เป็นครั้งที่สองที่ผมได้คุยกับ “พี่จ๋า”
เธอดูซูบผอมลงมากจากที่เราเจอกันครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมา วันนั้นโดยไม่ทันตั้งตัว
มีคนแนะนำ “นี่พี่จ๋า ที่โดนคดีผู้หญิงยิง ฮ. ไงครับ”
“อ่อ” ผมลากเสียงยาวเพื่อประวิงเวลาลำดับเรื่องราวในหัว ผมเคยได้ยินเพื่อนพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง ทราบว่าเป็นข่าวใหญ่พอสมควร แต่ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรเลย ยิงเมื่อไหร่ ที่ไหน ผลการตัดสินเป็นอย่างไร ฯลฯ
เพดานการรับรู้เรื่อง “คนเสื้อแดง” ของผมต่ำเตี้ยมาก ผมรู้น้อย หรืออาจจะเป็นเพราะเรื่องมันเยอะไปหมด คนถูกรัฐคุกคาม ละเมิดสิทธิ ทำร้าย ทำลาย มีมากเกินจะจดจำได้หวาดไหว
ผมกลบเกลื่อนความไม่รู้ด้วยการคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป ดินฟ้าอากาศ การจราจร ฯลฯ แล้วผมก็เป็นฝ่ายฟัง พยักหน้าเออออตามไป
กลับมาเล่าให้เพื่อนฟังว่าได้คุยกับพี่จ๋า “เฮ้ย ! พี่คนนี้ชอบพูดอะไรแรง ๆ ไม่ค่อยระมัดระวัง”
อืมมม ! ก็จริงอยู่ “อยากให้ "มัน" ตาย อยากให้มันพังพินาศ อยากแก้แค้น มัน” คำสบถมากมายพร่างพรูในบทสนทนาที่ผมปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก
อะไรทำให้หญิงในวัยที่ควรจะอยู่อย่างสุขสงบ ดำรงชีวิตด้วยความอาฆาตมาดร้ายทุกลมหายใจแบบนี้
ผมกลับมาค้นอินเตอร์เน็ต ข่าวของพี่จ๋าดาษดื่นในสื่อหลายแขนง ในภาพข่าวพี่จ๋าสวย ผิวพรรณผ่องใสมีน้ำมีนวล ต่างกับคนตรงหน้าที่ผมพบวันนั้น..และวันนี้
ในวัย 55 ปี พี่จ๋าถูกจำคุกด้วยข้อหาใช้อาวุธยิงเฮลิคอปเตอร์ทหารที่โปรยแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
เธอถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจู่โจมค้นบ้าน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าซ่อนอาวุธสงครามไว้ในท่อ และมีระเบิดอยู่ใต้ที่นอน
พี่จ๋าอยู่ในคุก 1 ปี 4 เดือน 2 วัน จึงได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ แต่ก็ถูกคุมขังต่ออีกหนึ่งปีเพราะไปตีหัวนายทหารคนหนึ่งในช่วงที่มีการชุมนุม คดียิง ฮ. เธอต่อสู้จนถึงชั้นศาลฎีกาและพ้นมลทิน
หลังออกจากคุก พี่จ๋าให้สัมภาษณ์สื่อถึงความพยายามกอบกู้ชีวิตที่พังทลาย
“ออกจากเรือนจำหาที่ซุกหัวนอนยังไม่ได้ ซมซาน ..เช่าโรงแรมม่านรูดถูก ๆ นอนเป็นเดือน...เราก็เริ่มทำสละลอยแก้วขาย มีม็อบตรงไหนก็เอาไปขาย จนติดคุกอีกรอบหม้อเม่อก็หายหมด” (จากประชาไท 15 มีนาคม 2559)
