Skip to main content

          สวัสดีปีใหม่ครับ

          จะว่าก็ผ่านปีใหม่มาเกือบจะหนึ่งเดือนแล้ว แน่นอนว่า ในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายทั้งสุข เศร้า  ทุกข์ มันเป็นปีที่มีเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านมากมายเหลือเกิน สำหรับผู้เขียนแล้วต้องบอกได้ว่า เป็นปีที่วุ่นวายและน่าเหนื่อยหน่ายอย่างแท้จริง ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องการเมือง และอีกสารพัดเรื่องที่ทำให้ผู้เขียนได้แต่หวังว่า ปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

          ครับ เมื่อย้อนนึกกลับไปในปี 2013 ที่ผ่านมา คนเขียนอย่างผมก็ได้รับชมภาพยนตร์หลายเรื่องพอสมควรทั้งจากในโรงภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรือกระทั่งแผ่นดีวีดี ซึ่งก็มีทั้งภาพยนตร์ที่ดีบ้าง ห่วยบ้าง ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ปะปนกันไป ซึ่งบทความนี้จะเหมือนของปีที่แล้วที่เคยเขียนครับว่า ในปีที่ผ่านมามีภาพยนตร์เรื่องใดที่ผมชอบมาก ๆ ในปีนี้บ้างครับ มาชมกันว่า ผมจะถูกใจเรื่องไหนกันบ้าง

10. Jack Reacher

          ต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นแฟนของหนังสือนิยายชุดนี้ครับ ซึ่งหนังสือชุด แจ็ค รีชเชอร์นั้นเป็นหนังสือที่ดังมากในอเมริกาและถูกเขียนมาหลายเล่มแล้วครับ ซึ่งเรื่องนี้เขียนโดย ลี ไชลด์ นักเขียนชาวอังกฤษที่หนังสือเรื่องนี้ออกมาโดยใช้ประสบการณ์สมัยที่ยังทำงานเกี่ยวกับโทรทัศน์มาผสมด้วยทำให้ออกมาเป็นหนังสืบสวนแนวแอ็คชั่นที่แปลกสไตล์และที่สำคัญสนุกสมจริงและกลมกล่อมเอามาก ๆ เอาเป็นว่า แค่คุณหยิบเล่มแรกอย่าง ลานละเลงเลือดขึ้นมา คุณก็จะกลายเป็นแฟนของเรื่องนี้ไปในทันทีครับ

          และแน่นอนว่า เมื่อหนังมันประกาศสร้างทำเป็นภาพยนตร์ ผมก็นั่งใจจดใจจ่อรอว่า ใครหน่อจะได้เป็น รีชเชอร์ จนหวยออกมาที่เฮีย ทอม ครูซ นี่แหละครับ เล่นเอาถอนหายใจไปเลย แบบว่า พระเจ้าช่วย ช่างคัดมาไม่ได้เหมาะกับบทเลย รีชเชอร์สูงตั้ง 6 ฟุต 5 นิ้วเชียวนะ แต่ว่า ครูซ เตี้ยกว่านั้นเยอะ เอาจริง ๆ รีชเชอร์ที่ผมคิดว่าเหมาะที่สุดคือ นักแสดงหนุ่มนาว สก็อต แอดกินครับ แต่นั้นแหละครับ พอได้ดูหนังก็ต้องบอกว่า

          ชอบขึ้นมาทันที

          แจ็ค รีชเชอร์ เป็นหนังสืบสวนที่เล่าถึงความซับซ้อนในการฆาตกรรมที่ได้น่าสนใจ บางครั้งการฆาตกรรมอาจจะไม่ได้ซับซ้อนมากขนาดนั้น แต่มันอาจจะง่ายเกินคาดก็ได้ เหมือนเช่นรีชเชอร์สืบค้นว่า อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้มีคนตายมากมายขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือ หนังมันได้บอกว่า โลกใบนี้นั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย

