Skip to main content
หนทางทอดยาวเหยียด ยาวเพียงไหน หากเอาถนนทั้งหมดมาต่อกันเป็นเส้นเดียว ถนนนั้นจะยาวไปถึงดาวดวงใด ก็ในเมื่อ ทุกแผ่นดินในโลก มนุษว์สามารถเดินไปถึงสุดแท้แต่สภาพสภาวะของตน ด้วยความจริงข้อนี้หรือเปล่า ที่มันทำให้ผู้คนทั้งหลายต่างแสวงหาเสรีภาพ พร้อมกับที่เราเปรียบเปรยต่างๆ นานา เพื่อบ่งบอกถึงอิสรภาพ เสรีภาพ หรือว่าแท้จริงแล้ว ถนนหนทางทุกสายต่างหากที่เป็นผลพวงของความปรารถนามนุษย์


พบผู้คนมากมายตามท้องถนน ในการเดินทางบนถนนสายเล็กๆ ของเรา พวกเขาทั้งหลายล้วนกำลังเดินทาง ตามหาเสรีภาพของตน บางคนในหมู่พวกเขาได้ปลดปล่อยพันธนาการมากมายในชีวิต พวกเขาปราศจากครอบครัว ไม่มีบ้าน เลี้ยงชีพด้วยการทำงานเล็กน้อย และเดินทาง ด้วยพวกเขาบอกว่า นั่นคือหนทางแห่งเสรีภาพ

 

ผู้คนมากมาย พยายามสลัดพันธนาการทั้งหลายออกไปจากตัวเอง ด้วยก็เชื่อว่านั่นคือวิธีที่จะได้ก้าวไปสู่เสรีภาพ

 

คำถาม เกิดขึ้นจากการพบเห็นทั้งหลายนั้นว่า แท้จริงแล้วพวกเขาได้ค้นพบ และดำรงอยู่อย่างเสรีหรือไม่ พวกเขารู้สึกสมหวังดังปรารถนาหรือไม่ การเดินทางของเขาหลังจากนั้นคือการเดินทางอย่างอิสระ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ดำรงอยู่อย่างมีความหมาย งดงามหมดจด หรือแท้จริงแล้ว พวกเขาทั้งหลายก็ยังเอาแต่หา ค้นหา สิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า เสรีภาพ

 

คนอื่น คนรอบข้าง ครอบครัว การงาน ภาระ หน้าที่ ถนนหนทาง รถรา สรรพสิ่งทั้งมวลนี้หรือเปล่าที่ถูกป้ายความผิดว่า มันทำให้พวกเขาทั้งหลายไม่ได้พบอิสระ มันเป็นพันธนาการที่ปิดกั้นหนทางของพวกเขา นอกจากมันฉกฉวยเวลาไปแล้ว มันยังกักขังความฝันของพวกเขาไว้ด้วย ชีวิตเขาจึงจ่อมจมอยู่กับความทุกข์ ต่อความอดทนอย่างหนักต่อการเผชิญภาวะที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกเดินทางไปสู่เสรีภาพ

 

หากชีวิตของคนผู้หนึ่ง ดำรงอยู่ร่วมกับผู้คนอย่างมีความหมาย ความเรียบง่ายของชีวิตช่วยให้เขาไม่เหนื่อยมากนักต่อการหาเลี้ยงชีพ แต่กระนั้นก็ยังทำให้เขาสามารถดูแลผู้คนใกล้ชิดได้หลายคน แล้วเวลาก็ยังเหลือพอสำหรับการพบปะสนทนา เขาอาจไม่ใช่คนเดินทางตะลอนท่อมท่องไปตามถิ่นทางต่างๆ มากนัก แต่ทุกๆ ที่ๆ เขาไป ล้วนมีความหมายต่อความฝันต่อจินตนาการและแรงบันดาลใจ เขายังมีทุกข์อยู่มากตามประสาปุถุชน แต่เขาก็อยู่กับมันอย่างเข้าใจ และเขาสามารถเผชิญกับเงื่อนไขสถานการณ์ที่เป็นไปอย่างรู้เท่าทัน เข้าใจ และสามารถรอคอย ชีวิตเขาก็มีเรื่องผิดพลาดอยู่เสมอ บางครั้งถ้อยคำ และการกระทำของเขาก็ทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ หรือบางครั้งความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ทำให้หลายเรื่องหลายคนกระทบกระเทือนเกิดความเสียหาย แต่เขาก็พยายามเสมอที่จะเรียนรู้มัน เพื่อที่เขาจะสามารถแก้ไขมัน และเบียวยาส่วนที่เสียหายไปบ้างแล้ว

