Skip to main content

หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 

-
ตะแกงกๆเงิ่นๆ ใส่เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้นซอมซ่อ ผอมเกร็ง หน้าตอบ ผิวกร้าน กระด้าง ดำแดด ผมสีดอกเลา หน้าผากเถิก (โครงหน้าเหมือนลุงโฮฯ แต่ผอม แก้มตอบกว่าและดูไม่มีสง่าราศรี) ขี่จักรยานรุ่นเก่าคันใหญ่ๆ สภาพซอมซ่อไม่ต่างจากเจ้าของ

-
จริงๆ เห็นกันทุกวัน เห็นประจำ ตั้งแต่ก่อนเปิดร้านแล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่า เป็นคนบ้า คนจรจัดธรรมดาทั่วไป สังเกตอยู่ว่า ตะแกจะมีที่พัก เป็นบ้านสองชั้นโทรมๆ ที่รื้อฝาออกหมดทั้งชั้นล่างชั้นบน แล้วใช้เศษไม้กระดาน พลาสติกมาปิดคลุมบางส่วนเป็นห้องในชั้นล่างพอซุกหัวนอน 
ก็เห็นแค่นั้น และไม่ได้เข้าไปคลุกคลีมากกว่านั้น..
...............
วันที่ตะแกเข้ามาดูต้นไม้และซื้อต้นไม้ ตะแกบอกว่า แวะมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เห็นคน อยากได้ต้นนี้ๆ ชี้ไปที่สับปะรดสีบางพันธุ์ ถามว่าราคาเท่าไร เราก็ลังเล อึกอัก คือ... คิดว่า ถ้าตะแกอยากได้จริงๆ เรายกให้ได้ ไม่คิดตังค์ เพราะจากสภาพแล้ว เราก็ไม่อยากได้ตังค์(แกเพิ่งไปซื้อขาวสารมา วางไว้ตะแกรงหน้ารถ น่าจะสักโลนึง) แต่ถ้าเราไม่เอาตังค์เลย ตะแกก็จะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า? ท่าทางแกไม่เปลี่ยนจากที่เห็นๆมาทุกครั้ง แต่.. การพูดการจาสุภาพมาก ต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกเยอะ มีหางเสียงครับผม ใช้ภาษาเรียบๆ ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นคนมีการศึกษา ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา 

-
วันนั้น ตะแกสนใจสับปะรดสี ก็กะว่า ถ้าเอาจริงๆ ก็จะลดราคาให้ คือ ราคามันก็เป็นร้อยกว่า ถ้าเราลดครึ่งนึงก็ยังรู้สึกว่ามันน่าจะแพงสำหรับแกอยู่ ก็คิดในใจว่าจะทำไงดี 

-
ก็พอดี ตะแกก็ถามๆ ต้นอื่นไปเรื่อยๆ ต้นนั้นราคาเท่าไร? ต้นนี้ราคาเท่าไร?จนสุดท้าย แกไปเอาไม้ใบที่เป็นไม้มงคลต้นนึง ซึ่งเราขายอยู่ที่สี่สิบบาท ก็เห็นว่ามันถูกอยู่แล้วเลยบอกราคาเต็มไป 

-
แกก็รีบล้วงชายพกกางเกง เอากระเป๋าออกมา ในนั้นมีเงินน่าจะราวๆร้อยกว่าบาท ก็จ่ายแบงค์ห้าสิบมา เราก็ทอนไป ก็รู้สึกไม่ดีหรอก คิดในใจว่า น่าจะบอกสักยี่สิบบาท คือ.. ถ้าให้ฟรีไป เขาอาจจะคิดว่าเราดูถูกเขาก็ได้ไง แต่พอเอาเต็มเราก็เอ็นดู เลยพอจ่ายเงินทอนไปเสร็จ มีต้นฟ้าประทานวางอยู่ใกล้ๆแถวนึง เลือกเอาต้นที่ดอกกำลังออกงามที่สุดส่งให้แกด้วย แกว่า เอามาทำไม? บอกว่าอันนี้แถมครับ แกก็ว่า ครับๆ ครั้งนี้ผมเอาไปโชว์ให้เขาดูก่อน เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะกลับมาเอาใหม่ มีอีกหลายต้นที่อยากได้ 

