Skip to main content

           พูดถึง James Bond แน่นอนว่า ไม่มีใครไม่รู้จักชายคนนี้แน่นอนหากคุณเป็นแฟนนิยายอมตะของเอียน เฟลมมิ่ง หรือ เป็นแฟนภาพยนตร์สายลับที่สร้างติดต่อกันมานานถึง 50 ปี เรียกได้ว่า เป็นภาพยนตร์ที่มีซีรีย์ยืนยาวมากที่สุดและยังคงความนิยมอยู่ได้ตลอดกาล และภาพยนตร์ตอนที่ 23 อย่าง Skyfall ก็กำลังออกฉายอยู่ในขณะนี้ก็กำลังโกยกระแสวิจารณ์และรายได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่มันเคยเป็นมา ทำไมสายลับผู้นี้ถึงได้เป็นที่ชื่นชอบของคนดูทั่วโลกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ในยุคของเดเนี่ยล เคร็ก ซึ่งได้รับบทบอนด์เป็นคนที่ 6 นี้ถูกกล่าวถึงว่า เป็นบอนด์ที่มีความลึกของตัวละครสูงมาก ๆ ผ่านงานสองภาคก่อนหน้านี้ได้แก่ Casino Royale และ Quantum of Solace 

ก่อนจะคุณจะไปชม Skyfall ผมขอย้อนอดีตกลับไปยังเรื่องราวก่อนหน้านี้อีกครั้งหนึ่ง
 
 
          Casino Royale คือ เรื่องราวที่ย้อนถอยกลับในช่วงที่บอนด์พึ่งได้เป็นสายลับใหม่ ๆ บอนด์ได้รับภารกิจจากเอ็มให้ตามล่าบุคคลที่คาดว่าน่าจะอยู่เบื้องหลังการให้เงินทุนแก่กลุ่มก่อการร้ายนามว่า เลอชีฟ ซึ่งเป็นเซียนพนันขั้นเทพในมอนเตรเนโกร ทำให้บอนด์ต้องออกเดินทางไปที่นั้นและได้พบกับหญิงสาวที่เท่าทันเสน่ห์ของเขาอย่าง เวสเปอร์ ลินด์ ที่ทำให้ตัวของเขาได้รู้จักกับคำว่า ความรัก ทว่าความสุขมักไม่ยืนยาว เวสเปอร์กลับหักหลังเขาและเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาของเขาทิ้งไว้เพียงปริศนาที่บอนด์สงสัย เธอหักหลังเขาทำไม
 
          Quantum of Solace เป็นภาคต่อของ Casino Royale ที่ดำเนินเรื่องต่อชนิดนาทีต่อนาที หลังจากบอนด์เดินไปทางไปเล่นงานชายปริศนาที่ชื่อว่า มิสเตอร์ไวท์ ที่น่าจะอยู่เบื้องหลังการหักหลังของเวสเปอร์ ในขณะเดียวกับที่เอ็มถูกบอดี้การ์ดคนสนิทของเธอหักหลังแล้วเกือบฆ่าเธอตาย ซึ่งเรื่องราวได้โยงไปยังองค์กรลับที่มีนามว่า ควอนตัม ซึ่งได้ส่งคนไปแทรกซึมอยู่ในทุกองค์กร ทำให้บอนด์ต้องออกเดินทางข้ามโลกไปตามล่าชายที่ชื่อ โดมินิค กรีน ที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้ ทว่าความมุทะลุไม่รอบคอบของบอนด์นั้นกลับทำให้องค์กรของเขาถูกรัฐบาลบีบให้ไล่ล่าเขาเช่นกัน เกมการไล่ล่าหมาจับแมว แมวจับหนูจึงเริ่มขึ้น
 