 

ในการดำรงอยู่ตามเงื่อนไขสถานการณ์ ภาพที่ปรากฏก็คือ เขาสามารถปลดพันธนาการจิตวิญญาณของเขา เงื่อนไขทางเศรษฐกิจ และสังคมอาจไม่เกื้อหนุนให้เขาโบยบินไปได้ไกลนัก แต่เขาก็มีความสุข

 

เราต้องเดินทางไกลเพียงใด เราต้องสลัดทิ้งผู้คนมากมายเพียงใด เราต้องเรียกร้องจากโลกมากมายเพียงใด เราต้องทนทุกข์ และเหน็ดเหนื่อยปานใด กว่าเราจะได้พบเสรีภาพตามความฝัน ตามที่ปรารถนา

 

หากเรายังพันธนาการจิตวิญญาณของเราเองด้วยความขลาดเขลาเสียแล้ว ไม่ว่าเราจะออกเดินทางไปไกลเพียงใด เสรีภาพก็อาจเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

 

 

บล็อกของ นาโก๊ะลี

นาโก๊ะลี
บางกอก เมืองหลวงที่รวมของทุกสิ่งในประเทศ ที่รวมของคนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ความหลากหลายตามที่ใครต่อใครบอกกล่าวกันว่า นั่นเป็นเรื่องสวยงาม ก็ว่ากันไป บางคนก็อาจเข้าใจได้ตามที่กล่าว แต่บางคนก็แค่ตีฝีปากเพื่อให้ดูดีมีรสนิยม ก็แล้วแต่ต้นทุนของใครของมัน มีความจริงอันหนึ่งก็คือ ในบางกอก ที่ที่มีทุกอย่างให้แสวงหา แต่ก็กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่โหยหาอิสรภาพ ซึ่งดูเหมือนเมืองที่มีทุกสิ่งอย่างบางกอก จะไม่มีสิ่งนี้ หรือเปล่า...มั้ง...
นาโก๊ะลี
เดือนธันวาคม....คล้ายกับว่า ผู้คนมากมายล้วนให้คุณค่า ให้ความสำคัญ หรือให้ความหมายต่อเดือนนี้ เป็นพิเศษ อย่างนั้นหรือเปล่า อาจจะด้วยว่ามันเป็นเดือนสุดท้ายของปี และก็เป็นเดือนของฤดูหนาว ที่ผู้คนจะได้ออกเดินทาง จะได้ท่องเที่ยว เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวๆ เป็นเดือนที่ทุกคนคล้ายอยากให้ถึง หรือไม่อยากให้ถึง เพราะนั่นก็เป็นสัญลักษณ์ว่า อีกปีหนึ่งกำลังจะผ่านไปแล้ว สายลมที่นำพาลมหนาวมาหยุดพัดไปบ้างแล้ว ในชนบท สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความเหน็บหนาวที่แทรกอยู่ในอากาศ ดังนั้นแม้ไม่มีลมหนาว ก็ยังหนาว ใต้ถุนเรือน หรือลานบ้าน เป็นที่ก่อไฟให้ล้อมวงผิงไฟ เช้าๆ หรือยามค่ำคืน…
นาโก๊ะลี
  ริมฝั่งน้ำที่ไม้ได้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าใดนัก ลมเหนือพัดพาไอหนาวมาถึง และนั่นก็พอก่อให้ผืนน้ำเกิดก่อเป็นคลื่นเล็กๆ เคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง หรือแปลเปลี่ยนทิศทางไปตามแรงลม นั่นมิได้มีอะไรพิเศษแตกต่างออกไป หากแต่ว่า ในผืนน้ำอันมิได้กว้างใหญ่เท่านั้นนั้น ปรากฏเศษหญ้าที่ลอยไปตามน้ำและลม เราเห็นแล้ว มันเคลื่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย มันเคลื่อนไปเพราะไม่ใช่ต้นหญ้าอีกต่อไปแล้ว มันไม่มีชีวิต มันไม่มีที่ทางให้หยัดยืน มันมิได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตัวเอง มันย่อมไม่เรียกว่ามันดำรงอยู่  
นาโก๊ะลี
สิ่งแรกที่อยากบอกเล่าก็คือเรื่องของความมหัศจรรย์ ติช นัท ฮันห์ บอกว่า ความมหัศจรรย์ของชีวิต ไม่ใช่อยู่ที่การเดินบนน้ำได้ หรือการเหาะได้ แต่การยืน และเดินอยู่บนผืนแผ่นดิน นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว เช่นนั้นแล้วยามใดที่ชีวิตมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น นั่นก็คงเป็นความมหัศจรรย์ด้วยนั่นเอง
นาโก๊ะลี
การสนทนายามเช้า ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์... มีบางสิ่งขาดหาย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั่นคือ จดหมาย และไปรษณียบัตร เมื่อเราเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มรู้จักมองหญิงสาว เริ่มหลงรักสาว เริ่มเรียนรู้วิธีจีบหญิง ช่วงเวลานั้น การสื่อสารที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถสื่อสารได้ ว่าก็มากกว่าการพูดคุย เพราะการพูดคุยเรามักเขินอายกันอยู่มาก การสื่อสารที่ว่านั้นก็คือ จดหมาย
นาโก๊ะลี
