Skip to main content

 

          อีกไม่กี่วันนับจากนี้ก็จะถึงงานสัปดาห์หนังสือฤดูร้อนปี 2013 แล้วนะครับ ซึ่งใครหลายคนที่เป็นหนอนหนังสือก็คงรอคอยช่วงเวลานี้กันตาเป็นมันเพื่อจะได้ซื้อหนังสือมาตุนกัน จนหลายคนเรียกงานนี้ว่า งานลดราคาหนังสือเสียด้วยซ้ำ กระนั้นหลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้จับจองหนังสือหายาก หนังสือราคาถูกในงานนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ 
 
          เช่นเดียวกับเหล่านักอ่านเยาวชนหัวใจโอตาคุทั้งหลายที่ต่างรอคอยงานหนังสือนี้กันอย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะหนังสือที่เรียกว่า Light Novel หรือนิยายเล่มเล็กที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างมากในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาและน่าจะมากขึ้นไปอีก เมื่อมีค่ายหนังสือทั้งใหญ่และเล็กต่างเปิดแผนก Light Novel หรือเข้ามาในธุรกิจหนังสือนิยายเล่มเล็กนี้กันเต็มไปหมด
 
          นั้นเองที่ทำให้หลายคนแอบเรียกงานหนังสือในยุคหลัง ๆ ว่า งานคอมมิเกะประเทศไทย ก็เพราะมันคล้ายคลึงกับงานขายสินค้าอนิเมะ มังงะ และโดจินอย่างคอมมิคเกะที่จัดที่ญี่ปุ่น และมีสาวกโอตาคุจำนวนมากไปซื้อที่งานนี้จนกระทั่งมีเงินสะพัดนับหลายล้านเยนเลยทีเดียว
 
 
          นักอ่านหลายคนอาจจะงุนงงว่า อะไรคือ Light Novel 
 
          หากจะอธิบายง่าย ๆ ก็ตรงตัวตามอักษรของมันนั้นก็คือ Light ที่แปลว่า เบา คำว่า Novel แปลว่า นิยาย เมื่อรวมกันจึงมีความว่า นิยายเบาหรือนิยายเล่มเล็กนั้นเอง ซึ่งจุดเด่นของนิยายประเภทนี้ก็คือ มีภาษาที่อ่านง่ายคล้ายกับการอ่านการ์ตูนและมีจำนวนเล่มค่อนข้างมากกว่าเล่มเดียวจบ รวมทั้งมีภาพประกอบที่วาดโดยนักเขียนหลายคนช่วยดึงดูดนักอ่าน และเอาไปดัดแปลงเป็นอนิเมะได้ง่ายทำให้นิยายประเภทนี้ได้รับความนิยมค่อนข้างมากในหมู่โอตาคุทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศเลยทีเดียว 
 
           เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตลาดของ Light Novel นั้นยังไม่ได้กว้างขวางมากถึงขนาดนี้แม้ว่าจะมีสำนักพิมพ์อย่าง Bliss Publishing อันเป็นบริษัทในเครือแกรมมี่ที่ได้บุกเบิกตลาดหนังสือแปลของญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่องรวมทั้งหนังสือนิยายเล่มเล็กที่มีชื่อว่า Light Novel อีกด้วย แน่นอนว่า Bliss ในช่วงนั้นแทบจะผูกขาดตลาดของหนังสือแปลญี่ปุ่นรวมทั้ง Light Novel ไปเกือบหมดเลยทีเดียว
 
           ทว่าเมื่อปี 2011 ที่ผ่านมา สำนักพิมพ์ Bliss ก็ได้ปิดตัวลงท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าสาวก Light Novel ที่ติดตามนิยายของค่ายนี้มาหลายเรื่องเพราะ นิยายหลายเรื่องก็ต้องหยุดตีพิมพ์ลงไปด้วย โดยที่หลาย ๆ คนต่างวิตกกังวลว่า อาจจะมีสำนักพิมพ์อื่น ๆ ต้องปิดตัวไปด้วย
ทว่า
 