จากเนื้อเรื่องสองภาคนี้เราสามารถจำแนกการพูดถึงบอนด์ในแง่มุมต่าง ๆ ได้ดั่งนี้
 

         การเมืองในหนังบอนด์

 
          สิ่งที่น่าสนใจเสมอเกี่ยวกับหนังของบอนด์นั้น คือ การที่มันเป็นหนังการเมืองที่พูดถึงสภาพการเมืองในโลกยุคนั้น ๆ ได้อย่างไม่ขัดเขินหรือทำให้คนดูเอะใจว่า กำลังดูหนังการเมืองอยู่นี่หว่า เพราะหนังดำรงตัวเองไว้ในสภาพของความเป็นแฟนตาซี ซึ่งตรงนี้ทำให้มันทำรงตัวเองไว้บนบริบทประมาณว่า มันก็แค่เรื่องเล่าหรือก็แค่หนังไว้ได้อย่างง่าย ทำให้หนังไม่ได้ถูกต่อต้านนักต่างจากหนังการเมืองที่ว่ากันโต้ง ๆ หลายเรื่อง นี่เองที่ทำให้หนังชุดบอนด์ยังคงมีความน่าสนใจ
 
 
          หากย้อนกลับไปยังหนังบอนด์ในยุคแรก เราจะพบว่า มันเป็นหนังที่ถูกสร้างขึ้นในยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นสงครามที่อเมริกากับโซเวียตกำลังหยั่งเชิงกันจะทำสงครามอยู่รอมร่อแล้วจึงไม่แปลกที่ตัวร้ายนั้นจะมีสภาพเป็นเหล่าพวกพลพรรคคอมมิวนิสต์ที่วางแผนประเภทอย่าง การทำครองโลกหรือ การตักตวงผลประโยชน์หากเกิดสงครามขึ้น ซึ่งในที่นี่คือพวกองค์กรต่าง ๆ อย่างพวกสเป็คเตอร์ ที่บอนด์ต้องไปปราบหลายครั้งหลายคราเพื่อหยุดแผนการร้ายนี้ จากนั้นในยุคที่โซเวียตล่มสลาย ตัวร้ายของบอนด์ก็เปลี่ยนมาเป็นตัวร้ายอย่างพ่อค้ายาเสพติดบ้าง นักธุรกิจคอมพิวเตอร์บ้าง หรือเกาหลีเหนือที่ถูกมองว่าเป็นประเทศที่ตัวร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าการที่หนังสามารถเปลี่ยนตัวร้ายไปได้เรื่อย ๆ ย่อมทำให้หนังดูทันสมัยตามกาลเวลา คือ หยิบมาดูในช่วงเวลาไหนก็มีความร่วมสมัยอยู่ 
 
     และแน่นอนว่า บอนด์ในยุคของ เดเนี่ยล เคร็กเองก็เช่นกัน ผู้ร้ายในหนังได้เปลี่ยนเป็นพวกนักธุรกิจที่อยู่เบื้อง   หลังการก่อการร้ายในประเทศต่าง ๆ นั้นเอง 
 
 
       เราจะเห็นได้ว่า พวกนักธุรกิจเหล่านี้ล้วนมีฉากหน้าเป็นคนดีกันทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง โดมินิค กรีน ตัวร้ายของภาค Quantum of Solace ที่หน้าฉากของเขาเป็นเจ้าของมูลนิธิที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสรรพยากรธรรมชาติในประเทศต่าง ๆ ซึ่งพูดง่าย ๆ ก็คือ ว่า เป็นคนดีที่สังคมให้การนับหน้าถือตาอย่างยิ่ง กระนั้นก็ไม่มีใครรู้เลยว่า ตัวของเขานั้นเป็นหนึ่งสมาชิกขององค์กรที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายต่าง ๆ บนโลก อาทิ การรัฐประหารในประเทศต่าง ๆ สงครามและอื่น ๆ ซึ่งชายคนนี้พูดอย่างไม่กระดากใจเลยในเรื่องว่า
 
“เราเข้าได้ทุกฝ่าย เผด็จการ หรือประชาธิปไตย”
 
