เสียงรถมาจอดหน้าบ้าน โต๋เต๋ชันคอขึ้นเป็นครั้งแรกของวัน มันลุกพรวดพราดไปดู สักพักก็เดินหูลู่หางตก กลับมานอนหมอบเป็นรูปปั้นหมาตรงที่เดิม ท่าทางหมกมุ่นหงอยเหงาราวกับคนอมทุกข์
ฉันไม่รู้จะช่วยมันได้อย่างไร บางทีก็ไม่อาจมีใครแทนใครได้
นึกย้อนไปถึงค่ำวันหนึ่งที่ฉันลงรถประจำทางใกล้แยกบางใหญ่ กำลังสำรวจสภาพกระดูกกระเดี้ยวที่ถูกเบียดเสียดบนรถมานานนับชั่วโมง หางตาก็เห็นอะไรแวบๆ จุดดำๆ เคลื่อนมาตามแนวถนน รถยนต์ก็ไม่ใช่ มอเตอร์ไซค์ก็ไม่เชิง ใกล้เข้ามาถึงเห็นเป็นหมาสีเข้มๆ ตัวหนึ่งกำลังวิ่งสุดฝีเท้าแทบจะแข่งกับรถที่แล่นอยู่บนถนน
ฉันพยายามมองว่ามันวิ่งตามอะไร เพราะวิ่งแบบนี้ไม่ใช่วิ่งเล่นแน่ๆ ไม่เห็นมีอะไรที่มันน่าจะวิ่งตาม มีแต่รถประจำทาง รถบขส.แล้วก็รถยนต์ที่แล่นเลยมันไปคันแล้วคันเล่า มันวิ่งมาหยุดยืนหอบแฮ่กๆ จนตัวโยนอยู่ตรงป้ายรถประจำทางที่ฉันลงพอดี หอบอยู่พักใหญ่ๆ มันก็เหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนหาทางไปไม่ถูก ครางหงิงๆ แหงนหน้าสูดกลิ่นในอากาศด้วยท่าทางกระวนกระวาย
ฉันติดนิสัยประหลาดอย่างหนึ่งคือชอบทักหมาแมว จึงตะโกนถามออกไป
“จะไปไหนน่ะ”
มันหันขวับมา ชะงักอยู่ชั่วครู่ แล้วก็ทำหูตั้ง ออกวิ่งลิ่วตรงมาหาฉันทันที!
“เฮ้ยๆ แค่ถาม ไม่ได้เรียก” ภาพหมาตัวโตๆ วิ่งตรงรี่เข้ามานั้นน่าตกใจน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่
ฉันถอยได้แค่สองก้าว มันก็กระโจนพรวดมาถึงตัว สองมือเอ๊ยสองเท้าหน้าตะปบเอวฉันไว้ ฉันยังไม่ทันร้อง ก็ได้ยินมันร้องเสียก่อน
เจ้าหมาร้องครวญคราง ตะกุยตะกายบนตัวของฉัน จากนั้นก็วิ่งวนไปรอบๆ แล้วกลับมายกขาตะกายอีก มันคงอยากบอกอะไรสักอย่าง ฉันรู้สึกว่ามันกำลังขอความช่วยเหลือ
ยังคิดอะไรไม่ออกก็เห็นรอยเลือดเปรอะเต็มเสื้อ เฮ้ย มันยังไม่ได้กัดฉันเลยนี่หว่า แล้วเลือดมาจากไหน จับเท้าหมาหงายดู อุ้งเท้าของมันแตกยับเยิน เลือดไหลชุ่ม มันร้องครางหงิงๆ คงเจ็บมาก
จับเนื้อจับตัวทำความรู้จักจนแน่ใจว่ามันไม่ดุ จึงตัดสินใจหอบหิ้วมันขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปหาหมอป้อมเจ้าเก่า
หมอป้อมตรวจแผลแล้วสันนิษฐานว่าหมาอาจจะวิ่งมานานมาก และไกลมาก อาจจะเป็นวันๆ คืนๆ เจอพื้นถนนร้อนๆ เข้าไปอีก เท้าจึงทั้งแตกและพองอย่างน่ากลัว
“โชคดีไม่โดนรถทับตาย” หมอป้อมพูด
“แต่โชคร้ายที่หลงทาง” ฉันต่อ สบตาละห้อยของหมาด้วยความเห็นใจมัน
