ในนามของความเรียบร้อย รัฐใช้อำนาจปรามประชาชนให้อยู่ในความสงบ
ข้อกล่าวหาต่าง ๆ นานาถูกยัดเยียดเพื่อกำราบผู้ต่อสู้แข็งขืนให้ราบคาบ
ในวัย 50 ปีเศษ "นฤมล วรุณรุ่งโรจน์" หรือ "พี่จ๋า" ที่หลายคนรู้จัก ถูกจำคุกด้วยข้อหาใช้อาวุธยิงเฮลิคอปเตอร์ทหารที่โปรยแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553
เธอถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจู่โจมค้นบ้าน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าซ่อนอาวุธสงครามไว้ในท่อ และมีระเบิดอยู่ใต้ที่นอน
พี่จ๋าถูกจับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2553
อยู่ในคุก 1 ปี 4 เดือน 2 วัน จึงได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ แต่ก็ถูกคุมขังต่ออีกหนึ่งปีเพราะไปตีหัวนายทหารคนหนึ่งในช่วงที่มีการชุมนุม คดียิง ฮ. เธอต่อสู้จนถึงชั้นศาลฎีกาและพ้นมลทิน
หลังออกจากคุก พี่จ๋าให้สัมภาษณ์สื่อถึงความพยายามกอบกู้ชีวิตที่พังทลาย
“ออกจากเรือนจำหาที่ซุกหัวนอนยังไม่ได้ ซมซาน ..เช่าโรงแรมม่านรูดถูก ๆ นอนเป็นเดือน...เราก็เริ่มทำสละลอยแก้วขาย มีม็อบตรงไหนก็เอาไปขาย จนติดคุกอีกรอบหม้อเม่อก็หายหมด” (จากประชาไท 15 มีนาคม 2559)
เวลาชีวิตที่หายไป มันไม่ใช่แค่ 1 ปี 4 เดือน กับอีก 2 วัน แต่มันคือทั้งชีวิตที่เหลือ เธอถูกส่งกลับมาในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว พ่วงกับสารพัดความเจ็บป่วย ความเครียด กรวยไตอักเสบ และเบาหวาน
ฐานะการเงินที่ขัดสน บวกใจห้าวหาญไม่ยอมถดถอยไปตามกำลังวังชา พี่จ๋ามักปรากฏตัวตามจุดนัดชุมนุมทางการเมืองเพื่อขายชาหารายได้ และเพื่อร่วมเส้นทางการต่อสู้ทวงคืนประชาธิปไตยและความเป็นธรรม
เธอพันธนาการตัวเองไว้กับความเจ็บจำ เพราะถูกกระทำจากการกล่าวหาที่ไร้ข้อพิสูจน์เมื่อหลายปีก่อน
พี่จ๋ามักเจ็บแปลบหรือรู้สึกชาที่เท้าบ่อย ๆ ตามอาการของคนเป็นเบาหวาน แทนที่จะพักผ่อน ไม่เดินเหินให้มาก เธอกลับดูแลตัวเองด้วยการพยายามหาซื้อรองเท้าสวมใส่สบายเพื่อลดความเจ็บ แต่ไม่ยอมลดระยะการเดิน
ในภาพถ่ายที่ปรากฏตามสื่อสังคมออนไลน์ พี่จ๋ามักอยู่ในอริยาบทสดชื่นแจ่มใสเสมอ พี่จ๋าเป็นคนสวย แม้ในวัยร่วงโรยและสุขภาพทรุดโทม เค้าโครงความงามยังแจ่มชัดบนใบหน้าที่เปื้อนยิ้มตลอดเวลา
เจ็บป่วย ลำบาก ขัดสน หลายคนรับรู้สภาวะเหล่านี้ แต่ไม่มีใครได้ยินเธอฟูมฟายก่นด่าโชคชะตา หรือเสียใจว่าได้เลือกทางชีวิตผิดพลาด
"ก็เลือกแล้ว" พี่จ๋ากล่าว
นั่นหมายถึงการตัดสินใจมาร่วมเคลื่อนไหวการเมืองตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 2549 จนต้องสละชีวิตคู่ ทุ่มเททรัพย์สิน บ้าน ที่ดิน เงิน ทอง รวมมูลค่าหลายล้านบาท รวมทั้งอิสรภาพของเธอเองไม่เคยมีคำว่าเสียดาย ไม่เคยได้ยินคำว่าเสียใจออกจากปากพี่จ๋า แม้กระทั่งช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว ขัดสน และลำเข็ญ
"ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้" คำสบประมาทประชาชนจากนายทหารคนหนึ่งในคณะรัฐประหาร ทำให้ลุง "นวมทอง ไพรวัลย์" ลบล้างมันด้วยชีวิตตนเองในวันที่ 31 ตุลาคม 2549
แม้ไม่ได้ปลิดชีพตนเองเพื่อประชาธิปไตย แต่ใช่หรือไม่ ? พี่จ๋าเองก็ "พลีชีพ" บนเส้นทางการต่อสู้นี้ด้วยเช่นกัน
พี่จ๋าไม่ใช่ประชาชนคนแรก ไม่ใช่คนเดียว และจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่เสียสละ มุ่งมั่นต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และความถูกต้องเป็นธรรมในแผ่นดินนี้
เมษายน 2561 พี่จ๋าถูกตั้งข้อหาอีกครั้งในกรณี ARMY57 หรือที่เรียกกันว่า "คดีบุกรังโจร" พร้อมกับ "คนอยากเลือกตั้ง" รวมทั้งสิ้น 57 คน จากการชุมนุมเดินขบวนไปยังกองทัพบกในวันที่ 24 มีนาคม 2561
เดินเท้ามาหลายปี เส้นทางต่อสู้เพื่อชำระสะสางบัญชีเก่ายังอีกยาวไกล พี่จ๋าส่งต่อให้เป็นภารกิจของคนข้างหลัง
1 พฤศจิกายน 2561 พี่จ๋าออกเดินทางไปบนเส้นทางใหม่...หลุดพ้นจากทุกข้อกล่าวหา และเป็นอิสระจากอำนาจเผด็จการทั้งปวง
มีผู้พบร่างของพี่จ๋าในห้องพักย่านลาดพร้าว วันที่ 2 พฤศจิกายน ผลชันสูตรระบุว่าเสียชีวิตวันที่ 1 พ.ย.61
ขอให้พี่จ๋าเดินทางโดยสวัสดิภาพ
*ภาพประกอบจากโทรศัพท์มือถือของ "พี่จ๋า" นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ บันทึกภาพ 24 มีนาคม 2561 ขณะคนอยากเลือกตั้งเดินเท้าจากมหาวิทยาลัยธรรม