แสงแดดอ่อนๆ ในฤดูหนาว ที่ส่องเข้ามาอาบขนนุ่มละเอียดของแมวข้างหน้าต่าง ทำให้ฉันคิดถึงเด็กคนหนึ่งและความสุขที่ยังคงอุ่นอยู่ในใจเสมอมา
หลังเรียนจบ ฉันทำงานพัฒนาชนบทอยู่ที่เมืองโคราช และได้พบกับจ่อย เด็กน้อยวัยสี่ขวบในศูนย์บริบาลเด็กขาดสารอาหารของโรงพยาบาลประจำอำเภอ จ่อยเคยเป็นเด็กขาดอาหารระดับรุนแรง หลังจากรับการรักษาฟื้นฟูจึงเริ่มเดินได้เมื่ออายุราวสามขวบ และเป็นเด็กที่ช่างจดจำอย่างน่าอัศจรรย์ สามารถเรียกชื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนที่รู้จักได้ไม่พลาด ขอแค่ได้ฟังเสียง หรือใช้มือป้อมๆ ลูบคิ้วคางปากจมูกของคนนั้น
หลังโรงพยาบาลเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ จำได้ถึงวันหนึ่งในฤดูหนาวที่ฉันว่างเว้นจากการทำงานในหมู่บ้าน และมีโอกาสจูงจ่อยออกไปเดินในแสงแดดอ่อนๆ
“อุ่นไหมจ่อย ตากแดดแล้วอุ่นดีนะ แสงแดดมาจากดวงอาทิตย์ที่อยู่บนฟ้าโน่นแน่ะ”
ฉันชวนคุยเรื่อยเปื่อย จ่อยแหงนหน้าส่ายไปมาเหมือนจะมองหาดวงอาทิตย์ แต่ภายใต้เปลือกตาที่เกือบปิดสนิทนั้นไม่มีดวงตามาตั้งแต่เกิด
“แสงแดดเป็นยังไงคับ” อยู่ๆ เขาก็ถาม
“แสงแดดเหรอ อืมม.. สีเหลือง อ๊ะ ไม่ใช่สิ สีทองต่างหาก แสงแดดสีทอง”
“สีทองเป็นยังไงหลือคับ” เป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ
“ก็เป็นสีที่สวยมาก เป็นประกายสว่าง ทำให้เรามองเห็นทุกอย่างชัด เอ๊ยไม่ใช่” ฉันสะดุ้งเมื่อนึกได้ว่าเขามองไม่เห็น “คือ...เวลาเช้าๆ แสงแดดสีทองทำให้เรารู้สึกสดชื่น รู้สึกโล่ง สบายใจ เวลาเราหนาวๆ ก็มาตากแดด แล้วเราก็รู้สึกอุ่นๆ แบบนี้ไง เออ จะว่าไงดีหว่า”
เป็นคำอธิบายที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย แต่จ่อยพูดขึ้นว่า
“ลู้แล้วคับ สีทองอุ่นๆ” เขายิ้มแป้น
ฉันจูงมือน้อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ จ่อยยื่นมือไประใบหญ้าเรียวๆ ที่ยื่นมาจากข้างทาง
“หญ้า” เขาพูด
“หญ้าสีเขียว” ฉันต่อโดยอัตโนมัติ ลืมนึกว่ากำลังคุยกับเด็กช่างซัก
“สีเขียวเป็นยังไงหลือคับ” นั่นไง ว่าแล้วเชียว
อีกครั้งที่คิดหนัก นั่นสิ สีเขียวเป็นยังไง อ่อนกว่าสีน้ำเงิน แต่เข้มกว่าสีเหลือง แล้วสีน้ำเงินกับสีเหลืองล่ะเป็นยังไง โอ๊ย อธิบายไม่ได้ คิดไม่ออก ฉันจึงเด็ดใบหญ้ามาให้เขาดม
“สีเขียวกลิ่นแบบนี้ไงจ๊ะ”
จ่อยทำจมูกฟุดฟิดแล้วร้อง “อื๋อ...” ก่อนจะถามต่ออย่างรวดเร็ว
“แล้วสีทองกลิ่นยังไงคับ”
