Skip to main content

ยอดแชร์ข้อเขียนเกี่ยวกับ "พี่จ๋า" มากมายจนน่าดีใจ คงช่วยให้พี่จ๋าคงขายของได้เยอะขึ้น

นักศึกษาที่ไปขายกาแฟใน มธ. วันที่ 24 มีนาที่ผ่านมา เขียนเล่าว่ามีคนมาซื้อคุกกี้ของพี่จ๋า และกาแฟของพวกเธอมากพอควร พวกเธอมอบเงินที่ขายกาแฟได้ให้พี่จ๋า 925 บาท โดยไม่ได้หักคืนค่าของที่ซื้อมา ค่ารถ ค่าแรง และยังรวมเงินทอนที่สำรองไปอีก 500 บาท

นั่นหมายความว่าจริง ๆ แล้วกาแฟและน้ำชาขายได้เพียง 425 บาทเท่านั้น

ห่างกันไกลกับความคาดหวังจากยอดไลก์และแชร์ในเฟซบุ๊กที่หลายคนบอกว่า “เดี๋ยวจะไปอุดหนุน”

อากาศร้อนขนาดนั้น ผู้มาชุมนุมซึ่งเป็นป้า ๆ ลุง ๆ ก็คงอยากดื่มอะไรที่เย็นชื่นใจมากกว่ากาแฟที่ร้อนและขม

แต่ผมว่าสิ่งที่ขมและร้อนร้ายกว่าทุกอย่าง..คือชีวิตของพี่จ๋า

II

กลางดึกคืนเดียวกัน พี่จ๋าทักแชทมาขอบคุณผม ซึ่งไม่ได้ทำอะไรเลย เธอตัดพ้อว่าไม่ได้เจอกัน และอยากปรึกษาเรื่องที่สำคัญมากกับชีวิตของเธอ...นั่นคือ...พี่จ๋าต้องหาเงิน 4 พันบาทให้ได้ในเร็ววัน

ทำไมความสำคัญของชีวิตพี่จ๋าจึงมีราคาแค่ 4 พันบาท ?

“ตอนนี้พี่จ๋าหมุนเงินอย่างเดียวเพราะค้างค่าเช่าห้อง เสียค่าปรับวันละ 50 บาท มาตั้งแต่วันที่ 7 มีนา”

ผมทราบว่าพี่จ๋าขายคุกกี้ได้หมด เพราะพี่สาวคนหนึ่งมาเหมาซื้อทุกกล่องที่เหลือ

“มันได้ไม่เท่าไหร่ ค่ารถกินหมด ทั้งค่ารถไปรับขนม ทั้งค่ารถไปท่าพระจันทร์ ที่พี่จ๋าจะได้กำไรคือชาใบขลู่”

ชาห่อเล็ก 170 บาท ห่อใหญ่ 750 บาท ต่อให้สรรพคุณดีแค่ไหน เศรษฐกิจแบบนี้คงขายได้ไม่ง่าย

เด็กขายกาแฟซื้อชาพี่จ๋าหนึ่งห่อ เอามาชงน้ำชาขายแก้วละสิบบาท แต่ขายไม่ค่อยดี เพราะในงานมีอาหาร น้ำ และขนม ไว้แจก คนส่วนใหญ่จึงแทบไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรกิน

พี่จ๋าเล่าว่ามีลุงคนหนึ่งถือไม้เท้าเดินมาอย่างทุลักทุเล เพียงเพื่อจะยื่นเงินให้พี่จ๋า 100 บาท พี่จ๋าพยายามเอาคุกกี้ให้แก แต่แกไม่รับ แกตั้งใจเอาเงินมาให้พี่จ๋าอย่างเดียวจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่แกเองไม่สมบูรณ์ แค่เคลื่อนไหวร่างกายก็ยังลำบาก