-
เอากระถางต้นไม้ใส่ถุงวางให้บนตะแกรงหน้ารถให้ทั้งสองต้น โดยวางทับถุงข้าวสาร ถามย้ำกับแกว่า ไปได้แน่นะ แกก็ว่า ไปได้ๆ ใกล้ๆ(บ้านแกอยู่ห่างจากร้านประมาณร้อยเมตร) 
จากนั้นก็แยกกัน 

-
เราก็ตะหงิดๆ สงสัย สนใจอยากรู้ประวัติแก เพราะบางวันก็เห็นแกมาทำกิจกรรมจิตอาสา โดยการถอนหญ้า ดึงและดายหญ้าที่ขึ้นรกตามป้ายหน้าโรงเรียนอยู่บ่อยๆ

.. 

..........
.......................

หลายวันต่อมา จึงเอาเรื่องแกถามคนในพื้นที่ แรกๆ เขาก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นแก เพราะทุกคนต่างคิดว่า แกประสาทไม่ดี ไม่น่าจะอยากได้ต้นไม้ไปประดับบ้าน หรือปลูกต้นไม้เป็น แต่ก็ได้ข้อมูล ดังนี้ 

-
ตะแกคนนี้ อดีตเป็นครูสอนโรงเรียนประถมตรงนี้แหละ เมื่อก่อนก็เป็นคนปกติดี แต่.. มีจุดพลิกผัน จากการที่แกโดนเจ้าหน้าที่รัฐ คือตำรวจและทหารจับตัวไป(ชาวบ้านลือกันว่า เป็นช่วงหนังสือ ภัยขาว,ภัยเขียว) ซึ่งช่วงนั้น นักศึกษาและปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้า ฝ่ายประชาธิปไตยถูกยัดข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ พคท.ให้เยอะมาก
ตะแกคนนี้ ช่วงนั้นเป็นครูหนุ่ม มีภรรยาแล้ว พี่น้องคนในครอบครัวก็รับราชการครูเป็นส่วนมาก แต่แกก็ถูกทหารจับตัวไปเข้าค่ายด้วยข้อหาภัยขาว(คงมีหนังสือภัยขาว,ภัยเขียว อยู่ในครอบครอง) 
ตะแก ถูกจับไปนาน.............

หลายเดือน

....
กว่าจะถูกปล่อยตัวออกมา
ซึ่งเมื่อออกมา แกก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป กลายเป็นคนประสาท พร่ำเพ้อ หวาดกลัว โวยวาย ว่าจะมีคนมาทำร้าย จนสอนหนังสือไม่ได้ เพราะจะเอามีดจี้คอนักเรียน 

-
จนสุดท้าย ทางโรงเรียน เพื่อนครู ก็ช่วยกัน ให้แกหยุดสอน ไม่ต้องไปโรงเรียน โดยที่ยังให้รับราชการเป็นครูอยู่ รอตราบจนหลายปีต่อมาที่อายุราชการของตะแกสามารถได้เงินบำนาญ จึงค่อยทำเรื่องให้ลาออกจากราชการ 
ตะแกไม่ใช่คนเดิม เมียก็พาลูกแยกไปอยู่ต่างหาก ตะแกอยู่บ้านคนเดียวก็ทำการรื้อทำลายบ้านตัวเองไปตามสภาพความหลอนในจิต ช่วงแรกๆ คงหนักอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แต่ตอนนี้ ช่วงนี้ สภาพก็เป็นอย่างที่เราได้ประสบมา ไม่มีท่าทีคุกคาม ดูสุภาพ พูดสุภาพ แต่นี่ก็เป็นการประเมินแบบเผินๆจากการคุยกันแค่ครั้งเดียว 
.............................