            หลังจาก Bliss ได้ปิดตัวลงไปกับมีสำนักพิมพ์อื่น ๆ เปิดตัวขึ้นมาแข่งขันในยุทธจักร Light Novel อีกหลายสำนักพิมพ์ นอกจากนี้สำนักพิมพ์ที่เปิดมาใกล้เคียงกับ Bliss นั้นก็เพิ่มขยายการผลิตขึ้นมาจนทำให้สถานการณ์ของ Light Novel ในไทยตอนนี้ร้อนแรงยิ่งขึ้น รายชื่อของลิขสิทธิ์ใหม่ ๆ ที่ถูกซื้อเข้ามาทำให้หลายคนต้องซี้ดปากกันเลยทีเดียว และเชื่อว่าจะมี Light Novel เรื่องใหม่ ๆ ถูกซื้อเข้ามาในอนาคตแน่นอน
 
            บทความพิเศษนี้ผมจะพาท่านไปดูว่า ในงานหนังสือฤดูร้อนปี 2013 นี้ค่ายใดมี Light Novel เรื่องไหนเป็นที่เชิดหน้าชูตาและสามารถแย่งความสนใจไปจากเหล่าโอตาคุไทยแลนด์ได้มาเพียงใด
 
          Luckpim 
 
 
          ค่าย Luckpim เป็นค่ายหนังสือการ์ตูนที่เริ่มต้นจากบูธเล็ก ๆ เมื่อสี่ห้าปีก่อนกลายเป็นค่ายหนังสือที่มีขนาดใหญ่ที่มีแฟนหนังสือจำนวนมากเลยทีเดียวนับจากเปิดตัวขึ้นมา พวกเขาเริ่มต้นการนำเข้า Light Novel เรื่องแรกของบริษัทอย่าง School Day ที่ดัดแปลงมาจากอนิเมะและเกมชื่อดังที่หลายคนจดจำกันได้ในฐานะเกมที่มีฉากจบติดตาตรึงใจที่สุดในความทรงจำของใครหลายคน  ซึ่งค่ายนี้ก็มี Light Novel ในสังกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีทั้งเรื่องดังบ้างไม่ดังบ้างคละเคล้ากันไป อาทิเรื่องดังที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นอนิเมะแล้วอย่าง  Zero No Tsukaima (อสูรรับใช้ของยัยศูนย์สนิท) , Mayo Chiki (ฉันนี่ล่ะพ่อบ้าน) หรือ Haiyore! Nyaruko-san (เนียรุโกะซัง) เป็นต้น หรือพวกนิยายที่ยังไม่ได้ดัดแปลงเป็นอนิเมะแต่ถูกจับตามองอย่างมากมายอย่าง  The Royal Academy of Machinart (สงครามจักรกล มนตรา ราตรี) เป็นต้น 
 
          Luckpim คือครอง ลิขสิทธิ์นิยายของค่าย Media Factory , Enterbrain  และ ค่าย Fujimi Shobo , SOFTBANK Creative Corp แม้จะไม่ใช่ค่ายใหญ่แบบ เดงเกงคิ แต่ก็เป็นสำนักพิมพ์ที่มีนิยายดี ๆ และแปลกใหม่อยู่มากมายเลยทีเดียว
 
 
            แม้ว่าจะไม่มีบิ๊กเนมในงานหนังสือนี้ แต่หนังสือที่ประกาศวางขายในงานนี้อาจจะเป็น Big Name .นอนาคตก็ได้ อาทิเช่น 
 
             Date A live พิชิตรักพิทักษ์โลก ของค่าย Fujimi Shobo ที่กำลังจะได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมชั่นฉายทีวีในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ 
             
             หรือ
 
             High School DxD นิยายที่ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะไปแล้วเมื่อปีก่อน เป็นอีกหนึ่งนิยายระดับขุนผลในงานหนังสือครั้งนี้ของค่าย Luckpim 
 
             นอกจากนั้นก็ยังมี Light Novel ใหม่อีกหลายเรื่องที่ออกในงานครั้งนี้ทั้ง บันทึกกิจกรรมสมาคมคนรักเกมของผมกับอิจิโนะ , ความลับในใจของคุณหนูไอดอล , ตำนานพิศวงร้อยเรื่อง ลำดับที่101 รวมทั้ง Light Novel เล่มต่ออีกหลายเล่ม
 
             นั้นเองที่ทำให้หลายคนจับตามอง Luckpim อยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวในงานหนังสือคราวนี้
 