          และเป็นโลกที่ทำให้รีชเชอร์ถอนหายใจและเดินถอยออกมาอย่างหมดแรงเสมอ

          มันเป็นโลกที่ยากจะสวยงามแบบที่เขาเคยคิดฝันอีกแล้ว

9 . ทองสุก 13

          นี่คือหนังสยองขวัญที่พูดตามตรงเลยว่า ผมโคตรถูกใจหนังเรื่องนี้ให้ตายเถอะ

          เพราะอะไรเหรอครับ มันคือหนังสยองขวัญไทยที่คนเขียนบทและคนกำกับหนังประกาศว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสยองขวัญทุนต่ำของแซมไรมี่ ใช่แล้ว มันได้แรงบันดาลใจมาจาก Evil dead นั้นเอง

          เรื่องราวของหนังก็ไม่ได้ต่างไปจากหนังวัยรุ่นสยองขวัญทั่วไปครับ มันพูดถึงกลุ่มวัยรุ่นคึกคะนองที่ไปท้าทายสิ่งศักดิ์สิทธิบนเกาะที่ห่างไกลผู้คน ก่อนจะผีร้ายเล่นงานด้วยการเข้าสิงร่างของพวกเขาทีล่ะคน แหม่ ช่างเป็นบทหนังที่ได้อิทธิพลมาจากหนังสยองขวัญเรื่องนั้นจริง ๆ ไม่พอ ผีในเรื่องยังมีความคล้ายกันอีก สรุปก็คือ เป็นหนังที่อยากจะกราบคนทำว่า เราพวกเดียวกันชัด ๆ ครับ

          เป็นหนังสยองขวัญไทยที่แปลกอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยนี้ครับ

8. Django Unchained

          เอาจริงแล้วผมไม่ใช่แฟนหนังของเควนติน ทารันติโน่ หรอกนะครับ เพียงแต่ว่า บังเอิญได้ดูหนังของแกครบเลยติดตามมาตลอดว่า แกจะทำหนังที่กวนบาทาชาวบ้านแบบไหนต่อ

          และก็มาถึงหนังที่แกอยากทำที่สุดนั้นก็คือ คาวบอยครับ แถมยังเอาชื่อของ จังโก้ วีรบุรุษคาวบอยในตำนานมาทำใหม่ด้วย แถมเรียกแขกด้วยการเลือกพระเอกผิวสี อย่างเจมี่ ฟ๊อกซ์มารับบท จังโก้ อีก

          เรียกแขกได้ขนานใหญ่เลยล่ะครับ

          แน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังเควนตินแล้ว หนังมันย่อมเต็มไปด้วยการกวนบาทาตลอดทางผ่านมุขที่ชวนให้ฮ่าแตกและคาดไม่ถึงตลอดอย่างความตาย (ที่เป็นมุขของแกตลอดมา ความตายไม่เคยเข้าใครออกใครแม้กระทั่งตัวเอก) ที่สำคัญหนังเรื่องนี้กลมกลืนไปกับหนังที่พูดถึงคนผิวสีในช่วงก่อนจะเลิกทาสได้น่าสนใจยิ่ง การที่เราเห็นคนผิวสีขี่ม้าก็ทำให้เรารู้สึกเฉย ๆ ขณะที่เราได้แต่ขำกับท่าทีตกใจของคนผิวขาวในเมือง พลันเศร้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่น้อย

          และมันได้สะท้อนให้เราเห็นว่า โลกที่ไร้เสรีภาพมีแต่ทาสนั้นเป็นอย่างไร

          แล้วเราอยากจะกลับเป็นทาสอีกงั้นเหรอ

7.  Only God Forgive

          หนังต่างชาติที่บอกเล่าถึงเมืองไทยได้น่าสนใจ เมืองไทยในหนังเรื่องนี้อาจจะดูเหนือจริงในสายตาของเรา ทว่ามันกลับดูจริงจนน่าขนลุก อาจจะเพราะประเทศเป็นเสมือนแดนสนธยาที่มีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นได้ตลอด โลกของหนังเรื่องนี้มันช่างเป็นฝันร้ายที่อยากจะลืมตาตื่นอย่างแท้จริง จนเพลง เธอคือความฝันที่เคยไพเราะกลับกลายเป็นความสยองขวัญที่เราได้แต่ขนลุก