"ใครต้องช่วยใครกันแน่" มีคนถาม

ในสภาวะแย่ ๆ อาจมีเรื่องดี ๆ ให้อุ่นใจเกิดขึ้นได้เสมอ

“คราวหน้าพี่จ๋าจะลองทำขนมเทียนไปขาย เราทำเองได้ ไม่ต้องนั่งรถไปเอาไกล ๆ ค่อย ๆ ทำ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น” พี่จ๋าไม่เคยงอมืองอเท้ารอการช่วยเหลือ แต่กว่าจะถึงครั้งหน้าก็นานนับเดือน

ผมถามว่าพี่จ๋าต้องขายชากี่ห่อจึงจะได้กำไรพอจ่ายค่าเช่าห้อง “พี่จ๋าคิดเลขไม่ถูก” และบ่นซ้ำถึงการถูกปรับวันละห้าสิบบาทมาตั้งแต่วันที่ 7

พี่จ๋าไม่ใช่คนเดียวที่ที่ลำบากเรื่องค่าเช่า

“แม่หนึ่ง” แม่ของ “จ่านิว” ก็เพิ่งโพสต์บ่นในเฟซบุ๊กว่าเดือน ๆ หนึ่งผ่านไปเร็วมาก จนเธอหาค่าเช่าบ้านแทบไม่ทัน เธอเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลลูกสาวสองคน ยาย และบรรดาเหมียว ๆ ที่อาศัยอยู่รวมกันในบ้านหลังนั้น

มีข้อมูลว่าคนเราต้องเสียค่าที่พักราว 30% ของรายได้ทั้งหมด แต่พี่จ๋าและแม่หนึ่งคงจ่ายค่าที่พักในสัดส่วนที่สูงกว่านี้ เพราะรายได้ของพวกเธอไม่มากและไม่แน่นอน ขณะที่ค่าเช่าคงที่แน่นอน แถมยังมีค่าปรับเพิ่มมาอีกด้วย

ผมกำลังพูดถึงแค่ค่าเช่าที่พักอาศัยซึ่งเป็นภาระหนักอึ้งของพวกเธอ แต่ชีวิตคนเรามีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้อีกเยอะ

ผมนึกย้อนไปถึง “ห้องเช่า” คืนละ 50 บาท ใน จ.ขอนแก่น มันเป็นเพิงสังกะสีริมทางรถไฟ ซอมซ่อยิ่งกว่าบ้านพักคนงานก่อสร้างเสียอีก เจ้าของบ้านเช่าเป็นคนมีเงินในชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าการให้เช่าบ้านคือ “การช่วยเหลือกัน” มีคนไร้บ้านผลัดกันมาเช่าใช้เมื่อต้องการทำกิจกรรมส่วนตัว แต่ส่วนใหญ่ต้องนอนกันข้างถนนเพราะหาเงินได้ไม่พอห้าสิบบาท

III

“ถ้าขายห่อใหญ่ได้ 10 ห่อก็โอเค” พี่จ๋าตอบแชท หมายถึงว่ามันจะพอค่าเช่าห้องที่ค้างอยู่ และช่วยให้ไม่เสียค่าปรับเพิ่ม

ผมรับซื้อชาพี่จ๋าตามจำนวนนั้น และโอนเงิน 7,500 บาทไปให้ในเช้าวันถัดมา

ข้อมูลจากเว็บไซด์ต่าง ๆ บอกว่า ชาใบขลู่มีสรรพคุณช่วยลดคลอเรสเตอรอล รักษาเบาหวาน แก้อักเสบ แก้กระษัย ฯลฯ แต่ผมไม่ได้เป็นคนสนใจเรื่องสุขภาพ และนาน ๆ ครั้งจึงจะดื่มชา

ผมคิดว่าชาสิบห่อใหญ่นี้มันคงมีทางกระจายไปทางไหนได้บ้าง มันคงไม่ใช่แค่เรื่องสรรพคุณของใบชา หรือราคาของมันหรอก แต่วิธีการติดต่อสื่อสารที่ดีอาจทำให้คนอยากช่วยพี่จ๋ามีช่องทางช่วยเหลือได้สะดวกขึ้น

