“ชีวิตดังตัวคนเดียว ท่ามกลางทะเลเปลี่ยว ต้องลอยคว้างกลางลมคลื่น
หลับใหลไม่เคยเต็มตื่น ข้าวกลืนไม่เคยอิ่ม โอ้ รอยยิ้มไม่เคยได้”
เสียงเพลง “ชีวิตคนเศร้า” ของทูล ทองใจ ทำให้ฉันนึกถึงพ่อ และท่อนหนึ่งของเพลงที่พ่อมักร้องซ้ำไปซ้ำมาไม่เคยจบสักที
พ่อหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านปู่ตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ทิ้งผืนนาไปตามหาความฝันของวัยหนุ่ม แต่ดูเหมือนว่าพ่อใช้เวลาตามหาตลอดชีวิต และพบเพียงความฝันที่แหว่งวิ่น
ความทรงจำของฉันเกี่ยวกับพ่อ เหมือนชิ้นส่วนของจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย แต่ทุกชิ้นชัดเจน และไม่เคยสักครั้งที่ฉันคิดจะลืม
ตอนที่ฉันอายุราวๆ ห้าหกขวบ พ่อพาไปดูหนังอินเดียเรื่อง “โชเล่ย์” ที่โรงหนังประชาบดี นครสวรรค์ เรื่องของชายหนุ่มกับการต่อสู้อะไรสักอย่างจำไม่ได้ พระเอกสองคนชื่อ อมิตาป ปัจจัน กับทราเมนเดอร์ นางเอกคือเฮม่า มาลินี
เป็นการเข้าโรงหนังครั้งแรกในชีวิต ฉันจึงดูด้วยความตื่นเต้นตาโตตลอดเรื่อง แทบร้องไห้สงสารนางเอกที่ถูกบังคับให้ร้องเพลงและเต้นรำเท้าเปล่าบนพื้นที่มีเศษแก้วกระจายเกลื่อน พอหนังจบฉันก็เหนื่อยจนหลับ พ่อจึงอุ้มพาดบ่าโหนรถเมล์กลับบ้าน
ชีวิตและการต่อสู้ของลูกผู้ชายในหนังคงวนเวียนอยู่ในใจพ่ออีกหลายวัน ได้ยินพ่อฮัมเพลงจากเรื่อง “โชเล่ย์” อยู่บ่อยๆ “เย้ โซซิตี้ อั่มน้าฮี โตเลงเก้....”
พ่อเป็นคนช่างฝัน และช่างเหงา บางครั้งจึงยึดเอาลูกสาวตัวเล็กๆ เป็นเพื่อน พ่อมักอุ้มฉันขึ้นนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปไหนๆ ด้วย งานที่ต้องบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย พ่อก็พาฉันไปโดยไม่สนใจเสียงของแม่
บ่อยครั้งที่ฉันต้องไปนั่งอยู่ข้างวงเหล้าที่มีต้มยำไก่ใส่ใบกัญชาชามโตอยู่กลางวง ฟังเรื่องคุยที่ฉันไม่เข้าใจ ดูคนเมาหลับไปทีละคน และกลับบ้านเมื่อพ่อตื่นขึ้นมาอีกที บางคืนก็ไปหลับกลิ้งอยู่บนเสื่อหน้าจอหนังกลางแปลงในงานวัดที่ไหนสักแห่ง บางทีพ่อก็แบกฉันไปตะโกนเชียร์แข่งเรือยาวในหน้าน้ำ
พ่อมักจะกลับบ้านดึก เมามายและหิวโหย ทุกครั้งพ่อจะตะโกนปลุกหรือเปิดมุ้งเข้ามาควักตัวฉันออกจากที่นอน พาเข้าครัวไปหาอะไรกินเป็นเพื่อนพ่อ ส่วนใหญ่จะเป็นมาม่า ใส่อะไรก็ได้ที่หาได้ในครัว อาจจะเป็นเศษปลาทู เศษไข่เจียว บางทีก็เป็นผักที่ไม่เคยเห็นใครเขาใส่กัน เช่นผักชีล้อม ใบชะพลู ผักขะแยง หรือไม่ก็น้ำพริกน้ำแกงอะไรสักอย่างที่เหลือก้นถ้วยในตู้กับข้าว แต่แปลกที่อร่อยทุกที
มีบ้างที่กะละมังคว่ำก่อนกิน ถ้าบังเอิญแม่ตาสว่างและลุกขึ้นมาทะเลาะกับพ่อ
สำหรับแม่ พ่อมีดีอย่างเดียวคือไม่เคยตีลูกๆ เลยสักครั้งในชีวิต
พ่อมีไดอารี่เก่าๆ เล่มหนึ่ง ปกแข็งสีเทา มีปฏิทินของปี ๒๕๐๒ ซึ่งคงเป็นปีที่พ่อได้สมุดเล่มนั้นมา แล้วพ่อก็ใช้สมุดเล่มเดียวบันทึกอะไรต่อมิอะไรอยู่หลายปีก่อนมีครอบครัว มีอยู่หน้าหนึ่ง พ่อเขียนไว้ประโยคเดียวว่า “วันนี้ข้าฯ ยังไม่รู้จะนอนที่ไหนเลย แต่ช่างมันเถอะ ตราบชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อไป”
ตอนนั้นพ่อคงอยู่ในช่วงพเนจรร่อนเร่ มีภาพถ่ายเก่าๆ เสียบไว้ในปกสมุด ภาพหนึ่งพ่อยืนเต๊ะท่าสะพายกระเป๋าอยู่บนทางรถไฟที่ไหนสักแห่ง อีกภาพหนึ่ง พ่อนั่งชันขาอยู่บนราวสะพานริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีรอยยิ้มแจ่มใสอย่างที่ฉันไม่ได้เห็นบ่อยนัก