         ลิงค์ บทความเรื่องนี้ครับ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4264

6. Snowpiecer

          หนังแนวปฏิวัติที่ผมชอบที่สุดในปีนี้ อาจจะเพราะการที่มันถูกสร้างโดยคนเกาหลีและเล่าเรื่องที่เป็นสากลมาก ๆ ขณะเดียวกันมันกัดจิกทั้งการเมืองเผด็จการ ทั้งระบบทุนนิยม ทั้งสิ่งแวดล้อม และอีกหลายเรื่องที่ทำให้เราได้แต่ขนลุกกับสิ่งที่ขึ้นตรงหน้าว่า มันเกิดขึ้นบ่อยและมนุษย์จดจำมันเลย

          จนบางครั้งเราอาจจะต้องทำลายระบบมันทิ้งไปซะก็ได้

          เพื่อจะเริ่มต้นใหม่

          และที่ตลกคือ ผู้ชนะของเรื่องนี้ไม่ใช่คนผิวขาว ชนชั้นสูง ที่อวดตัวฉลาดและมีอภิสิทธิ์ทั้งหลาย

          แต่เป็นไพร่ชั้นสองอย่าง เกาหลีและคนผิวสีต่าง

          ที่ได้รอดมาเหยียบบนผืนดิน

          และเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง

          นี่คือ หนังแอ็คชั่นไซไฟปฏิวัติที่ไม่ควรพลาดจริง ๆ ครับ

         ลิงค์บทความเรื่องนี้ครับ http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4507

5. เกรียนฟิคชั่น

          หนังไทยที่ดีที่สุดแห่งปีและหนังที่ทำให้ผู้กำกับที่ชื่อว่า มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระพงษ์ เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ทำหนังออกมาทุกปีแต่หนังทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยคุณภาพที่สำคัญบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมและความรักในมุมมองใหม่ ๆ ได้อย่างน่าสนใจยิ่ง

          จาก Home ความรัก ความสุข ความทรงจำ สู่ เกรียนฟิคชั่น ที่หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังวัยรุ่นไร้สาระสมัยนิยมที่สร้างกันออกมาและเจ๊งกันไป แต่หนังเรื่องนี้กลับเป็นหนังพาเราเข้าไปสำรวจชีวิตของมนุษย์ได้อย่างเต็มสตรีม เราจึงได้เห็นโลกของวัยรุ่นที่ต่างออกจากหนังวัยรุ่นหลายเรื่องในหลายปีที่ผ่านมานี้

          เพราะเราคงไม่เคยเห็นหนังวัยรุ่นเรื่องใดที่พาตัวเอกหนีออกจากบ้านกระโจนเข้าไปสู่มุมมืดของสังคมที่ต่างออกในพัทยา ที่เราได้เห็นวัยรุ่นอีกด้านของคนว่า มันไม่ได้มีแต่แสงสว่างเพียงอย่างเดียว

          แต่มันมีความมืดซ่อนอยู่

          ตัวละครเอกของเรื่องอย่าง ตี๋ เป็นตัวละครที่ต้องปรบมือยกย่อง เขาเป็นตัวละครที่พาเราไปพบโลกอีกโลกได้อย่างจริงจังและสนิทใจ เป็นตัวละครที่เราพร้อมจะติดตามไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้น และสิ่งที่เกิดขึ้นกับตี๋ก็ทำให้ต้องอ้าปากค้างได้เสมอ

