กลับมามองท้องทุ่งกับฟ้ากว้าง พักจากการเดินทางระหว่างสมัย
กลับมาจากแผ่นดินของเมืองไกล กลับมามองความเป็นไป-ฤดูกาล
ธรรมชาติแตกต่าง-มิแตกต่าง ยามแสงแรกส่องฟ้าสางโลกสถาน
ในชีวิตมีหม่นเศร้ามีเบิกบาน เป็นอยู่นับกาลนานตลอดมา
มองดูคนในฐานะของธรรมชาติ ซึ่งล้วนมุ่งหมายมาตรวาดคุณค่า
มีแส่ส่ายไหวเอนเป็นธรรมดา มีแข็งกร้าวก็ว่าประสาคน
เห็นชีวิต เรียนชีวิต จากชีวิต เข้าใจถูกเข้าใจผิดก็สับสน
เคลื่อนคลื่นความคมคิดอันวกวน สู่หนทางการสืบค้นของตนเอง
เหนื่อยไม่เหนื่อยหนักนักหรืออย่างไร รีบหรือรีบร้อนใจจนคร่ำเคร่ง
แม้ยามผ่านลานผ่อนพักดนตรีบรรเลง ก็ยังคล้ายรีบเร่งมิอาจได้ยิน
นั่นก็คงจะงามได้ตามประสา เมืองตึกเชื่อมดินฟ้า-ฟ้าแหว่งวิ่น
ยกภูเขามาแปรป่นทับแผ่นดิน แต่ชีวิตมิอาจสิ้นอยู่เพียงเท่านี้
กลับมามองท้องทุ่งกับฟ้ากว้าง พบบางอย่างยังอยู่เคียงคู่วิถี
ในการแสวงหาทั้งหมดที่มี เป็นความงามความดีอันเดียวกัน
แมลงปอเกาะใบไม้ไหวในนา-น้ำ ชาวนาปักกล้าดำนาขณะนั้น
นกกระยางแปรขบวนบิน-สัมพันธ์ นี่กำลังจะล่วงวันสู่ค่ำคืน
อะไรคือความหมายของแมลงปอ เฝ้าดูรอยต่อระหว่างเรากับสิ่งอื่น
ใบไม้ไหวนกกระยางหญ้าเหยียดยืน กับท้องทุ่งทั่วทั้งผืน-ถึงดินฟ้า
เห็นเราเห็นชีวิตเห็นสรรพสิ่ง เห็นเคลื่อนเห็นนิ่งเห็นปรารถนา
เห็นโลกเห็นจักรวาลกาลเวลา เห็น ไม่เห็นปัญญาว่ากันไป
แต่ได้เห็นเค้าโครงของความคิด ว่าระหว่างเล็กน้อยนิดกับยิ่งใหญ่
ระหว่างนิรันดร์กับเสี้ยววินาทีใด ทั้งหมดนั้นคืออะไร...หนึ่งเดียวกัน
ต่อการกลับมามองท้องทุ่งกับฟ้ากว้าง ก็พอเห็นก้าวย่างอันสร้างสรรค์
พอได้พบสัมผัสอันสัมพันธ์ ที่เกื้อกูลก่อต่อฝัน แห่งชีวิต
นาโก๊ะลี