           นั้นหมายถึงว่า องค์กรพวกนี้ไม่สนใจว่า ประเทศใดนั้นจะล่มสลายเพราะการกระทำของตัวเอง ด้วยเหตุผลว่า พวกเขาต้องการเพียงแค่กอบโกยสรรพยากรต่าง ๆ มาให้ก็เพียงพอแล้ว และเลอชีฟ ตัวร้ายใน Casino Royale นั้นก็เป็นคนหนุนตูดกลุ่มกบฏในอัฟริกาให้ทำสงครามต่อไปอีกต่างหาก ไม่นับการวางระเบิดสถานทูตและอื่น ๆ ที่องค์กรพวกนี้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การเมืองของโลกมันเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้วจากยุคที่สงครามเกิดขึ้นเพราะ อำนาจแต่ในปัจจุบันสงครามเกิดขึ้นเพราะต้องการบางอย่างเท่านั้น
 
 
             สิ่งที่เราได้เห็นในหนังของเจมส์ บอนด์ก็คือ ท่าทีของเหล่าประเทศมหาอำนาจ ซึ่งในเรื่องได้แก่อังกฤษและอเมริกาที่เราหลายคนคิดว่า พวกเขานั้นเป็นคนดีที่น่าจะหยุดยั้งแผนชั่วนี้ ซึ่งหากคิดแบบนั้นก็แสดงว่า คุณคิดผิดครับ หนังแสดงให้เห็นว่า ประเทศนี้เหล่านี้ไม่ได้สนใจความถูกต้องอะไรเลยนอกจากผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับ เราเห็นสายลับของอเมริกาหรือ CIA จับมือกับโดมินิค กรีน เสียด้วยซ้ำไปพร้อมทั้งบอกว่า จัดการกับบอนด์ให้ หรือกระทั่งอังกฤษ ประเทศของบอนด์เองก็ยังแสดงท่าทีบางอย่างออกมาเมื่อ เอ็ม หัวหน้าของบอนด์นำข้อมูลไปมอบให้ว่า โดมินิค กรีน และเหล่าผู้มีสีทั้งหลายรวมทั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีนั้นเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรชั่วร้ายควอนตัม เราได้เห็นว่ารัฐมนตรีต่างประเทศแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งและพูดในเชิงว่า
 
ถ้าโดมินิค กรีนเป็นผู้ร้าย เราก็ไม่มีใครทำธุรกิจด้วย”
 
           แถมสั่งให้เอ็มเอาบอนด์กลับมาอีกต่างหาก เราจึงเห็นว่า โลกมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่คิดจริง ๆ ไม่มีใครสนใจเรื่องง่าย ๆ อย่างความถูกต้องอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ทุกคนต่างนิยมชมชอบนั้นมีแค่ เงิน และธุรกิจไปจนหลงลืมอะไรสักอย่างไปและทิ้งให้บอนด์ที่เชื่อมั่นในสิ่งถูกต้อง ไม่สิ ต้องพูดว่าทิ้งให้คนที่เชื่อมั่นในความถูกต้องนั้น
 
         กลายเป็นไอ้โง่ในสายตาของคนพวกนี้
 
            หากเราย้อนกลับไปมอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ต้องไปไกล เอาแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในอิรัก หลังสงครามสหรัฐถล่มอิรักนั้น เราได้พบว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ไม่ใช่สันติภาพหรือการค้นหาอาวุธของซัดดัมที่ไม่มีอยู่จริง หรือช่วยปลดปล่อยชาวอิรักจากการปกครองซัดดัมอะไรพวกนั้น จุดประสงค์จริง ๆ ของพวกเขานั้นมีแค่การเข้าไปกอบโกยในทรัพยากรน้ำมันของอิรักต่างหาก ซึ่งบัดนี้อิรักก็ยังไม่ปลอดซึ่งการโจมตีจนถึงบัดนี้ นี่จึงเป็นภาพสะท้อนถึงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับประเทศต่าง  ๆ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศตัวเองก็เท่านั้น
 
         เมื่อเช่นนั้นในหนังของบอนด์ได้กำหนดให้นักธุรกิจและประเทศมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายต่าง ๆ นั้นเป็นตัวร้ายที่ก่อเกิดความวุ่นวายต่าง ๆ บนโลกโดยโยงไปหาองค์กรที่ไม่รู้ว่า มีอยู่จริงหรือไม่อย่าง
 