พ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อไปมีชีวิตล้มลุกคลุกคลานเพียงลำพังอยู่หลายปี และมักเขียนจดหมายทีละหลายแผ่นถึงฉัน เล่าถึงงานพิมพ์หนังสือ ทำฟาร์มไก่ ทำนาบัว ขายอาหาร งานรับเหมาก่อสร้าง ฯลฯ สารพัดความฝันที่ริเริ่ม แล้วก็ล้มเหลว แต่พ่อมักจะบอกว่า “ช่างหัวมัน” แล้วก็ฝันใหม่
จนกระทั่งฉันทำงานมีเงินเดือน จึงส่งเงินให้พ่อตามที่อยู่หัวจดหมายที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ นานๆ พ่อจะถามถึงแม่และลูกชายอีกสองคนที่ห่างเหินไปเหมือนคนแปลกหน้า
วันหนึ่ง พ่อดั้นด้นไปหาฉันถึงบ้านเช่าที่ขอนแก่น ไหล่สะพายกระเป๋าเก่าๆ ที่รูดซิปไม่ได้ แต่ยังอุตส่าห์ใช้เข็มกลัดติดไว้
“พ่อเอาเพื่อนมาด้วย” พ่อปลดเข็มกลัดแล้วควักเอาลูกหมาผอมกระหร่อง หน้าตาหงอยๆ ขึ้นมาตัวหนึ่ง
“หลบกระเป๋ารถแทบแย่” พ่อบอก ฉันนึกทึ่งทั้งพ่อและลูกหมา ช่างระหกระเหินข้ามจังหวัดมาด้วยกันได้โดยไม่ถูกไล่ลงกลางทาง
เจ้าหมาน้อยถูกใครทิ้งมาไม่รู้ มันเดินเร่ร่อนหิวโซอยู่ข้างทางแถวๆ ร้อยเอ็ด พ่อเรียกมันว่า หมาน้อยพเนจร และตั้งชื่อว่า ทิวา เหมือนนักพากย์หนังอินเดียรุ่นเก่าชื่อทิวา-ราตรี แต่ฉันสมัครใจเรียกมันว่ามอมแมมมากกว่า วันๆ พ่อคุยกับเจ้ามอมแมม (ทิวา) มากกว่าคุยกับฉันเสียอีก
มอมแมมโตขึ้นเป็นหมาสวยอย่างไม่น่าเชื่อ ตาโตสดใส ขนสีน้ำตาลเข้ม มีอานบนหลังเสียด้วย
“ไอ้ทิวามันหล่อ” พ่อบอกอย่างภูมิใจ บางวันพ่อนั่งดื่มอยู่คนเดียว พอครึ้มๆ ก็ร้องเพลงสลับกับรำพึงรำพันอะไรต่อมิอะไรให้เจ้ามอมแมมฟัง ซึ่งมันก็ช่างตั้งอกตั้งใจนั่งฟัง ฉันเสียอีกที่บางครั้งรำคาญจนต้องหนีเข้าห้อง
อย่างไรก็ตาม ฉันกับพ่อคุยกันได้มากขึ้น แม้จะไม่มากเหมือนพ่อลูกอีกหลายคู่ แต่ก็ดีกว่าช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา และแม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการกินอยู่ของหมา(ทิวาของพ่อ) ก็ตาม ฉันนึกดีใจที่มีมอมแมมอยู่กับเรา
เช้าวันหนึ่ง บ้านเงียบกริบ พ่อกับมอมแมมคงยังไม่ตื่น ฉันอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปทำงาน ออกมาเจอพ่อนั่งอยู่บนม้าหินหน้าบ้าน จ้องอะไรบางอย่างในมือ
“อุ่นกับข้าวแล้วนะ ข้าวหมาอยู่บนหลังโอ่ง” ฉันบอกพ่อ แต่พ่อยังนั่งก้มหน้านิ่ง ฉันชำเลืองมองในมือพ่อ มันเป็นโซ่ติดกะพรวนที่ฉันซื้อมาให้พ่อห้อยคอมอมแมมตั้งแต่สองสามเดือนก่อน โซ่นั้นขาด ลูกกะพรวนบุบบี้ และมีคราบสีแดงคล้ำๆ
ฉันรู้สึกมืออ่อนจนต้องวางแฟ้มงานในมือ
“ทิวามันถูกรถชน” พ่อพูดเบาๆ “อาจารย์บ้านโน้นเขามาบอกพ่อ มันถูกชนตั้งแต่ตีห้า พ่อออกไปดูก็ไม่เห็นมัน เห็นเขาว่ารถเก็บขยะของเทศบาลคงเก็บไปแล้วตอนเช้ามืด พ่อเจอแต่โซ่”
พ่อส่งโซ่ที่ขาดเหลือครึ่งเส้นให้ฉันแล้วเดินไหล่งุ้มไปหลังบ้าน ฉันรู้สึกเจ็บในคอจนต้องเดินกลับเข้าไปในห้อง ทรุดนั่งพังพาบอย่างหมดแรง ตั้งแต่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเก่าๆ ของพ่อ มอมแมมไม่เคยออกไปนอกบ้านเลย มันอยู่ข้างๆ พ่อเสมอ บางทีพ่อเรียกมันว่า “ไอ้เพื่อนยาก”
ฉันน้ำตาไหลเมื่อนึกถึงคนที่ยังอยู่ พ่อคงจะเหงายิ่งกว่าเดิม และฉันก็คงไม่อาจทดแทนมอมแมมได้เลย