              A-Plus
 
             จากกลุ่มสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ที่ทำนิตยสารที่มีชื่อว่า Animag นิตยสารเกี่ยวกับแวดวงอนิเมชั่นและหนังสือการ์ตูนมาหลายปีบัดนี้ Animag ได้เปลี่ยนเป็น A-plus แล้วผลิต Light Novel ออกมาป้อนตลาดหลายเรื่องเลยทีเดียว ซึ่งพวกเขาเริ่มต้นการเข้าสู่วงการนี้ด้วยการนำนิยายของมาโคโตะ ชินไค เรื่อง ยามซากุระร่วงโรยหรือ 5 Centimeter per second และผลงานของชินไค มาโคโตะแล้ว ค่ายนี้ยังยัง Light Novel ที่น่าสนใจทั้งหญิงและชายมาบุกตลาด Light Novel ด้วยเช่นกัน 
 
               ผลงานเชิดหน้าชูตาของค่ายนี้ก็ได้แก่ อัศวินมือใหม่ มังกรป้ายแดง ที่ออกมาแล้วถึงหกเล่ม หรือ เจ้านี่เหรอ ซอมบี้ ผลงานชื่อดังที่กลายเป็นอนิเมชั่นไปแล้
 
           ทว่าสิ่งที่ทำให้ค่ายนี้ได้รับความสนใจสูงสุดก็เนื่องจากการคว้าลิขสิทธิ์ที่หลายคนไม่คิดว่าจะเป็นได้อย่าง  to aru majutsu no index มาได้ท่ามกลางความตกตะลึงของใครหลาย ๆ คนเลยทีเดียว
 
               แน่นอนว่า นี่คือผลพวงของการปิดตัวลงของค่าย Bliss ที่ผูกขาด Light Novel ของสำนักพิมพ์ เดงเกงคิ หลายเรื่อง ซึ่งเมื่อไม่มี Bliss ก็ทำให้ค่ายอื่น ๆ สามารถเข้าไปซื้อลิขสิทธิ์ Light Novel ของค่ายนี้ได้ง่ายขึ้น  
 
 
                to aru majutsu no index นั้นเป็น Light Novel ที่ขายดีที่สุดเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่นและถูกดัดแปลงเป็นอนิเมะไปถึงสองซีซั่นและมีภาคเสริมอย่าง to aru kagaku no railgun ที่ภาคแยกโดยเอาตัวละครนางเอกคนที่สองของเรื่องอย่าง มิซากะ มิโคโตะแยกออกมาอีกต่างหากและมีอนิเมะตามมาอีกสองภาค ซึ่งทำให้เรารู้ว่า Light Novel เรื่องนี้ฮิตจริง ๆ
 
                แต่ที่หลายคนคิดว่าไม่น่าจะเป็นได้นั้นก็คือ จำนวนเล่มของ Light Novel เรื่องนี้ที่มหาศาลกว่า 22 เล่ม แถมมีภาค 2 ออกมาแล้วอีก 2 เล่มอีกต่างหาก
และ A- Plus ก็ออกนิยายมาแล้วสามเล่มเรียกได้ว่า พยายามทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกต่างหาก 
 
                นี่เองที่ทำให้ A-Plus กลายเป็นอีกอีกหนึ่งค่ายที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในงานหนังสือคราวนี้
 
               Zenshu
 
              สำนักพิมพ์น้องใหม่ล่าสุดที่เปิดตัวขึ้นเป็นสำนักพิมพ์ในเครือของบริษัท Rose Media entertainment Group ผู้ผลิตธุรกิจ Home Video ขนาดใหญ่ของประเทศไทยที่หลัง ๆ นี้บุกเข้ามาในสื่อสิ่งพิมพ์มากขึ้น ตั้งแต่ออกนิตยสารเกี่ยวกับอนิเมชั่นอย่าง Zenshu เริ่มมีการซื้อลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนมาเรื่อย ๆ จนมีหนังสือการ์ตูนดี ๆ อยู่ในมือมากมาย แต่ที่น่าสนใจก็คือการกระโดดเข้ามาในธุรกิจ Light Novel นั้นเอง
 
