Skip to main content
             เชื่อว่า หลายคนคงได้รับทราบสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยกันไปแล้วนะครับ และผมเชื่อว่า มีปฏิกิริยาหลายอย่างเกิดขึ้นแน่ๆในสังคมไทยแห่งนี้ แต่ที่แน่ๆก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยยังไม่ยุติ แต่กำลังเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีหลายคนถามผมว่า เพราะอะไรประเทศไทยถึงเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่า หลายคนก็คงมีคำตอบเป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว แต่สำหรับทัศนะของผมแล้ว การที่ประเทศไทยเป็นอย่างทุกวันนี้นั้นก็เพราะ การที่มีการเล่นนอกเกมกนั้นเอง
ดังนั้นหากเปรียบการเมืองเป็นอะไรสักอย่างล่ะก็คงไม่พ้น กีฬานั้นเอง
และหากถามว่า สภาพการเมืองประเทศไทยนั้นไม่ได้ต่างไปจากเรื่องของหนังเรื่องนี้
 
 
เรื่องราวของไท (แบงค์ วงแคลช) ชายหนุ่มที่พึ่งออกมาจากคุกด้วยการวิ่งเต้นของพี่ชายฝาแฝดที่เมื่อออกมาจากคุก เขาก็ได้พบว่า พี่ชายของเขากำลังนอนเป็นโคม่าเพราะ ไปยุ่งเกี่ยวกับกีฬาบาสเกตบอลใต้ดินเพื่อหามาช่วยเหลือเขา เพื่อสืบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย ไทจึงสวมรอยเป็นพี่ชายฝาแฝดของเขาและเข้าร่วมทีมบาสของเฮียเด่น นักธุรกิจหน้าใหม่ที่รวมทีมบาสขึ้นมาเพื่อแข่งในศึก Fireball ซึ่งในทีมนั้นประกอบไปด้วยสมาชิกอีกสี่คนได้แก่ สิงห์ พนักงานขายเครื่องใช้ในห้างผู้มีทักษะมวยไทยเป็นหัวหน้าทีม อิค เด็กวัยรุ่นในสลัม หมึก ลูกครึ่งไทยแอฟริกันที่พยายามหาเงินตั้งตัวกับแฟนที่กำลังท้อง และชายหนุ่มอีกคนที่ถูกตราหน้าว่าล้มบอลมาก่อน ทั้งหมดต้องร่วมทีมกันไปให้ถึงเกมสุดท้าย ที่ยิ่งไปไกลเท่าไหร่ ไทก็พบว่า กีฬานี้ไม่ได้เป็นการเล่นบาสธรรมดา แต่มันคือ สงครามที่มีทั้งการต่อรองและผลประโยชน์ครั้งใหญ่รวมอยู่ด้วย
 
 
 เมื่อเราแทนภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อย่างละเอียดในหนังแล้ว เราจะพบว่า การเล่นบาสก็ไม่ต่างกับการเมืองประเทศไทยเท่าไหร่ โดยกฎของบาสใต้ดินนี้ก็ง่ายๆแค่เพียง ชู้ตบาสลงห่วงให้ได้เท่านั้น โดยที่จะทำยังไงก็ได้ก็พอ ใครชู้ตก่อนจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นเมื่อมีกฎเช่นนี้เราจึงเห็นการตีต่อยชกกันเป็นเรื่องปกติ หากมองในมุมมองการเมืองแล้ว มันก็ไม่ต่างกับการสาดโคลนกันไปมา เมื่อเราแทนภาพของสนามเป็นสภา การที่บาสนี้ต่อยกันก็คงสภาพเป็นเสมือนการประเทศไทยที่ไม่ว่ามันจะสกปรกแค่ไหนก็จบอยู่เพียงแค่สภาเท่านั้น  ดังนั้น บาสใต้ดินนี้มีกฎห้ามทำร้ายกันนอกการแข่งเด็ดขาด ทว่าเมื่อผ่านไปรอบลึกๆขึ้น คำกล่าวที่ไว้ว่า กฎมีไว้แหกก็เริ่มสำแดงเดชราวกับเป็นสัจธรรมของโลก เมื่อชนะในเกมไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามก็พยายามจะใช้การเล่นนอกเกมมากขึ้นเพื่อเป้าหมายของตัวเอง
 
 
แม้ว่าจะไม่มีการห้ามให้ใช้อาวุธก็ตาม แต่นั้นก็เป็นการแสดงว่า กฎไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เสมอไป เพราะมีการจ้องแหกกันตลอดเวลา 
 