ผมบอกพี่จ๋าว่าจะเอาชามาแบ่งใหม่ห่อละ 10 ซองเล็ก (หนึ่งซองเล็กชงได้ไม่ต่ำกว่า 3 แก้ว) น่าจะขายทางออนไลน์ได้ในราคา 100 บาท ซึ่งรวมค่าส่งไว้แล้ว พี่จ๋าอาสาที่จะจัดห่อแบบนั้นให้ ถ้าขายหมดตามจำนวนที่ผมซื้อไว้ ผมยินดีจะเป็นทางผ่านช่วยขายต่อไปเรื่อย ๆ เพราะพี่จ๋ายังต้องจ่ายค่าเช่าห้องทุกเดือน

ทุนนิยมค่าเช่ายังทำงานของมันต่อไป และไม่เคยปราณีคนยากคนจนอยู่แล้ว

IV

“ต้องใจแข็งหน่อยนะ” มิตรสหายท่านหนึ่งแนะ เขาไม่ได้สงสัยความเดือดร้อนของพี่จ๋า แต่เขาห่วงผมว่าจะต้องรับมือกับเรื่องแบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“มีกำลังช่วยได้ก็ช่วยไป เรานี่ช่วยซื้อวัวซื้อควาย ซื้อนา ซื้อสวนยางของชาวบ้านไปหลายรายแล้ว ซื้อแบบแพงกว่าราคาตลาดด้วย ชาวบ้านร้อนเงินมาขาย ซื้อแล้วก็ให้เขาเลี้ยงต่อไป” มิตรสหายอีกท่านหนึ่งเล่า เธอใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ และยังไม่คิดจะหันไปทำเกษตร

“คนเราอยู่ไม่นาน เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว ไม่ช่วยกันตอนนี้จะช่วยกันตอนไหนอีก” เธอย้ำ

เรามักคิดซับซ้อนและวางเงื่อนไขในการช่วยเหลือกัน แต่ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันควรจะง่ายกว่านั้นหรือเปล่า ผมเองความจริง ข้าวสาร ไก่ ขี้วัว ผ้าทอ และอื่น ๆ ก็เคยซื้อมามิใช่น้อย พวกผ้าทอยังเก็บไว้อยู่ จนคนทอผ้าบางคนเสียชีวิตไปแล้ว

พี่จ๋าปรึกษาผมอีกอย่าง เรื่องการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการติดคุกฟรีในคดียิง ฮ.

เรื่องนี้มีทนายความฝีมือดีเดินเรื่องให้แล้ว แต่กระบวนการใช้เวลานานมาก เทียบกันไม่ได้หรอกกับตอนที่ประชาชนถูกจับขัง มันรวดเร็วเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

ผมได้ขอให้มิตรสหายช่วยติดตามเรื่องคดีความให้ ก็มิตรสหายคนที่ซื้อวัวซื้อควายทิ้งไว้กับเจ้าของนั่นแหละครับ

จริงทีเดียวที่ว่าคนเราอยู่กันไม่นาน แต่สำหรับคนที่อยู่อย่างลำบาก เวลาของการต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิตมันช่างยาวนานกว่าใคร ๆ

ใคร ? จะต้องชดใช้เท่าไหร่ ? สำหรับชีวิตของพี่จ๋า ที่เวลาในอดีตหล่นหาย ปัจจุบันมีสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว และอนาคตที่ยังมองไม่เห็น

V

ผมเขียนบรรยายปัญหา คงทำให้คนอ่านที่ไม่รู้จักพี่จ๋าจินตนาการถึงคนแก่ที่นั่งซึมเศร้าเหงาหงอย