               ซึ่ง Light Novel ที่ค่ายนี้ซื้อมาส่วนมากนั้นเป็นของค่ายเดงเกงคิเสียส่วนใหญ่ แถมยังเป็น Light Novel ระดับ Big Name ซึ่งเรียกเสียงซี้ดให้กับสาวกโอตาคุทั้งหลายเป็นอย่างอาทิ
 
 
                น้องสาวผมของผมไม่น่ารักเลยสักนิด , Accel World, Sword Art Online , บาสใสวัยซน  ซึ่งล้วนแต่เป็นระดับชื่อดังและมีอนิเมชั่นออกมาแล้วด้วย
 
 
                โดยเฉพาะ Sword Art Online ที่เมื่องานหนังสือฤดูหนาวปี 2012 ที่ผ่านได้สร้างความตื่นตะลึงอย่างยิ่งกับหลายคนที่ไปงานเมื่อมีการเข้าแถวรอซื้อนิยายเล่มนี้กันอย่างคับคั่งชนิดที่ว่า ไม่เคยเกิดกับนิยายเรื่องใดมาก่อน แม้ว่าจะมีโปสเตอร์กับลายเซ็นนักเขียนเป็นของแถมก็ตามที แต่นี่ก็เป็นสิ่งน่าสนใจว่า ธุรกิจ Light Novel นั้นมีผู้อ่านจำนวนมากจริง ๆ
      
                 อีกอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่ายนี้ก็คือการซื้อ Light Novel แนวแปลก ๆ ที่แตกต่างเข้ามาบ้างอย่างแนวสืบสวนอย่าง Cop Craft มือปราบสองโลก หรือกระทั่งแนววิทยาศาสตร์ไซไฟอย่าง Steins ; Gate ฝ่าวิกฤตพิชิตเวลา วังวนแห่งอุโรโบรอส ที่ทำสถิติ Light Novel เล่มที่หนาที่สุดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทั้งสองเรื่องแม้ว่าจะทำยอดได้น้อยกว่านิยายชื่อดังเหล่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจให้กับคนอ่านได้ดีทีเดียว
 
               ซึ่งในงานหนังสือนี้ Zenshu ก็มี Light Novel ทั้ง Big Name ที่โด่งดังในญี่ปุ่นมาแล้วอย่าง พี่น้องปริศนาโรงเรียนมหาเวทย์ ,  หนุ่มสามัญกับสาวหลุดโลก และ วานาดีส ราชันกับกระสุนมนตรา ออกมา รวมทั้ง Light Novel แนวสืบสวนเรื่องใหม่อย่าง B.A.D ออกมาให้อ่านกันด้วย
 
                และคาดว่าอาจจะมีการประกาศลิขสิทธิ์ Light Novel เรื่องใหม่ ๆ ในงานหนังสือนี้ด้วย
 
                 Dexpress
 
                 อีกหนึ่งบริษัทที่กระโจนตัวเข้ามาสู่สมรภูมิ Light Novel นี้ก็ได้แก่ Dexpress สำนักพิมพ์ในเครือของ Dex บริษัทโฮมเอ็นเตอร์เทรนเม้นท์ใหญ่ของประเทศไทยที่เข้ามาในธุรกิจนี้เช่นเดียวกับด้วยรูปแบบ Design หนังสือที่แตกต่างจากชาวบ้านตรงที่มักจะมีกล่องสวมเหมือน DVD และรูปเล่มใหญ่กว่า Light Novel ปกติเล็กน้อย รวมทั้งลิขสิทธิ์จากค่าย Hobby Japan ที่ผูกขาดกับทางสำนักพิมพ์อยู่แล้วทำให้มีนิยายค่อนข้างน้อยมาก ๆ ในสังกัด 
 
                แต่ก็มีนิยายที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยอาทิ นักเรียนน้องใหม่สายพันธุ์จอมมาร(ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะไปแล้ว) พระเอกตัวจุ้นวุ่นวันโลกแตก , บ้านพักอลวนคนขั้นเทพ หรือ ซีรีย์ เชือดคืนชีพ (Cutting) Light Novel แนวเขย่าขวัญที่ค่อนข้างแตกต่างกับ Light Novel ในตลาดประเทศไทยพอสมควร
 