Quantum
 
ซึ่งเป็นสมการคำถามที่ย้อนถามคนดูว่า คิดว่าโลกใบนี้มีองค์กรชั่วแบบในหนังเรื่องหรือไม่
 

       บอนด์ของเดเนี่ยล เคร็ก

 
            เมื่อครั้งที่เดเนี่ยล เคร็ก นักแสดงเลือดอังกฤษได้รับเลือกให้มาเป็นสายลับคนที่หกนั้นทุกคนถึงกับส่ายหน้าขึ้นมาด้วยความไม่พอใจเพราะ บุคลิกและลักษณะของเขานั้นช่างไม่เหมือนกับบอนด์ที่เฟรมมิ่งหรือบอนด์คนอื่น ๆ ได้สร้างเอาไว้เลย โดยเฉพาะใบหน้าที่มองยังไงก็ไม่หล่อและสีผมบลอนด์ที่หลายคนแอบเรียกเขาว่า เจมส์บอนด์หน้าหักกันเลยทีเดียว กระนั้นความกังขาในเรื่องความไม่เหมาะสมก็จบลงกับการมาของ Casino Royale เพราะนี่คือ บอนด์ที่หลายคนไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งความดุดันและโหดสัดที่แสดงออกมา ความมุทะลุไม่รอบคอบจนซวยแล้วซวยอีกแถมพาคนอื่นซวย รวมทั้งการเป็นบอนด์ที่แทบจะไม่เหลือความประณีตในแบบบอนด์เหลือไว้เลย โดยเฉพาะฉากช็อคโลกอย่างการสั่งเหล้าที่แฟพันธุ์แท้ของหนังเรื่องนี้ทุกคนก็รู้ว่า จะต้องเป็น ว๊อดก้ามาตินี่ เขย่าแต่ไม่คน
 
 
และบอนด์คนนี้ก็พูดว่า
 
จะเอาอะไรก็เอามาเถอะ”
 
          ซึ่งทำให้ทุกคนรับรู้ได้เลยว่า บอนด์คนนี้ช่างแตกต่างจากที่เรารู้จักมาพอสมควร กระนั้นหากเราย้อนกลับไปดูบอนด์เก่า ๆ จะพบว่า แม้ว่าเครื่องดื่มของบอนด์ที่เหมือนกลายเป็นเครื่องการค้าอย่างว๊อดก้ามาตินี่เขย่าแต่ไม่คนก็ตาม ที่จริงแล้วบอนด์นั้นเป็นพวกกระดกอะไรก็ได้อย่าง ภาค You Only Live Twice ที่บุกไปญี่ปุ่นนั้น เขาดื่มสาเกแล้วพูดว่า เขาชอบสาเกพร้อมทั้งบอกว่า มันควรจะทำอะไรให้มีรสชาติที่ดีอีกด้วย นั้นทำให้เรารู้ว่า อันที่จริงแล้วเรื่องมาตินี่ช่างหัวมันไปเถอะ เพราะบอนด์ไม่ใช่คนเรื่องมาก อย่าง Skyfall เขากระดกเบียร์ไฮเนเก้นด้วยซ้ำไป
 
 
          และความที่บอนด์ของเคร็กดูจับต้องได้และน่าเอาใจช่วยกว่าบอนด์ในอดีตที่เรารู้ว่า ยังไงก็รอดแบบหล่อดูดีอยู่ดีนั้นล่ะ ส่วนเคร็กนั้นแม้รู้ว่า ต้องรอดในนั้นเราก็พบว่า เขามีบาดแผลมากเสียเหลือเกิน 
 