เปล่าเลย ! เด็กขายกาแฟเขียนมาเล่าว่า “เห็นป้า ๆ นั่งคุยกัน เดี๋ยวก็หัวเราะ เดี๋ยวก็ตะโกนด่าพวกที่มาถ่ายรูป ไม่ทหารก็ตำรวจ” เพื่อนผมบอกว่าการด่าเป็นอาวุธเดียวของป้า ๆ

พี่จ๋าแชทมาบอกว่า “คุณโง่ พี่จ๋าจะส่งของให้ไม่ครบนะ มีลมแรง ยังเก็บชาไม่ได้ ลมพัดปลิวหมด”

การแชททำให้ผมกลายเป็น “คุณโง่” อยู่บ่อย ๆ แต่ผมสนุกทุกครั้งที่ได้คุยกับพี่จ๋า ผมว่าแกห้าว ตลก และบ้าดีเดือด

“ชาใบขลู่ที่กินดีต้องเป็นชาจากแหล่งน้ำกร่อย ถ้าจากน้ำเค็มจะไม่ดีต่อไต” พี่จ๋ามีความรู้เรื่องสมุนไพรชนิดนี้อย่างดี เพราะเธอดื่มรักษาเบาหวานและโรคอื่น ๆ ที่เป็นของแถมมาจากการติดคุกนานถึงปีกว่า

“เรียนรู้เพื่อรักษาตัวเอง” พี่จ๋าบอก

ในยุคสมัยที่สวัสดิการสังคมหดหาย ประชาชนไม่ได้รับความสนใจใยดี จะมีใครจะมาดูแลรักษาเรานอกจากตัวเราเอง

พี่ชายกับพี่สะใภ้ของพี่จ๋าซึ่งอยู่ใน จ. ราชบุรี เก็บใบขลู่มาทำชาเอง ส่วนพี่จ๋าเป็นคนแพ็คใส่ห่อเอามาขาย

“ทำไมไม่ไปอยู่กับพี่ชายล่ะครับ” น่ายินดีที่พี่จ๋าไม่ได้ไร้ญาติขาดมิตรเสียทีเดียว

“จะทำมาหากินอะไรล่ะ เราชินกับชีวิตในกรุงเทพฯ อีกอย่างที่นั่นมันใกล้ มทบ.16 เรากลับไป “มัน” ก็มาป้วนเปี้ยน รอบบ้านพี่จ๋ามีแต่ กปปส.”

ผมคิดว่าครอบครัวอาจหยิบยื่นความช่วยเหลือได้บ้างเมื่อพี่จ๋าเดือดร้อน แต่พอแกบอกว่า “พี่ชายขายข้าวโพดต้ม” ผมก็อึ้งไป

“ส่วนมากเรานี่แหละเป็นคนช่วยเหลือ พี่ชายขาไม่ดีโดนหมอฉีดยาโดนเส้น เขามีลูกสามคน ถูกรถชนตายไปตอนนี้เหลือคนเดียว”

VI

คลิปการปะทะกันเมื่อวันที่ 24 มีนา ทำให้ผมเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโส

“พี่จ๋าได้ไปดันกับเขาไหม”

“ไม่ได้ดัน ยืนด่ามันเฉย ๆ มายืนเกะกะกันทำไม พี่จ๋ามีประวัตินะ พี่จ๋าจะบีบไข่มัน”

จริงอย่างที่พี่กอล์ฟคอมเม้นท์ในเฟซบุ๊กผมว่า “พี่จ๋าเป็นคนแก่ขี้ดื้อ”

“พี่จ๋าตัวเล็กนิดเดียว เดี๋ยวก็โดนหิ้วหรอก” ผมแซว

“ตัวเล็กแต่ใจใหญ่นะ” แกไม่ยอมลดราวาศอก และเล่าต่อถึงวีรกรรมที่แสดงความฮึกเหิมว่าจะลุกมาขับไล่เผด็จการอีกครั้ง