ดังนั้นการฆ่ากันตายด้วยอาวุธอาจจะเป็นสิ่งที่บาสใต้ดินยังควบคุมไว้ แต่การนอกเกมก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที เราเห็นสมาชิกในทีมคนหนึ่งถูกแทงตายนอกสนาม การเล่นอิทธิพลสารพัดชนิดเพื่อให้ทีมตัวเองประสบชัยชนะนั้นทำให้เราได้แต่ส่ายหน้ากับระบบและกฎที่พร้อมจะถูกแหกเสมอ
 
หากเรามองลึกเข้าไปในมิติตัวละคร เราจะพบว่าผู้ที่เล่นกีฬาบาสใต้ดินนั้นต่างเป็นตัวละครที่เรียกได้ว่า คนชายขอบ อาทิ เด็กสลัม ลูกครึ่งผิวสี โสเภณี มือปืน อันธพาล ชาวต่างชาติ คนฆ่าสัตว์ และอีกมากมายที่ล้วนแล้วเป็นบุคคลที่รัฐไม่มีวันสนใจใยดีในการมีตัวตนของพวกเขาต่างจากพวกเขาที่พยายามจะถีบตัวเองให้ขึ้นจากสถานะนี้เพื่อชีวิตที่ดีกว่า แน่นอนว่า คำตอบของมันก็คือ เรื่องเงิน เราจะเห็นได้ว่า ตัวละครคนอื่นนอกจากไทนั้นล้วนแต่มีความต้องการจะได้เงินไปเพื่อยกระดับชีวิตของตัวเองให้ดีกว่า อย่าง อิคที่เหมือนเด็กแว๊นวัยรุ่นทั่วไปนั้นใครจะคิดว่า เขาต้องการเงินไปเพื่อซื้อบ้านให้แม่ที่อาศัยเช่าอยู่ในสลัมกับส่งน้องเรียนหนังสือ หรือหมึก ลูกครึ่งไทยแอฟริกันที่มีภูมิหลังถูกพ่อแม่ทิ้งทำให้เขาไม่ต้องการที่จะให้ทำแท้งลูกของตัวเองกับแฟน เขาต้องการเงินเพื่อเอาเลี้ยงลูกให้ได้ดีกว่าเขา อย่างน้อยก็ไปให้ห่างจากการเป็นคนชำแหละเนื้อก็ยังดี ในขณะที่ชายหนุ่มอีกคนก็ต้องการเงินไปเพื่อยกสถานะของเขากับแฟนให้พ้นจากจิ๊กโก๋และโสเภณีให้ดีกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เงินสำคัญกับพวกเขาอย่างไร และเพื่อเงินนั้นเองทำให้พวกเขาและอีกหลายๆคนต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเล่นบาสใต้ดินนี้นั้นเอง
 
หากมองไปดูสภาพรอบนอกสนามของบาสใต้ดินนั้นก็ไม่ต่างกับสภาพของการต่อรองอำนาจทางการเมืองที่ยิ่งมีผลงานดีก็ยิ่งมีตัวตนในสายตาของท่านผู้นั้นมากขึ้นอย่างเช่น เฮียเด่น เจ้าของทีมที่ไทอยู่ด้วยนั้นในตอนแรกสถานะของเขานั้นแทบจะไม่มีใครรู้จักเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาพึ่งมาคุมทีมนี้หลังจากที่เจ้าของเดิมตายไป และนั้นทำให้เขาถูกดูหมิ่นสารพัดนานาจากเสี่ยคนอื่นๆที่หัวเราะว่า ทีมเศษเดนของเขาจะไปไกลได้แค่ไหน แต่ทว่าหลังจากที่ทีมของเขาเข้ารอบไปเรื่อยๆ สถานะของเขาก็เริ่มเด่นชัดขึ้นทุกทีจนแม้แต่ท่านผู้นั้นยังจำเขาได้ทำให้สถานะของเฮียเด่นเริ่มชัดขึ้นทุกที ต่างจากพวกไทที่ค่อยๆตายกันไปทีล่ะคนสองคนด้วยเหตุผลว่า รากหญ้าตายสิบคนก็ไม่มีใครสนใจต่างจากนักการเมืองหรือพวกชนชั้นสูงทั้งหลาย นั้นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นสภาพอำนาจโดยรวมของการเมืองที่มักจะมองคนรากหญ้าเป็นแค่เหยื่อเท่านั้น เช่นเดียวกับเฮียเด่นแม้ว่าเขาจะแสดงภาพว่า เป็นห่วงพวกไทแค่ไหนก็ตามสุดท้ายแล้วเขาก็เหมือนกับคนอื่นๆที่พร้อมจะหนีเมื่อทีมพลาด แถมยังพร้อมจะปีนขึ้นภูเขาต่อไปแม้ว่าทีมของเขาจะตายเกือบหมดทีมแล้วก็ตาม
 
 
ดังนั้นสำนวนที่ว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว อาจจะใช้ได้กับเฮียเด่นที่สุดท้ายแล้วหลังจากทีมของเขาชนะในการแข่งขัน เกมบาสก็ไม่ได้จบลงตามไปด้วย เขากลับมาพร้อมกับลูกทีมใหม่ที่พร้อมจะดำเนินเกมนี้ต่อไป
 