โดยเฉพาะบาดแผลที่หัวใจ
 
 
        เราได้รู้ว่า เหตุผลกลใดที่ทำให้บอนด์เป็นพวกที่รักสนุกแบบ One Night Stand แถมมีสาว ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่ซ้ำหน้าโดยไม่ลงหลักปักฐานกับใคร ซึ่งเกิดขึ้นในภาค Casino Royale  กับการมาของหญิงสาวที่ชื่อว่า เวสเปอร์ ลินด์ที่สุดท้ายเธอก็หักหลังเขาเพื่อช่วยชีวิตของเขา
 
ก่อนจะสิ้นชีวิตต่อหน้าต่อตาของบอนด์ 
 
          นั้นทำให้ไม่ผูกพันกับหญิงสาวคนใดอีกเลยนอกจากการเป็นเพื่อนร่วมสนุกบนเตียงก็แค่นั้น
และหากย้อนกลับไปในหนังภาค Oh her Majesty Service ที่นำแสดงโดย จอร์จ ลาเซนบี้ นั้นบอนด์ก็สูญเสียภรรยาของเขาด้วยฝีมือนักฆ่าจากองค์กรมืดที่ไม่ต้องการให้เขาได้ใช้ชีวิตสงบสุข ซึ่งนั้นยิ่งทำให้เขาไม่คบหากับใครเป็นหลักเป็นฐานอีกเลย
 
เพราะใครก็ตามที่มายุ่งกับเขามักจะตายหมด
 
          อย่างใน Quantum of Solace บอนด์ได้เสียทั้งมาร์ทีส มหามิตรที่คอยช่วยเหลือเขาด้วยความไม่รอบคอบของเขาเอง รวมทั้งเอเยนต์ฟิลด์ หญิงสาวที่ต้องตายด้วยน้ำมือของพวกควอนตัมเพราะช่วยเขาเช่นกัน 
 
          สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่เขาสูญเสียภรรยานั้นทำให้เราได้รู้ว่า เหล่าสายลับชั้นยอดทั้งหลายหรือพวกซุปเปอร์ฮีโร่นั้นเป็นพวกล้มเหลวในด้านความสัมพันธ์ในชีวิตของตัวเองทั้งสิ้น นั้นโยงไปสู่หัวข้อต่อของเราที่พูดถึงบอนด์ในลักษณะของชายหนุ่มที่บุคลิกลักษณะของ Peter pan Syndromes หรือเด็กไม่ยอมโต    
 

          บอนด์ ชายหนุ่มผู้ไม่ยอมโต

 
           หากพูดถึงหนังเจมส์ บอนด์เรามักจะนึกถึงอะไรอย่างแรกครับ แน่นอนว่าหลายคนต้องนึกถึงชายหน้าตาหล่อเหลา มีเสน่ห์ทางเพศกับผู้หญิง ใส่สูทเท่ ๆ ราคาแพง ดื่มเหล้าชั้นดี ขับรถหรู ๆ ซึ่งนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เพศชายทุกคนปรารถนา นอกจากนั้นแล้ว ยังได้ผจญภัย ช่วยเหลือโลก เผชิญหน้าองค์กรชั่วร้าย ได้คั่วสาวแล้วออกเดินทางไปยังภารกิจ ฟังดูแล้วเป็นชีวิตที่น่าสนใจอย่างยิ่งนะครับ โดยเฉพาะท่านชาย ผมเชื่อว่า คนที่ดูเจมส์ บอนด์ส่วนมากมักจะเป็นเพศชายเพราะ ส่วนต่าง ๆ ของหนังถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองแก่เพศชายแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น รถหรู ๆ ปืน ชีวิตสายลับและผู้หญิงที่ซิมโบลิคแทนความหมายของเพศชาย นั้นทำให้บอนด์เป็นหนังที่มีความเป็นเพศชายสูงมาก ๆ อย่างจงใจและความที่หนังทุกภาคมีลักษณะแบบเดียว เราสามารถอนุมานคนที่ดูบอนด์ได้อย่างหนึ่งว่า
 
 
เขานั้นเป็นพวกที่ยังคงหลงอยู่ในดินแดนที่ชื่อว่า เนเวอร์แลนด์
 
ครับ ผมกำลังพูดถึง อาการที่มีชื่อว่า ปีเตอร์แพน ซินโดรม หรืออาการเด็กไม่ยอมโตนั้นเอง
 