“ติดคุกยังไม่เข็ดเหรอ” ผมปราม

“อย่าไปกลัวมัน ติดเดี๋ยวน้อง ๆ ก็ไปช่วยแหกคุกออกมา” อย่างหลังนี่ผมว่าพี่จ๋าคงดูการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่มากไปหน่อย

การติดคุกปีกว่าและความขัดสนทางเศรษฐกิจ ทำอะไรนักสู้อย่างพี่จ๋าไม่ได้เลย

ผมข้องใจมากว่าอะไรทำให้คนรุ่นนี้ห้าวหาญที่จะต่อสู้เพื่ออนาคต ทั้งที่พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้อีกไม่นาน

แล้วคนของอนาคตล่ะ พวกเขาพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่กันแล้วใช่ไหม

IIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIIII

 

ที่เขียนมาทั้งหมด ผมจะขาย "ชาใบขลู่" ครับ ห่อละ 100 บาท รวมค่าส่งแล้ว สั่งซื้อได้ทางเฟซบุ๊ก “สไปเดอร์ โม่”

ผมขอให้อาจารย์ชลิตาช่วยเป็นทางผ่านเงิน เพราะเธอมีเครดิตดีกว่าคนอย่างผมซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้

พร้อมเพย์ ธนาคารกรุงไทย “น.ส.ชลิตา บัณฑุวงศ์” หมายเลข 085-100-9700

บล็อกของ โมโม่ MOMO

โมโม่ MOMO
ในนามของความเรียบร้อย รัฐใช้อำนาจปรามประชาชนให้อยู่ในความสงบ
โมโม่ MOMO
หากไม่มีสี...ไม่มีแผงเหล็กกั้นเราจะคิดอย่างไรต่อกัน ?ในความเป็นมนุษย์แท้จริงเราเท่ากันแต่คนที่ถูกทำให้ตายแม้ตายไปแล้ว ก็ยังไม่เท่าใครเหล่านั้นคนเป็น ส่งเสียงแทนคนตายแต่คนเป็น...แม้เสียงของตัวเองยังหดหาย
โมโม่ MOMO
เพราะความตายเกิดขึ้นอย่างผ
โมโม่ MOMO
ยอดแชร์ข้อเขียนเกี่ยวกับ "พี่จ๋า" มากมายจนน่าดีใจ คงช่วยให้พี่จ๋าคงขายของได้เยอะขึ้น
โมโม่ MOMO
Iผมรู้จัก “พี่อึ่ง” น้อยมาก หรือแทบจะเรียกว่าไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่หลายคนบอกว่าผมน่าจะได้คุยกับเธอ ซึ่งจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้คุยสักที
โมโม่ MOMO
ผมได้ยินชื่อเธอบ่อย ๆ จากมิตรสหายท่านหนึ่งที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้แต่จินตนาการรูปร่างหน้าตาว่าคงจะตัวเล็ก ๆ น่ารัก โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์ท่านั้นมีน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเธอมาก
โมโม่ MOMO
เป็นครั้งที่สองที่ผมได้คุยกับ “พี่จ๋า” เธอดูซูบผอมลงมากจากที่เราเจอกันครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมา วันนั้นโดยไม่ทันตั้งตัวมีคนแนะนำ “นี่พี่จ๋า ที่โดนคดีผู้หญิงยิง ฮ. ไงครับ”
โมโม่ MOMO
ผมรู้จัก “จ่านิว” ผ่านสื่อต่าง ๆ ในฐานะนักกิจกรรมคนหนึ่งจำไม่ได้แล้วว่าเขาทำวีรกรรมอะไรต่ออะไรบ้าง ผมเห็นเขาห่าง ๆ ในงานสัมมนาวิชาการหลายครั้ง"ประชาไท" เคยเขียนแซวว่าเขาเป็น “นักกินฟรีในตำนาน” และเป็นนักศึกษาที่ไม่ค่อยเข้าเรียน