          และน้ำตาก็ซึมออกมาเมื่อดูชีวิตของแก๊งค์เกรียนนี้

          แต่ที่ทำให้ผมประทับใจคือ การที่หนังมันเลือกจบด้วยการจบแบบปลายเปิดให้เราไปคิดเอง มันเป็นการจบที่ทำให้เราได้แต่คาดเดาและหวังไว้กับอนาคตของเด็กพวกนี้ว่า พวกเขาจะเป็นยังไงต่อ อนาคตของพวกเขาจะเป็นแบบที่ตี๋เขียนเอาไว้หรือไม่

          อนาคตที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่มีใครต้องพบกับความทรมาน ไม่มีใครต้องพบกับความเศร้า

          มีแต่ความสุข

          เสมือนคำว่า ตราบใดที่ยังมีรักย่อมมีหวัง

          ขอยกตำแหน่งหนังไทยแห่งปีไปเลยครับเรื่องนี้

4. The Last Stand

          สำหรับผมแล้ว The Last Stand คือหนังแอ็คชั่นที่สุดแห่งปีที่ผมชอบที่สุด มันคือหนังที่ผมได้แต่ประทับใจทั้งกับการกลับมาของอาร์โนลด์ ชวาร์ซเน็กเกอร์ แต่ที่ผมประทับใจคือ การที่มันกำกับโดยผู้กำกับเกาหลีที่ผมชอบที่สุดอย่าง คิม จี วุน

          ผมเคยเขียนถึงผู้กำกับคนนี้เอาไว้เมื่อประมาณกลางปี อย่างที่บอกว่า เขาทำให้หนังที่เหมือนจะเป็นแค่หนังแอ็คชั่นธรรมดายิงกระจายแบบที่อาร์โนลด์เคยเล่นให้กลายเป็นหนังแอ็คชั่นที่มิติความลึกแทบวิพากษ์สังคมออกมาได้อย่างตื่นตะลึง
          http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4296

          นี่แหละหนังแอ็คชั่นน้ำดีที่ผมยกให้เป็นหนังที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องของชายที่ชื่อ คิม จี วุน

3. The Conjuring

          หนึ่งในหนังสุดเซอร์ไพส์แห่งปี หนังสยองขวัญที่ทำให้ผมขนลุกซู่และกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า มันคือหนังสยองขวัญที่นำสูตรเก่า ๆ ที่เราคุ้นชินจากหนังเหล่านั้น ทั้งการที่ครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น ทั้งประวัติของบ้านที่หลายคนคุ้นชิน ทั้งการไล่ผี ทั้งการหลอกหลอน หนังไม่มีอะไรใหม่เลย แต่หนังเอาสูตรเดิม ๆ ที่เรารู้จักมาทำใหม่ให้มันดูสดกว่าเดิม แน่นอนว่า หนังทำให้เรานึกถึงหนังผีในตำนานอย่าง Poltergeist (ผีหลอกวิญญาณหลอน) The Exorcists , หรือกระทั่ง Evil dead การผสมหนังสยองขวัญหลายเรื่องเข้าด้วยกันนี้ทำให้หนังมันสดใหม่และสนุกตื่นเต้นทั้งเรื่อง

          และช่วยยืนยันสถานะของนักทำหนังสยองขวัญระดับแนวหน้าของผู้กำกับชาวมาเลเซีย ออสเตรเลีย อย่าง เจมส์ วานได้อย่างดี

          ว่านี่คือหนึ่งในหนังสยองขวัญที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่งของปี

2. Pacific Rim

          และแล้วความฝันในวัยเด็กของผมก็เป็นจริงแล้ว

          ความฝันของผมคือ การได้เห็นฮอลลีวู้ดสร้างแนวหุ่นยนต์พิทักษ์โลกตีกับสัตว์ประหลาดยักษ์สักครั้งในชีวิตก่อนที่หนังเรื่องนี้จะจัดให้เราได้เห็นกันแบบเต็ม ๆ ตา ชนิดมันส์สะใจพะยะค่ะชาวโอตาคุหนังญี่ปุ่นทั้งหลายเอ๊ยยยยยย