ขณะทำแผล มันมีท่าทางกระวนกระวาย มองฉันที มองหมอป้อมทีแล้วครางหงิงๆ บางครั้งทำท่าจะลุกวิ่งออกไป
“อยู่นิ่งๆ ซี่ กำลังทำแผลอยู่ จะรีบไปไหนเล่า” หมอป้อมพูดกับหมา
ทำแผลเสร็จ ปัญหาต่อไปคือจะเอามันไปไว้ที่ไหน เอาไปทิ้งไว้ที่เดิม ให้มันวิ่งอย่างไร้จุดหมายต่อไปน่ะหรือ ฉันทำไม่ลง
สุดท้ายก็หอบหิ้วกลับบ้าน เจ้าหมากินน้ำในอ่างอย่างกระหายก่อนล้มตัวลงหลับอย่างอ่อนเพลีย แต่มันคงหลับอย่างไม่เป็นสุขนักหรอก ฉันเห็นมันกระสับกระส่าย ส่งเสียงครางเหมือนมีความทุกข์กังวลเต็มหัวใจ
มันวิ่งมาจากไหน และจะไปไหนกันนะ
หมอป้อมสันนิษฐานไว้สองข้อ ข้อแรกคือหมาอาจจะหล่นมาจากหลังรถกระบะโดยที่เจ้าของไม่รู้ มันต้องพยายามวิ่งตามรถ แต่ก็ไม่ทัน
ส่วนข้อสอง มันถูกเจ้าของเอาใส่รถมาปล่อยทิ้ง มันคงพยายามวิ่งตามรถอย่างสุดฝีเท้า ด้วยความตกใจและตื่นกลัว คิดว่าถ้าไม่หยุดวิ่ง มันจะตามทัน แต่ทว่า แน่นอน มันย่อมวิ่งไม่ทัน
ฉันรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่ข้อแรก แต่ก็ภาวนาอย่าให้เป็นข้อหลัง เพราะมันเศร้ากว่า
หัวใจรัก มักจะช้ากว่าหัวใจร้าย
การเลี้ยงหมาที่โตเต็มที่ไม่ใช่เรื่องยากทางร่างกาย แต่เป็นจิตใจ มันจะฝังใจอยู่กับเจ้าของเดิมและชีวิตเดิมๆ แม้จะเลี้ยงอย่างมีความสุขแค่ไหนก็ตาม
ฉันกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอขณะที่บอกกับมันว่า “อยู่ด้วยกันนะ ไม่เป็นไรหรอก จะรักให้เท่าๆ เจ้าของเก่าเลยนะ” หรือไม่ก็มากกว่า ฉันต่อในใจ
หมาเคยชื่ออะไรไม่รู้ ฉันเรียกมันว่าโต๋เต๋ นานพอดูกว่ามันจะยอมรับชื่อใหม่ (แต่ฉันรู้ว่ามันไม่มีวันลืมชื่อเดิม)
ฉันฝากหมอป้อมกับรปภ.หมู่บ้านให้คอยดูเจ้าของโต๋เต๋ แต่ไม่มีใครมาตามหาหมาตัวโตสีน้ำตาลเข้มเลยสักครั้ง
ทุกวันนี้ เจ้าโต๋เต๋ยังอยู่ที่บ้านสี่ขา มันอาจจะเหนื่อยเกินไป หรือไม่ก็ยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี จึงไม่พยายามจะมุดรั้วหนีออกจากบ้านเหมือนแรกๆ
มันชอบยื่นหัวอันใหญ่โตมาพาดตัก ชอบให้เกาหู ชอบยกขาหน้าข้างหนึ่งมาวางบนมือฉัน แต่ก็มีหลายครั้งที่มันเบือนหน้าจากจานอาหาร ถอนใจเบาๆ เหมือนคนอมทุกข์ แล้วลงนอนเอาคางเกยเท้า มองออกไปไกลๆ
บางครั้งมีรถใครไม่รู้มาจอดหน้าบ้าน มันจะลุกวิ่งไปดูอย่างกระตือรือร้น สักพักก็จะเดินหางตกกลับมานอนเป็นรูปปั้นหมาอย่างเดิม
ฉันได้แต่สงสัยอยู่ว่า เจ้าของเดิมของโต๋เต๋อยู่ที่ไหน และจะกังวลห่วงใยถึงมันบ้างหรือเปล่า
เหมือนอย่างที่มันคิดถึงเขาอยู่ทุกคืนทุกวัน