 
                 แต่ที่เป็น Big Name จริง ๆ ย่อมไม่พ้นนิยายซีรีย์ Bakemonogatari ของ Nisio Isin ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมะไปแล้ว สำหรับเรื่องนี้แล้วถึงไม่ใช่ Light Novel แต่ก็เป็นผลงานที่เหล่าโอตาคุไทยติดตามและอยากจะลองอ่านดูเช่นกัน เชื่อว่า จะมีผลงานของนักเขียนท่านนี้ออกมาให้อ่านอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต
 
                  Bongkoch 
 
                  ถ้าพูดสำนักพิมพ์การ์ตูนที่ผู้หญิงหลายท่านต้องนึกถึงย่อมไม่พ้น สำนักพิมพ์บงกชเป็นแน่แท้ ซึ่งหลังจากพิมพ์การ์ตูนผู้หญิงจนเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งไปแล้ว สำนักพิมพ์ก็หันมาจับตลาดการ์ตูนชายและมีผลงานดี ๆ หลายเรื่อง และเป็นอีกสำนักพิมพ์ที่กระโจนเข้ามาในสังเวียนของ Light Novel อีกราย
 
                   กระนั้น Light Novel ของค่ายนี้ก็มีแตกต่างกับชาวบ้านตรงที่มีขนาดใหญ่เหมือนหนังสือปกติ ซึ่งต่างจาก Light Novel ปกติมากเลยทีเดียว จนหลายคนบอกว่า มันไม่ใช่ Light Novel แล้วก็ตาม แต่เนื้อในของมันก็ยังคงเป็นนิยายที่อ่านง่ายอยู่ดีสมชื่อของมัน
 
                    ซีรีย์ Light Novel ส่วนมากมักจะเป็นนิยายที่เป็นเล่มพิเศษจากหนังสือการ์ตูนชื่อดังของค่ายอย่าง Ouran Host Club , Black Bird , Vampire Night เป็นต้น แต่ก็มีการซื้อ Light Novel ที่น่าสนใจมาบ้างเหมือนกันอย่าง baka to test to shoukanjuu , itsuka tenma no kuro usage , Setokai Ichizon เป็นต้น
 
 
                    แต่ที่เป็น Big Name ของค่ายนี้ย่อมไม่พ้น Suzumiya haruhi no yuutsu หรือเรียกเธอว่าพระเจ้า สึซึมิยะ ฮารุฮิ Light Novel แนวไซไฟลึกลับชีวิตโรงเรียนชื่อดังที่ได้รับการดัดแปลงเป็นการ์ตูนเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งปัจจุบันค่ายบงกชได้พิมพ์มาจนถึงเล่มล่าสุดแล้ว
 
                     สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นับจากนี้ค่ายนี้จะสามารถคว้า Big Name เข้ามาได้อีกเรื่องไหม
 
                   Enterbook
 
 
                 สำนักพิมพ์น้องใหม่ล่าสุดในเครือของแจ่มใส สำนักพิมพ์เพื่อสาว ๆ วัยใสที่เข้ามาสู่ยุทธการ Light Novel ที่รายด้วยผลงาน Light Novel เพื่อสาว ๆ หลายเรื่อง ๆ ที่ขายดีอย่างยิ่งจนแทบจะเป็นคนผูกขาด Light Novel สำหรับผู้หญิงในประเทศไทยไปเลยทีเดียว ทว่าค่ายนี้ก็เริ่มที่จะมีการขยับขยายตัวเองไปสู่ฐานใหม่บ้างด้วย Light Novel ระดับ Big Name อย่างเรื่อง Hyouka ซึ่งเป็น Light Novel ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นอนิเมชั่นไปแล้วเมื่อปีก่อนและได้รับความนิยมพอสมควร ซึ่งหลายคนก็ฮือฮากันอย่างยิ่งที่ค่ายนี้กระโดดลงมาในสังเวียนนี้อีกคน แต่ก็ด้วย Light Novel ชายที่น้อยเกินไปทำให้ยังไม่สามารถตัดสินได้ว่า Enterbook จะก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงสำหรับสังเวียนนี้ได้หรือไม่
 
                 นอกจากนี้เมื่อมองไปยังสำนักพิมพ์ต่าง ๆ อาทิ Vibulkij ก็มีการนำ Light Novel จากการ์ตูนดังของตัวเองอย่าง hayate no gotoku หรือ สามสาวพลังป่วนพิทักษ์โลก เข้าแปลบ้าง แต่ส่วนมากมักจะเน้นไปที่ฉบับนิยายของ คินดะอิจิรุ่นหลาน และ นักสืบรุ่นจิ๋ว โคนัน เป็นต้น
 