          แค่เห็นหุ่นตีกับสัตว์ประหลาดในเมืองก็ฟินแล้วครับเรื่องนี้

          น้ำตาไหลพรากกกกกกกเลย

          (ลิงค์เขียนถึงหนังเรื่องนี้   http://blogazine.in.th/blogs/misteramerican/post/4259)

และแล้วก็มาถึงอันดับสุดท้ายครับ

          หลังจากพาทัวร์มาขนาดนี้หลายคนคงเดาได้ครับว่า เรื่องสุดท้ายของผมก็คือหนังเรื่อง

1. Evil Dead

     ต้องบอกหลายคนเดาไม่ผิดเลยล่ะครับ ว่า ผมจะต้องเลือกหนังเรื่องนี้ขึ้นลิสต์เนื่องจากหลายคนทราบดีว่า ผมเป็นแฟนบอยของหนังชุดนี้แบบบ้าคลั่งครับ ผมตั้งต่อรอมานานครับสำหรับภาครีเมคนี้ว่าจะรีเมคไปในด้านไหน ก่อนที่จะรู้ว่า

          ตัวเองถูกหลอกซะแล้ว

          ครับ หลายคนอาจจะไม่ชอบใจที่หนังมันตัดอารมณ์ขันออกไป แต่สำหรับผมแล้วให้ตายเถอะ น้ำตาไหลเป็นทางเลยครับ หนังแบบว่า มันจัดหนักสำหรับคนบ้าจริง ๆ มีจุดให้จับไปเชื่อมกับภาคเก่า ๆ ได้หมด รวมทั้งการมาของพระเอกภาคแรกหลัง End Credit ขึ้นยิ่งทำให้ซาบซึ้งเป็น 100 เท่าเลยครับ

          สรุปนี่คือ หนังที่ผมประทับใจที่สุดในปีนี้และรอคอยภาคต่อไปด้วยใจระทึกครับ

.....

 

ไม่ติดอันดับแต่อยากจะพูดถึง

          Curse of Chucky: ภาคต่อของหนังชุด Child’s Play หรือ แค้นฝังหุ่นที่เรารู้จักกับการไล่ฆ่าของชัคกี้ที่แม้จะเป็นหนังส่งลงแผ่น แต่คุณภาพระดับคับแก้ว และการเซอร์ไพส์ในช่วง End Credits ทำให้นี่คือหนังคืนฟอร์มของชัคกี้อย่างแท้จริง

          Ghost Shark: หนังฉลามส่งลงแผ่นที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป เพราะ ซีจีกาก ๆ ของมัน แต่เอาจริงแล้วมันคือ หนังที่สุดยอดมากในด้านความคัลท์หลุดโลกที่ยากจะหาใครเทียบเคียง ดูจบแล้วต้องปรบมือให้กับคนทำที่ทำหนังออกมาได้คัลท์ระยำได้ขนาดนี้ กับ ผีฉลามที่ดุที่สุดของโลก

          12 Round 2: ภาคต่อของหนังชื่อเดียวโดยค่าย WWE Films ที่ส่งตรงลงแผ่นเลย และเปลี่ยนหนังแสดงนำจาก John Cena เป็น Randy Orton ตอนแรกคิดว่า หนังคงออกมาง่อย ๆ แบบที่เราเดาได้จากหนังส่งแผ่นทั้งหลาย ทว่าเอาจริงแล้วไม่ใช่ มันคือหนังแนวสืบสวนแอ็คชั่นน้ำดีที่วางเรื่องได้น่าติดตามและคมคายที่สำคัญสนุกมากกกกก และเป็นหนังที่ช่วยยืนยันขาขึ้นของค่าย WWE Film ในปีนี้ได้อย่างแท้จริง