..............

..

รูปนี้เป็นการพบกันครั้งที่สอง ตะแกมาหาซื้อต้นไม้ไปประดับอีกเช่นเดิม ครั้งนี้พกเงินมาเยอะมีทั้งแบงค์สีม่วงสีแดงและสีเขียวหลายใบ(คงเป็นเงินบำนาญ แกมีญาติๆดูแลอยู่) แกอยากได้ไม้สีแดงๆ เด่นๆ จะเอาไปปลูกประดับตรงป้ายโรงเรียน(หน้าบ้านแกมีป้ายบอกว่าข้างหน้าเป็นโรงเรียนอยู่) เลยจัดต้นประทัดจีนที่เป็นไม้พุ่มทนแดดดอกสีแดงสวยให้พร้อมทั้งไม้ใบลายสวยให้ไปด้วย ครั้งนี้สองต้นคิดสี่สิบบาท ตกต้นละซาวบาท สบายใจทั้งสองฝ่าย :)
สรุป
ที่เอาเรื่องนี้มาเล่าก็เพราะอยากแสดงให้คนที่อ่านมาถึงตรงนี้เห็นว่า รัฐไทย หน่วยงาน องค์กรที่ตั้งขึ้นมานัยว่าเพื่อปกป้องดูแลชาติและรักษาความมั่นคงของชาติ มันกระทำอะไร อย่างไรบ้างต่อคนที่มันคิดว่าเป็นภัยต่อชาติ
จากคนปกติ กลายเป็นคนประสาท ถ้าไม่ใช่เพราะเจอการกดดันทางจิตอย่างสาหัสสากรรจ์ เจอการทรมานอย่างทารุณจนเกินจะทน ก็คงไม่เป็นอย่างนี้..................
คิดมาถึงตรงนี้ พิมพ์มาถึงตรงนี้ เราเห็นควรว่า เมื่อฟ้าเปิด ควรยุบกองทัพและปฏิรูปองค์กรรักษาความมั่นคงของชาติใหม่ให้หมด เพื่อไม่ให้มันเป็นภัยต่อประชาชนในชาติเสียเองอย่างที่เคยเป็นมา และกำลังเป็นอยู่......
#เรื่องจริง
-
#เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับผู้ประสบภัยจากรัฐที่มีที่มาจากหนังสือภัยขาว_ภัยเขียว
ลิ้งค์อ่านเพิ่มเติมช่วงเหตุการณ์ภัยขาว-ภัยเขียว
http://www.14tula.com/before/before_sub2-1.htm
หากสนใจรายละเอียดมากกว่านี้ สามารถค้นเพิ่มเติมได้เอง
-
พื้นที่ ที่กล่าวถึงในนี้เมื่อก่อนเป็นพื้นที่สีแดงเป็นแดนหน้า
อยู่ตรงกลางระหว่างเขตงานที่เจ็ด-แปดของพคท. ติดสปป.ลาว
มีสนามบินที่เคยส่งเครื่องบินขึ้นไปถล่มพื้นที่ต่างๆในช่วงสงครามอินโดจีน
ข้าราชการในแถบนี้ยุคก่อนหน้านี้จะมีวันทวีคูณ จึงสามารถได้อายุราชการเข้าเกณฑ์เกษียรได้เบี้ยบำนาญเร็วแม้จะยังหนุ่ม
วันทวีคูณในช่วงสงครามเย็นจะมีในพื้นที่ชายแดนที่เสี่ยงต่อการปะทะ
พื้นที่ๆมีวันทวีคูณของราชการจะอยู่ชายแดนในรัศมีปืนใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้าน
วันทวีคูณก็คือทำงานหนึ่งวันแล้วได้สองแรงนั่นแหละ_เป็นค่าเสี่ยงชีวิตมาอยู่ในพื้นที่อันตราย

...................................................................................................................................

