าการชุมนุมก่อน 19 กันยายน 2549 ของกลุ่มพันธมิตร ฯ นั้นเป็นการออกบัตรเชิญให้ทหารทำรัฐประหารแม้ว่าบางคนอาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ การชุมนุมของพันธมิตร ฯ หลังพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนเดิมคือการออกบัตรเชิญให้ทหารล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีกคำรบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลังประชาชนได้บทเรียนมาแล้วก่อนหน้านี้ และได้รู้ว่าความผิดพลาดในรายละเอียดเพียงนิดเดียวอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่การยึดอำนาจรอบสองได้ รัฐบาลจึงระมัดระวังอย่างยิ่งในการจัดการกับม็อบพันธมิตร ฯ แต่โอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารขึ้นก็ใช่ว่าจะไม่มี…
เมธัส บัวชุม
บทความที่แล้วพยายามจะให้ความหมายของ “กวีเกรียน” ว่ามีลักษณะอย่างไร แล้วเมื่อลองมาวิเคราะห์ พิจารณา สามารถสรุปรวบยอดได้ว่า กวีเกรียน นั้นเดินทางล้าหลัง อยู่ถึง 3 ก้าวด้วยกัน ก้าวที่ 1 คือ ขาดการทบทวนอดีต ไม่สามารถนำอดีตมาเป็นบทเรียนได้ ไม่สามารถสกัดเก็บซับเอาข้อดี ข้อเสียในอดีตมาเป็นฐานคิดในการวิเคราะห์สังคมการเมือง จะว่าไปบทเรียนในอดีตของสังคมไทยก็มีให้ศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลง 2475, การต่อสู้ของเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการในอดีตหรือกระทั่งการต่อสู้อยู่ในป่าของพคท.ฯลฯ…
เมธัส บัวชุม
ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อบทความว่า “กวีพันธมิตร ฯ” แต่เห็นชื่อที่โดนใจวัยรุ่นกว่าในเวบบอร์ด “ฟ้าเดียวกัน” ว่า “กวีเกรียน” โดยคุณ Homo erectus (ซึ่งเคยเข้ามาวิพากษ์เชิงด่าผมอยู่เป็นประจำจนเลิกไปเอง) จึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม “กวีเกรียน” ในความหมายของผมคือกวีที่ล้าหลัง คิดอ่านไร้เดียงสาเหมือนเด็กที่อ่อนต่อโลก วิเคราะห์สังคมไม่ออกเพราะไม่มีหลักคิดที่มั่นคง อ่านการเมืองไม่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่านักการเมืองชั่วร้ายเลวทรามในขณะที่ประชาชนและข้าราชการ และพวกอภิสิทธิชนนั้นมีคุณธรรม จริยธรรม หรืออย่างน้อยก็มีมากกว่านักการเมือง…
เมธัส บัวชุม
-1- พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตัวละครการเมืองที่ไม่ยอมลงจากเวที กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง "ภาษาไทย พ.ศ.พอเพียง" เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 26 กรกฎาคม ที่จัดขึ้นโดย ราชบัณฑิตยสถาน มูลนิธิรัฐบุรุษฯ และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า "ภาษาไทยทำให้คนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ สื่อสารที่ดีต่อกัน ทำให้คนเข้าใจกัน ทำให้คนรักกัน โกรธ หรือเกลียดกัน ทำลายกันก็ได้ พวกเราคนไทยจึงต้องตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย ต้องไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ฟุ้งเฟื้อจนเกินไป ต้องรักษาและพัฒนาให้ลูกหลานอย่างพอเหมาะ" (มติชน, 27 ก.ค. 51, หน้า 13) จากคำกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์…
เมธัส บัวชุม
ดา ตอร์ปิโด เขย่ารากฐานความศรัทธาของคนไทยอีกคำรบหนึ่งด้วยการพูดปราศรัยต่อหน้าสาธารณะที่ท้องสนามหลวงเมื่อคืนวันที่ 18 กรกฎาคม อย่างตรงไปตรงมา และไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม จากข่าวที่ปรากฏออกมาตามสื่อแขนงต่าง ๆ บอกให้รู้ว่าการปราศรัยของเธอนั้นเกี่ยวพันกับสถาบันเบื้องสูง ต้องยอมรับว่า ดา ตอปิโดร์ เป็นคนกล้าและแกร่งอย่างที่หลายคนทำไม่ได้ในแง่ที่ว่ากล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ตนเองคิดโดยไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดผลร้ายตามมา ทราบจากที่เป็นข่าว สนธิ ลิ้มทองกุล นำคำพูดของ ดา ตอร์ปิโด มาเล่าซ้ำออกอากาศผ่าน ASTV ไปทั่วประเทศ คำปราศรัยของดา ตอร์ปิโด…