          Special ID: หนังแอ็คชั่นของดอนนี่ เยน ที่คิวบู้จริงจังและมันแบบไม่คิดอะไร เป็นหนังแอ็คชั่นต่อยกันที่ดูแล้วอยากกราบเท้าคนทำแล้วอยากลากคนทำหนังต้มยำกุ้งสองมาชมด้วย

          The Purge : หนังระทึกขวัญที่หน้าหนังอาจจะดูเป็นหนังไล่ฆ่าทั่วไป แต่เอาจริงแล้วมันคือหนังที่ตั้งคำถามกับกฎหมายและสังคมว่า มันมีความเท่าเทียมอยู่จริง ๆ หรือเปล่า หรือว่า กฎหมายมีไว้เพียงแค่ช่วยเหลือพวกอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น แต่คนจนคือ เหยื่อของพวกนี้หรือ

          White House Down: หนังแอ็คชั่นของโรแลนด์ เอเมอริช ที่อาจจะแป้กในสายตาใครหลายคน แต่ทว่าสำหรับผมแล้วมันคือ หนังที่ให้ความบันเทิงสุดขั้วและมันยิ่งกว่า Die Hard 5 ซะอีก

          ประชาธิปไทย : หนังไทยที่ผมอยากจะให้มีหนังแบบนี้เยอะ ๆ เพราะ การเมืองนั้นใกล้ตัวกว่าที่คุณคิดจริง ๆ

          ตั้งวง : นี่ก็อีกเรื่องที่อยากให้มีหนังแบบนี้อีกเหมือนกัน ถ้าคนในประเทศนี้รู้จักตั้งคำถามกับอะไรรอบตัว สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

          Berlin File: เกาหลีใต้ไปไกลกว่าเราแล้วในด้านการทำหนัง และที่สำคัญเขาทำหนังวิพากษ์ตัวเองได้มันระห่ำชนิดที่เราได้แต่นั่งตาปริบ ๆ

          Star trek in to the Darkness : ภาคต่อที่ดีที่สุดของสตาร์เทรคเรื่องหนึ่ง

          Riddick 3 : นี่คือริคดิคที่หลายคนรอคอย

          Thor 2 : โลกิคือ สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้

 