“อืม กลิ่นยังไงเหรอ” ฉันกุมขมับ เพิ่งรู้ว่าการอธิบายมันยากจริงๆ
“ก็มีหลายกลิ่นนะ อย่างกลิ่นสีทองของแสงแดด แล้วแต่ว่ามันส่องไปที่ไหน อย่างตอนนี้ แดดสีทองกำลังส่องทุ่งหญ้า ทำให้มีกลิ่นสดๆ หอมๆ ลองสูดกลิ่นดูนะ หายใจเข้ายาวๆ นะ ฮืดดด...หอม หอมจัง”
“ฮืดดด...ฮืดดด...หอม หอมจัง” เขาทำตาม ยืดคอขึ้นลงอย่างน่ารัก
แมวตัวหนึ่งเดินออกมาจากโรงครัวของโรงพยาบาล มันส่ายหางอย่างอารมณ์ดีอยู่แถวๆ กอหญ้า คงกำลังมองหาตั๊กแตน
“แน่ะ แมว” ฉันบอกจ่อยแล้วร้องเรียก “เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว”
มันหันขวับแล้ววิ่งหางชี้มาหาทันที คงจำได้ว่าคนนี้เองที่แบ่งกับข้าวให้กินบ่อยๆ มาถึงก็เอาหัวมาถูไถขาของฉัน ร้องเหมียวเสียงหวาน
จ่อยนั่งลงเอื้อมมือไปตามเสียง ฉันจับมือเล็กป้อมให้ค่อยๆ ลูบไปทั่วตัวแมวเพื่อให้เขารู้จักรูปลักษณ์ของมัน เจ้าแมวอ้วนลงนอนพลิกคว่ำพลิกหงาย ครางเบาๆ ในลำคออย่างพอใจ
“นิ่มจัง” จ่อยพูดและยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะนึกได้แล้วถามว่า
“แมวสีอะไลคับ”
“แมวมีหลายสีจ้ะ แต่ตัวนี้มันเป็นแมวสามสี ขนของมันมีสีขาว สีส้ม กับสีดำ” ฉันเผลออธิบาย ลืมคิดว่าจะพูดถึงสีขาว สีส้มและสีดำอย่างไร แต่โชคดี (หรือเปล่านะ) ที่เขาไม่ถามเรื่องสี
“แมวกลิ่นยังไงคับ” จ่อยสนใจเรื่องกลิ่น อาจเป็นเพราะเขาใช้จมูกได้ดี ในขณะที่ใช้ดวงตาไม่ได้
“เออ กลิ่นยังไงเหรอ” ฉันอึ้ง ไม่เคยนึกถึงกลิ่นแมว ถ้ากลิ่นอึแมวละว่าไปอย่าง เคยหอมแก้มเจ้าสามสีครั้งหนึ่ง มีแต่กลิ่นปลาทู ส่วนตัวมันก็ เอ หอมก็ไม่ใช่ เหม็นก็ไม่เชิง จะว่ากลิ่นทะแม่งๆ ก็คงจะต้องอธิบายว่าทะแม่งคืออะไร
“ลู้แล้วคับ” เสียงจ่อยดังแทรกความคิดของฉัน เขาลูบหลังที่ปกคลุมด้วยขนนุ่มของแมว ก้มลงไปซุก แล้วเงยใบหน้ากลมแป้นน่าเอ็นดูขึ้นมายิ้ม บอกว่า “ดีจังเลย”
วันนั้น เราได้สัมผัสกับดอกหญ้าที่มีกลิ่นแสงแดด ได้ดมกลิ่นสะอาดของผ้าที่ซักตากแดดจนแห้งสนิท แล้วก็ได้แข่งกันสูดกลิ่นของสายลมรอบตัวที่ ฮืดดด...ฮืดดด...หอม หอมจัง ครั้งหนึ่งจ่อยถามว่า สายลมสีอะไร ฉันนึกไม่ทัน จึงบอกว่า ทุกสีในโลกรวมอยู่ด้วยกันหมด
“ดีจังเลย” เขายิ้มอย่างมีความสุข
ผ่านมาหลายปีแล้ว แสงแดดอุ่น และสายลมอ่อนของฤดูหนาว กับการลูบไล้ขนนุ่มนิ่มของแมวที่นอนขดอยู่บนตัก ยังคงทำให้ฉันได้อิ่มเอิบกับความสุขใจ ที่รู้จักหัดมองโลกมุมใหม่ผ่านหัวใจใสสว่างของเด็กชายผู้ไร้ดวงตาคนนั้น
โลกที่มีหลายสิ่งสำคัญ แม้ไม่อาจมองเห็นด้วยตา