ปีเตอร์แพนนั้นเป็นนิทานที่หลายคนรู้จักกันดีเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีชีวิตเที่ยวเล่นไปเรื่อย ๆ โดยไม่แก่ลงไปตลอดกาล ซึ่งภาพนี้ได้กลายเป็นอาการทางจิตวิทยาที่นักจิตวิทยาใช้เรียกพฤติกรรมที่คนที่ไม่รับผิดชอบชีวิตแบบผู้ใหญ่ และทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ 
 
คาร์ล จุง นักจิตวิทยาได้ให้คำอธิบายเกี่ยวกับอาการนี้ว่า คือ จิตไร้สำนึกของผู้ชายทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ภายในเพื่อหลบหนีจากวินัยระเบียบที่ถูกสร้างมาในชีวิตของตัวเองนั้นเอง
 
          ถามว่า ความเป็นผู้ใหญ่ในสังคมที่ใช้เป็นบรรทัดฐานวัดคืออะไรได้ มันคงเป็นได้แก่การทำงานดี ๆ สร้างครอบครัว นั้นเองจึงนับได้ว่า ชายคนนั้นได้ก้าวพ้นจากเด็กไปสู่การเป็นสิ่งที่เรียกว่า การเป็นผู้ใหญ่ที่สังคมนั้นยอมรับ ฉะนั้นหากใครไม่สามารถลงหลักปักฐานได้ย่อมถูกมองได้ว่ายังไม่โต ไม่พอยังกลายเป็นล้มเหลวในชีวิตแทนอีกต่างหาก
 
             เมื่อลองมองย้อนกลับมายังหนังชุดเจมส์ บอนด์อย่างที่ว่ากันตั้งแต่ต้นว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อเพศชายโดยเพศชายดังนั้นมันจึงอุดมไปด้วย สัญญะมากมายที่สื่อให้เห็นว่า โลกของเจมส์ บอนด์คือ โลกของผู้ชาย โลกของคนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นรถ ปืน ผู้หญิง และชีวิตสายลับก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องสะท้อนถึงชีวิตอันแสนเร้าใจต่างจากการชีวิตอันแสนเส็งเครงในความเป็นจริงเสียอีก 
 
               สิ่งนั้นเมื่อเรามองย้อนกลับมายังตัวบอนด์เองนั้นเราก็พบว่า เขาเองไม่ได้ต่างไปจากสายลับชื่อดังคนอื่น ๆ ที่ล้วนแล้วแต่ล้มเหลวซึ่งความสัมพันธ์ด้านชีวิตคู่ตัวเองทั้งสิ้น เรายกตัวอย่าง สายลับอย่าง เจสัน บอนด์ที่เสียภรรยาที่รักไปต่อหน้าตาคล้ายบอนด์ อีธาน ฮันท์ ที่ไม่อาจจะอยู่เคียงข้างคนที่รักได้ เพียงแค่สายลับสามคนบนโลกก็ทำให้เราพออนุมานเห็นภาพความล้มเหลวครั้งใหญ่ด้านความสัมพันธ์ของสุดยอดสายลับพวกนี้ ยิ่งแล้วไปกันใหญ่หากเราไปเปรียบเทียบกับพวกซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายที่ต่างล้มเหลวกับความสัมพันธ์ด้านนี้กันทั้งทีม
 
จึงไม่น่าแปลกใจว่า พวกเขาจึงถูกมองว่าเป็นเสมือน ความฝันของเด็กไม่ยอมโต
 
           เราจึงเห็นว่าจากนั้นพวกเขาเหล่านั้นก็ออกไปปราบผู้ร้าย ฟันสาว โลดโผนโจนทะยานต่อไปไม่สิ้นสุดคล้ายกับการใช้ภารกิจพวกนี้เพื่อชดเชยชีวิตปกติของตัวเองที่ไม่มีวันมาถึงเสียที ภาพเหล่านี้จึงสะท้อนภาพที่พวกเขาประครองความสัมพันธ์ของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เพื่อแลกกับความฝันของตัวเองเพื่อแลกกับการเป็นผู้ใหญ่และหลงอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า วอนเดอร์แลนด์ต่อไป
 