ขอบคุณที่อ่านตามมาจนจบครับ

          แล้วปีนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งนะครับ ทุกท่าน

บล็อกของ Mister American

Mister American
คงไม่มีอะไรต้องพูดมากนอกจากนี่คือ ภาพยนตร์ซอมบี้ที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และที่สำคัญนี่ไม่ใช่หนังที่สร้างโดยฮอลลีวู้ดแต่เป็นเกาหลีใต้ ประเทศที่มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเอเชียที่เรียกว่าเป็นเบอร์หนึ่งไปแล้วในด้านคุณภาพของหนังที่นอกจากฮอลลีวู้ดแล้วมีเพียงประเทศนี้ที่ทำหนังออกมาได้สากลและสนุกในแบบที่ทุก
Mister American
ยังคงเป็นช่วงเวลาเศรษฐกิจยังไม่มีวี่แววว่าจะ ฟื้นตัวเสียที ในช่วงปลายปี 2015 นี้ทุกอย่างยังคงมองไม่เห็นว่า อนาคตจะเป็นเช่นไร กระนั้นเองสำหรับงานหนังสือแห่งชาติ เดือนตุลาคมนี้ยังคงเป็นช่วงเวลาร้อนแรงของบรรดาค่ายไลท์โนเวลต่าง ๆ มากมายที่ต่างเตรียมกระสุนดินดำ หรือ ออกหนังสือมาเพื่อจูงใจนักอ่านทั้งหล
Mister American
           ความสำเร็จครั้งมโหฬารของภาคที่สี่ของแฟรนไชส์ Jurassic Park อย่าง Jurassic World นั้นเรียกได้ว่า เป็นการหักปากกานักสังเกตที่คาดเดาว่า ภาคต่อของไดโนเสาร์ภาคนี้อาจจะทำเงินได้ไม่มากนัก ทว่า การเปิดตัวในอเมริกากว่า 200 ล้านเหรียญในเวลาเพียงสามวันจนทำลานสถิติของ
Mister American
              ท่ามกลางความเงียบงันสถาวะเงินฝืดที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยปีนี้มีสภาพเรียกว่า ย่ำแย่ที่สุดในหลายปี ผู้คนไม่ยอมจับจ่ายใช้สอยกันยกเว้นเพียงจำเป็นทำให้สถาวะของประเทศค่อนข้างเงียบ บริษัทหลายบริษัทต่างเจ็บตัวเข้าเนื้อกันไปตาม ๆ กันทำให้หลายคนคาดการณ์ว
Mister American
            “บางระจัน บางระจัน บางระจัน ไม่อาจยืนอยู่ทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง บางระจัน บางระจัน บางระจัน ไม่อาจยืนอยู่ถึงวันเพ็ญเดือนสิบสอง”
Mister American
                ถ้าให้พูดล่ะก็นี่ก็เป็นเวลาครบรอบสามปีแล้วกระมั้งครับนับจากการล่มสลายของค่าย Bliss publishing  ค่ายหนังสือยักษ์ใหญ่ที่ปิดตัวลงไปและทำให้กระแสหนังสือเล่มเล็กอย่างไลท์โนเวลนั้นกลายเป็นหนังสือกระแสหลักที่หลายค่ายพากันกระโจนเข้ามาร่วมสมรภูม
Mister American
            เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้นวงการภาพยนตร์ไทย ไม่สิ ต้องบอกว่า วงการภาพยนตร์เมอร์เชียลอาร์ตของโลกนั้นต้องสูญเสียปรมาจารย์ สุดยอดนักสู้ของโลกไปอย่างไม่มีวันกลับ แม้ว่า ชื่อเสียงของชายคนนั้นจะแทบไม่เป็นที่สนใจของสื่อหรือคนไทยมากนัก หลายคนถึงกับงุนงงว่
Mister American
            ย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เราคงได้เห็นนโยบายคืนความสุขให้กับประชาชนของ คสช อย่างการเปิดโรงภาพยนตร์เมเจอร์ให้ชมภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่ 5 กันไปบ้างแล้ว  แน่ล่ะว่า หลายคนคงจดจำภาพของบรรดาผู้คนที่พากันยื้อแย่งก
Mister American
        ต้องบอกว่า นี่คือ อนิเมะที่มาแรงแซงทางโค้งที่สุดในซีซั่นที่ผ่านมาเลยทีเดียว ท่ามกลางกระแสอนิเมะฟอร์มยักษ์เรื่องอื่น ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมามากมายและหลายคนคาดว่า อนิเมะที่ถูกดัดแปลงมาจากไลท์โนเวลชื่อเดียวกันของ ยู คามิยะ นักเขียนการ์ตูนที่อ
Mister American
              ท่ามกลางความวุ่นวายของการเมืองไทยที่ถึงจุดพลิกพันอีกครา หลังเกิดการัฐประหารขึ้นอีกครั้งได้ส่งผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์โดยรวม แน่ล่ะว่าภาพยนตร์ไทยที่สามารถทำรายได้มหาศาลในตอนนี้นั้นคงไม่พ้นหนังอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่ 5 ยุทธหัตถีที่กวาดร
Mister American
          ถ้าพูดถึงหนังซัมเมอร์บล็อกบัสเตอร์ในปีนี้ที่ผมอยากดูใจจะขาดชนิดว่า แทบคลั่งแบบรอไม่ไหวแล้วที่จะต้องไปดูให้ได้นั้นย่อมไม่มีหนังเรื่องไหนทำให้ผมเกิดอาการคลั่งได้มากพอ ๆ กับหนังเรื่อง ก็อตซิลล่า (Godzilla) ของ กาเรธ เอ็ดเวิร์ด ที่เป็นการนำก็อตซิลล่