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ * คัดลอกจากสเตตัสของมิตรสหายท่านหนึ่งในเฟซบุ๊ก เนื่องด้วยมีมิตรสหายอีกท่านหนึ่งแนะนำว่า น่าจะมีการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ไว้อย่างเป็นหลักเป็นฐาน

บล็อกของ Road Jovi

Road Jovi
หลายวันก่อน มีชายสูงอายุ ท่าทางเหมือนคนจรจัดเข้ามาดูต้นไม้ 
Road Jovi
ป่าไม้น่านหายไปไหน?-เป็นแคมเปญเรียกความสนใจของกลุ่มเอ็นจีโอบางกลุ่มอยู่...-คำตอบของคำถามข้างบน หากไปถามนักอนุรักษ์(ทำท่าจะเดินทางไปหาคำตอบกันอยู่นี่) ก็ไม่พ้นเกี่ยวเนื่องกับซีพี ข้าวโพดอาหารสัตว์ บลา บลา บลา....
Road Jovi
van van.รถแว๊นซ์เพื่อชีวิต
Road Jovi
ผมจะเขียนเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะจบประเด็นทั้งหมดก็แล้วกันนะครับ เพราะคิดว่าการถกเถียงกันไป-มาในโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์หรือเม้นเฉพาะข้อมูลที่ตนต้องการนำเสนอ มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้สังคมเข้าใจความจริงมากขึ้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านหรือภาครัฐ ทั้งรังแต่จะทำให้สังคมเกิด
Road Jovi
 ข่าวสารในโลกวันนี้มีความหลากหลาย.......หลายอย่างก็เป็นความจริงที่เสนอตัวเองอย่างครบถ้วนรอบด้าน พอๆกับที่หลายอย่างก็เป็นความเท็จหรือจริงปนเท็จที่แต่งเติมเสริมเรื่องราวจนโอเวอร์เกินไป
Road Jovi
เมื่อหมู่คนให้ความชื่นชมแก่ใคร คนๆนั้นก็จะได้รับความนิยม.เมื่อได้รับความนิยมมากๆ ก็จะมีความสำคัญ.และเมื่อสำคัญมากๆ เขาย่อมได้รับการสถาปนาให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันใครจะแตะต้องมิได้...... 
Road Jovi
     ไปเชียงใหม่ครั้งที่ผ่านมา นั่งคุยกับมิตรสหายทั่นพี่นักเขียน ผมเล่าว่า พักหลังมันยากเหลือเกินที่ผมจะทำใจไปร่วมงานกับกลุ่มอนุรักษ์ ngoหรรมใหญ่หรรมน้อยทั้งหลาย เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน ในช่วงกปปส.ออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พวกเขาเหล่าต่างชัดเจนว่าเห็นด้วยร่วมเป็นแรงพลังหน
Road Jovi
ไม่มีเสียงใดๆ ความเงียบยังปกคลุม กสม.จนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นแถลงการณ์ ไม่เห็นการโผล่ออกมากล่าวคำใดของ กสม. ต่อกรณีการถูกลอบดักยิงจนเสียชีวิตของคุณไม้หนึ่ง ก.กุนที หรือนายกมล ดวงผาสุก กวีและนักเคลื่อนไหวเสื้อแดง
Road Jovi
เฮ่อ.... เหนื่อยเหมือนกันนะ เห็นตรรกะการออกมาสนับสนุนเห็นด้วยกับพรบ.สุดซอยนี้แล้ว...ถ้าเพื่อหวังความสงบสุขสมานฉันท์ แล้วเราต้องลืม ต้องยกเว้นกันไปนี่ เขาทำมากันเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งแล้วในประวัติศาสตร์ และผลสุดท้าย ลืมกันได้ไม่นานก็ออกมาฆ่ากันอีก เพราะอะไร..??