โดยที่มีคำถามว่า เมื่อไหร่ที่เกมบาสนรกนี้จะจบลงเสียที

และคำตอบก็มาพร้อมกับคำถามที่ว่า เหมือนกับคำถามที่ว่า ประเทศไทยจะไปถึงจุดไหนนั้นล่ะ คือตอบไม่ได้
 
 
แต่ที่น่าสนใจที่สุดแล้วก็คือ ตอนจบของเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปัจจุบันนี้ได้อย่างน่าขนลุกและน่าสนใจอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่พวกเราดูหนังไปจนจบ เราพบว่าแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะพยายามเล่นนอกเกมแค่ไหน พวกไทก็ไม่เคยนอกเกมคืน พวกเขายังทำตามกติกาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเกมนี้จะถูกควบคุมด้วยพวกเสี่ยที่พร้อมเล่นนอกเกมก็ตาม พวกเขาก็พยายามเล่นในเกมอย่างขาวสะอาดตลอดเวลา แม้ว่าการเคร่งครัดกฎพวกนี้จะทำให้พวกเขาต้องค่อยๆตายไปทีล่ะคนในที่สุด ซึ่งไม่ต่างกับการเมืองที่ไม่ว่ามันจะสกปรกแค่นไหนก็กรุณาเล่นกันในเกมเท่านั้นอย่าได้ทำให้มันออกมานอกเกมเด็ดขาด เพราะถ้ามีการเล่นนอกเกมก็จะมีการตอบโต้ด้วยการนอกเกมเช่นกัน ดังนั้นการรัฐประหารไม่ว่าจะเป็นขนรถถังออกมายึดอำนาจ การใช้ตุลาการภิวัฒน์ การเล่นวิธีสกปรกมากมายก็ย่อมนำพาให้ประเทศตกลงสู่ปากเหวแห่งความมืดมิดมากขึ้นทุกที
 
ดังภาพตอนจบของหนังที่ แทน พี่ชายของไทยฟื้นขึ้นมาแล้วเริ่มการแก้แค้นแทน ไท น้องชายที่เสียชีวิตจากเกมบาสนรกนี้ โดยเริ่มจากการยิงเสี่ยคนหนึ่งตายพร้อมกับพูดว่า
 
บาสอย่างเดียวไม่พอ มันต้องใช้ปืน 
 
 
นั้นคือการประกาศแล้วว่า เมื่อมีการนอกเกมก็จะมีการตอบโต้ด้วยการเล่นนอกเกมอีกเช่นกัน ดังนั้นความวุ่นวายในรอบหลายปีที่ผ่านของประเทศไทยนั้นมีส่วนจากการที่เราไม่ได้เคารพกติกามารยาทใดๆจ้องกันเพียงจะทำอย่างไรให้ได้อำนาจหรือชัยชนะโดยไว โดยที่ไม่ได้สนใจว่า มันจะเป็นเล่นนอกเกมหรือการละเมิดกฎ (บาสคือการชู้ตเข้าห่วงจึงชนะ การเป็นรัฐบาลก็ต้องผ่านการเลือกตั้ง) ดังนั้นเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกเกมก่อน อีกฝ่ายก็นอกเกมกลับเช่นกัน ผลก็คือ ทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันนอกเกมไปมา ประดุจประเทศไทยในตอนนี้
 
ดังนั้นมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่เจ็บปวดและรับกรรมจากเกมครั้งนี้ โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะจบลงเสียที

คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้
 



 

บล็อกของ Mister American

Mister American
   (บทความตอนนี้จะเป็นเรื่องเบาๆเพื่อให้เตรียมตัวกันให้พร้อมก่อนชมภาพยนตร์เรื่อง Prometheus)
Mister American
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีอีกครั้งกับป๋าไมเคิ่ล ฮานาเก้ที่ได้รางวัลปาล์มทองอีกครั้งหนึ่งจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ Ffpภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Amour ที่เรียกได้ว่าเป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า ฝีมือการทำหนังของผู้กำกับคนนี้เป็นของจริงที่ยิ่งเวลาผ่านไปรสชาติการทำหนังของเขาก็ยิ่งเข้มข้นทุกทีไม่เหมือนผู้กำกับอีกหลายรายที่มือตกไปอย่างไม่น่าอภัย กระนั้นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับชายที่ชื่อว่า ไมเคิ่ล ฮานาเก้นี้ก็คือ แค่หนังเรื่องแรกของเขานั้นก็ปรากฏแววเก่งมาในทันที  และหนังเรื่องแรกของเขาก็คือ The Seven Continent นั้นเอง
Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)  ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง  ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า