          กระนั้นเองหนังก็พยายามให้บอนด์ได้เรียนรู้หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นใน Quantum of Solace นั้น เราได้เห็นสิ่งที่เรียกว่า การแก้แค้นแบบเด็ก ๆ ที่บอนด์เอาภารกิจมาใช้เพื่อล้างแค้นของตัวเองและคนรัก เราเห็นเขาสังหารคนไม่เลือกหน้า จนเอ็มรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาว่า บอนด์อาจจะกำลังแยกแยะไม่ถูกระหว่างงานกับเรื่องส่วนตัว
 
มันสะท้อนถึงภาพของแม่ที่กำลังเป็นห่วงลูกชายที่แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่นิสัยก็ยังเป็นเด็กที่ไม่ยอมโตอยู่ดี
 

            บอนด์กับการก้าวต่อไปข้างหน้า

ณ บัดนี้ผมยังไม่ได้ชมบอนด์ภาคล่าสุดอย่าง Skyfall ซึ่งคงไม่ได้ชมไปอีกยาวจนกระทั่งหนังออกแผ่นกันเลยครับ แต่จากบทสัมภาษณ์เราก็ทำให้รู้ว่า บอนด์กำลังจะกลับไปสู่การเป็นสายลับที่เรารู้จักกันในอดีตมากขึ้น ซึ่งจะผ่านตรงนี้ไปไม่ได้หากบอนด์ไม่ได้ผ่านเหตุการณ์ใน Quantum of Solace 
 
 
หลังจากการไล่ล่าสิ้นสุดลงบอนด์ได้ไปทำสิ่งที่ค้างคาใจอยู่อย่างสุดท้ายนั้นก็คือ ไปพบกับแฟนเก่าของเวสเปอร์ที่ระบุไว้ว่าตายไปแล้วในตอนแรก แต่เราได้รู้ว่าเขาเป็นสายลับขององค์กรควอนตัมนั้นเอง ซึ่งหลังจากฉากนี้บอนด์เดินออกจากที่นี่พร้อมกับที่เอ็มถามว่า
 
ฆ่าเขาหรือเปล่า”
 
          บอนด์นิ่งไปสักครู่แล้วบอกว่า เขาไม่ได้ฆ่าหมอนั้นแล้วเดินจากโดยทิ้งสร้อยเวสเปอร์เอาไว้บนกองหิมะ เราจะเห็นว่าสร้อยเส้นนี้เป็นเสมือนบ่วงคล้องคอที่ทำให้บอนด์ไม่อาจจะก้าวไปข้างหน้าต่อได้ เราได้รู้ว่า เขาแทบจะไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำแถมกินเหล้าเมามายเพื่อไม่ให้หลับอีกต่างหาก 
 
         ราวกับว่า ถ้าหลับไปเขาจะฝันเห็นเธออีก
 
        การที่เขาทิ้งสร้อยเวสเปอร์ไว้บนหิมะก็ทำให้เรารู้ได้สองอย่างได้แก่ หนึ่งบอนด์ได้ปล่อยวางอดีตเอาไว้แล้วก้าวเดินหน้าต่อไป และข้อที่สองคือ บอนด์ได้รู้จักคำว่า รับผิดชอบแล้ว 
 
 
          ซึ่งความรับผิดชอบนี้เองที่ทำให้เราพอจะเข้าใจได้ว่า ชายหนุ่มชื่อ เจมส์ บอนด์คนนี้ได้เริ่มต้นเท้าไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไป บอนด์คนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง Skyfall จึงเป็นเสมือนพื้นบนอากาศให้เขาเหยียบย่างขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้งโดยที่เรายังคงเอาใจช่วยสายลับผู้เป็นที่รักของคนที่นี่ต่อไป

.....

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)  ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง  ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า