                  สยามอินเตอร์ก็แทบไม่มีความเคลื่อนใดในทาง Light Novel นักและค่อนเงียบเมื่อเทียบกับการ์ตูนที่ค่อนข้างคึกคักกว่ามาก
 
                   TKO คอมมิคเองก็มีไม่มีความเคลื่อนไหวอีกนับจากวางแผงนิยายที่เป็นเล่มพิเศษของ เซียนเกมรักขอเป็นเทพนักจีบ อีกเลยเช่นกัน
 
                   เมื่อลองมองดูสถานการณ์ Light Novel ในประเทศไทยนั้นเราจะเห็นภาพว่า ส่วนมากมักจะเป็นการซื้อ Light Novel ตามกระแสของอนิเมะบ้าง หรือ แนวเอาใจโอตาคุบ้างเสียส่วนมาก ซึ่งจะเห็นว่ามีค่ายที่จริงจังกับงานนี้เพียงไม่กี่ค่ายเท่านั้น ส่วนค่ายอื่น ๆ อาจจะต้องจับตามองกันต่อไปในอนาคตว่า จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร ในด้านลิขสิทธิ์ หรือ ผลงานต่อไป
 
                  นั้นทำให้เราไม่สามารถบอกได้ว่า ตลาด Light Novel ของประเทศไทยนั้นมาถึงจุดพีคแบบเดียวกับญี่ปุ่นหรือยัง
 
                   พูดได้แค่ว่า มันพึ่งจะเริ่มเท่านั้นครับ
 
 
 
 
                                                                        ป.ล. ขอให้ช๊อบกันให้สนุกในงานหนังสือปีนี้นะครับ

 

บล็อกของ Mister American

Mister American
ถ้าเอ่ยชื่อของไมเคิ่ล ฮานาเก้ ถ้าไม่ใช่แฟนหนังจริงๆหลายคนอาจจะไม่รู้จักเขาเท่ากับผู้กำกับคนอื่นๆอย่าง ไมเคิ่ล เบย์ สปีลเบิร์กหรือคาเมร่อนก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงสิ่งที่หลายคนมารู้จักผู้กำกับจากยุโรปได้ก็คงไม่พ้นนิยามหนังของเขาที่หลายให้คำว่า โหดเหี้ยม เลือดเย็น และน่าขนลุก โดยหนังที่หลายคนมักจะ
Mister American
(เนื้อหาบทความนี้อาจะเปิดเผยความลับของภาพยนตร์)  ผมเชื่อว่าทุกคนเคยมีความฝัน ครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ฮีโร่ของญี่ปุ่นอย่าง อุลตร้าแมน ไอ้มดแดง ขบวนการห้าสีบุกจอโทรทัศน์ หลายคนในตอนนั้นยังเป็นเด็กตัวน้อยๆที่เฝ้ารอคอยหน้าจอที่สัปดาห์เพื่อจะได้ชมฮีโร่ของตัวเองปราบปรามเหล่าร้ายในหน้าจอที่หวังยึดครองโลก เราได้สนุกสนานกับการผจญภัยของพวกเขา บางคนอาจจะถึงขั้นอยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างเลยทีเดียว หรือบางคนอาจจะใฝ่ฝันที่จะได้เห็นฮีโร่ตัวจริงด้วยสายตาของตัวเอง  ซึ่งเด็กชายที่ชื่อ ฟิล โคลสัน คือหนึ่งในนั้น
Mister American
ครั้งหนึ่งเมื่อภาพยนตร์เรื่อง เฉือน ของผู้กำกับก้องเกียรติ โขมศิริ ได้ลงโรงฉายชนกับภาพยนตร์รัก Feel Good อย่างรถไฟฟ้ามาหานะเธอนั้นหลายคนที่ไปชมเรื่องนี้ต่างอึ้งกับภาพความโหดร้าย ของฆาตกรต่อเนื่องของไทยที่คาดว่าจะเป็นภาพยนตร์ฆาตกรต่อเนื่องที่น่าสนใจ เรื่องหนึ่ง และมีคำถามขึ้นมาว่า