เวลาชีวิตที่หายไป มันไม่ใช่แค่ 1 ปี 4 เดือน กับอีก 2 วัน I แต่มันคือทั้งชีวิตที่เหลือ
เธอถูกส่งกลับมาในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว พ่วงกับสารพัดความเจ็บป่วย ความเครียด กรวยไตอักเสบ และเบาหวาน
พี่จ๋าพ้นมลทินความผิด แต่เรื่องนี้ไม่ถูกต้องที่จะไม่มีใครผิด โดยเฉพาะคนที่ปล้นชีวิตพี่จ๋าไปด้วยการยัดเยียดข้อกล่าวหาที่เธอไม่ได้ทำ
พี่คนนี้แรง – ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อน ผมว่าคำสบถหยาบคายทั้งมวลในโลกนี้ ไม่เพียงพอที่จะระบายความบัดซบที่พี่จ๋าได้รับ
ความเมตตาและการให้อภัย ไม่อาจเยียวยาได้ทุกกรณีไป
พี่จ๋าบอกผมว่าเธอไม่เหลือใครให้เป็นห่วงดูแล ดังนั้นถ้าจะให้แลกลมหายใจเพื่อแก้แค้นก็ย่อมได้
ที่สนามบอลธรรมศาสตร์ 10 มีนา 2561 มีการตั้งแผงวางขายของเรียงราย แต่ละแผงมีคนนั่งขายมากกว่าหนึ่ง ผู้คนเวียนวนเข้าออกทักทายกันตลอดเวลา
พี่จ๋าขายคุ้กกี้และชาขลู่เพียงลำพัง โต๊ะเล็ก ๆ ของเธออยู่ปลายแถว เกือบถึงท้ายสนามบอล เจ้าที่อยู่ติดกันย่างบาร์บีคิวและปิ้งขนมปังขาย มีลูกค้าต่อคิวซื้อไม่ขาดสาย ส่วนโต๊ะของพี่จ๋า นาน ๆ ทีจึงจะมีคนแวะเข้ามาทักทาย บางครั้งพี่จ๋าก็เดินเอาขนมไปส่งให้คนที่นั่งฟังปราศรัยอยู่ในสนามบอล
เพื่อนของผมคุ้นเคยกับพี่จ๋าจึงเข้าไปนั่งคุยกันพักใหญ่ ระหว่างนั้นพี่จ๋าเหลียวมองซ้ายขวาตลอดเวลา ไม่มีพื้นที่ใดปลอดภัยสำหรับเธออีกต่อไป โดยเฉพาะที่ชุมนุมที่เต็มไปด้วยตำรวจนอกเครื่องแบบ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ เมื่อเธอยังต้องทำมาหากิน และพื้นที่แบบนี้เท่านั้นที่จะมีคนอุดหนุนเธอมากสักหน่อย
ผมซื้อคุกกี้กล่องใหญ่มาหนึ่งกล่อง พี่จ๋าแถมกล่องเล็กให้อีกหนึ่งกล่อง ...
ย่ำค่ำ ได้เวลาที่ผมต้องกลับ เหลียวไปมอง กล่องคุกกี้และซองชาขลู่ยังวางอยู่เต็มโต๊ะ ผมเพิ่งมานึกได้ตอนเขียนนี้ว่า..ทำไมผมไม่ซื้อคุกกี้มามากกว่านั้น (วะ)
ข่าวของพี่จ๋าแช่อยู่ในโลกออนไลน์มาตั้งแต่ มีนา 2559 ส่วนชีวิตของเธอในโลกความจริงยังระหกระเหินเดินหน้าต่อ
เรื่องราวของเธออาจค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ความแค้นฝังใจ ทำอย่างไรจะลบเลือนได้
นี่คือชีวิตที่เหลืออยู่ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับรางวัลสิทธิสตรีจากสถาบันใด
จะมีใครสักกี่คนจดจำเรื่องราวของเธอได้ จะมีสักกี่คนที่สนใจอยากรู้ว่าเธอเป็นอยู่อย่างไรหลังจากการถูกละเมิดสิทธิรุนแรงขนาดนั้น
วันสตรีสากลเพิ่งผ่านไปเมื่อ 8 มีนา สตรีธรรมดาคนหนึ่งอาจกำลังถูกโลกลืม