อันที่จริง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นมาตลอดชีวิตกระมัง แต่เราก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งหลายก็อาจจมอยู่ในสภาพวะเช่นนี้อยู่เสมอ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง พยายามเปลี่ยนอยู่บ้าง หรือสยบยอมอยู่บ้าง นั่นก็คงสุดแท้แต่วิถีของแต่ละคน ผิดหรือถูกก็อาจจะไม่มีอยู่ ความเหมาะสมของแต่ละคนคงจะเป็นเกณฑ์ได้กระมัง
นาโก๊ะลี
ฉันจะดำรงอยู่เพื่อเธอ                      และฉันเรียนรู้เสมอเป็นอย่างนี้ เราเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมี                มาหลอมเป็นวิถีเป็นทางของเรา ฉันยังได้ยินเสียงของเธอ                 ถ้อยคำนำเสนอมาบอกเล่า พาไปค้นแก่นแท้จากวัยเยาว์             เห็นดวงจิตเก่าซึ่งงดงาม ฉันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ  …
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างก็เคยล้มเหลว หรือประสบผลสำเร็จ นั่นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกออกไป เราทั้งหลายรับรู้และประสบเช่นนั้นเสมอมาว่ากันไป แต่สิ่งที่เรานึกถึงในช่วงเวลานี้ก็คือ หลายครั้งหลายคราวที่เราประสบความล้มเหลวกับกิจการงานแห่งชีวิต เรามักมองเห็นเหตุปัจจัยมากมายที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยอันนำมาสู่ความล้มเหลวนั้น นี่ก็ว่าถึงคนอื่นๆ รอบๆ ตัวเราด้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยนั้น คนเดียว และสาเหตุเดียวที่มิได้เกี่ยวข้อง และอยู่นอกเหนือเงื่อนไขนั้นก็คือเรา (หรือเปล่า...มั้ง) หรือว่าเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เห็นเป็นสาเหตุอันเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ว่ากันไปตามสภาพที่พบทั่วไป…
นาโก๊ะลี
เช้าวันนี้....มีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความรู้สึกบอกเราว่า นี่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูที่ใครๆ หลายคนนิยมชมชอบ หมอกจางๆ ทำให้ทางเดินในสวนสลัวราง มองไปไกลๆ ในบึงเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่ในความสลัวนั้น นับเป็นภาพที่งดงามไม่น้อยนัก พระอาทิตย์สีแดงดวงโตๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นจากสายหมอก นับเป็นยามเช้าที่เบิกบานและงดงามได้ไม่น้อยทีเดียว
นาโก๊ะลี
“ทำไม” เข้าใจว่า นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในชีวิต ในกระบวนการเรียนรู้ และการเติบโตของผู้คนส่วนใหญ่ ว่าก็เมื่อเริ่มรู้จักกับการตั้งคำถาม หรือเริ่มสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในชีวิต
นาโก๊ะลี
เมื่อยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรนัก เวลาที่เราเห็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเหนือกว่าธรรมชาติ เราจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ เช่น การบินของเรือบิน เราคิดว่านั่นเป็นความพิเศษที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วยังมีสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ ไฟฟ้า ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรารู้มาว่ามันเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ และเราก็คิดว่า นั่นไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มันคือความเก่งของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา
นาโก๊ะลี
แผ่นดินกี่แดนใด               มีเอาไว้ให้พักพิง ยามเหนื่อยได้แอบอิง         หลบมาพักเพื่อฟื้นฟู ออกไปจากบ้านเก่า            จากวัยเยาว์ไปเรียนรู้ เติบโตค่อยมาดู                 ผืนแผนดินแห่งวันวาน หรือจากแล้วไปลับ             เดินทางกลับเลยทางผ่าน เป็นเวลาชั่วกาลนาน           ที่ลับล่วงแล้วพ้นเลย…