Skip to main content
ในที่นอนบนรถไฟ....ขณะที่เรื่องราวรอบๆ ตัวค่อยๆ เงียบลงเรื่อยๆ มีเจ้าหน้าที่บางคนที่ยังเดินผ่านไปมาอยู่บ้างเท่านั้น บางครั้งแว่วเสียงกรนเบาๆ มาจากแห่งใดแห่งหนึ่งในตู้โดยสารนี้ แต่คล้ายเราเองก็มิได้ใส่ใจนัก ปล่อยให้ความคิดความฝัน จินตนาการล่องลอยออกไป คิดถึงเรื่องราวและเหตุการณ์หลายอย่าง คิดถึงภาระที่จะต้องจัดการเมื่อเราเดินทางถึงปลายทาง คิดถึงผู้คนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจนั้น ความจริงเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในการสนทนาที่จะมีในสองสามวันข้างหน้า แต่เหมือนก็รับรู้ได้ลางๆ ว่ามันน่าจะมีประเด็นอะไรบ้างที่จะได้เป็นหนทางแห่งการเรียนรู้ สำหรับพวกเราในการสนทนานั้น.... ความคิดคำนึงเคลื่อนไปพร้อมกับรถไฟที่สิ่งเสียงอื้ออึง และพระจันทร์ที่ลอยอยู่ตรงกลางหน้าต่างรถไฟยามนี้.....


เด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกว่า สิ่งที่ชีวิตเขาดำเนินอยู่ขณะนี้ คือการช่วยเหลือครอบครัว เท่าที่เขาพอจะทำได้ พร้อมกับการเรียนรู้ของชีวิต บางครั้งก็รู้สึกว่าภาระเหล่านี้ทำให้ความฝันของเขาหดสั้นลง เมื่อมองไปข้างหน้า เขารู้ว่าหนทางที่เขาเดินอยู่นี้ เขาไม่สามทารถเดินไปได้เพียงลำพัง เพราะหากเขาทำเช่นนั้น นั่นก็หมายถึงการทอดทิ้งคนอีกหลายคนเอาไว้ข้างหลัง ซึ่งเขาก็ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าผู้คนที่อยู่ข้างหลังนั้นจะสามารถเดินต่อไปได้ในหนทางของพวกเขาเอง กระนั้นสำหรับเขาแล้วนี่ก็เป็นเรื่องน่ายินดี นี่อาจเป็นหนทางของเขาแล้ว ความฝันของเขาอาจจะได้อิงอาศัยอยู่กับความฝันของผู้คนที่เขาดูแลอยู่ หรือหากว่า ผู้คนเหล่านั้นได้ค้นพบความฝันของตัวเอง เขาก็อาจจะได้พบความฝันนั้นบ้าง

 

เด็กสาวคนหนึ่งบอกว่า ในกนทางแห่งความฝันของเธอนั้น เธอมิได้เขียนมันไว้เองทั้งหมด หากแต่มีผู้คนมากมายที่ร่วมเขียนกับเธอด้วย ว่าก็พ่อหนึ่ง แม่หนึ่ง และรวมไปถึงญาติพี่น้องทั้งหลายที่อยู่รายล้อมรอบตัวเธอ นั่นทำให้การก้าวเดินของเธอไม่ราบรื่นนัก เพราะเธอต้องเดินอยู่บนหนทางที่ถูกสร้างขึ้นจากคนหลายๆ คน นั่นเองทำให้บางครั้งเธอก็ไม่พร้อมที่จะก้าวไป หลายครั้งเธอบอกว่าเหน็ดเหนื่อย และนั่นคือช่วงเวลาที่ทำให้เธอไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ นั่นทำให้เธอห่างเหินจากเพื่อนๆ ที่กำลังเดินอยู่บนหนทางแห่งการเรียนรู้ หลายครั้งพวกเขาทั้งหลายก็ไม่ได้เข้าใจสภาพสภาวะที่เธอเผชิญอยู่ ขณะที่เธอเองก็ไม่พร้อมจะบอกกล่าวเรื่องราวนั้นแก่ผู้ใด

 

เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งบอกว่า เขาได้ปลดเปลื้องบางภาระแห่งชีวิตออกไปได้มากแล้ว เพื่อจะได้พาตัวเองมาสู่หนทางแห่งการเรียนรุ้ เขาอาจจะเสียใจอยู่บ้างที่เพื่อนหลายคนไม่สามารถก้าวเดินอยู่ด้วยกัน แน่นอนว่า หลายคนรั้งที่เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังคงความฝันไว้เสมอว่า สักวันเพื่อนๆ จะได้เดินไปด้วยกันบนหนอทางแห่งการเรียนรู้ที่ดีงามของชีวิต

 

เด็กสาวอีกคนหนึ่งบอกว่า เธอได้เดินทางมาถึงช่วงหนึ่งแห่งความฝันของเธอ แต่ช่วงเวลานี้เธอก็เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ต่อการกระทำบางอย่าง ของผู้คนที่เดินมาก่อนเธอบนหนทางสายนี้ พวกเขาเหล่านั้น อาศัยความเก่า อาศัยการมาก่อนเพื่อกลั่นแกล้งเธอและคนอื่นๆ ด้วยการอ้างว่าเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่งดงามให้แก่พวกเขาทั้งหลาย จนทำให้ในย่างก้าวแรกๆ ที่เดินอยู่นี้เธอรู้สึกเหน็ดเหนื่อย และเบื่อหน่าย จนเธอยอมที่จะถูกผู้คนเหล่านั้นก่นด่าอย่างหยาบคาย เมื่อเธอมิได้ยอมจำนนต่อการกระทำที่ไร้สาระ และไม่สร้างสรรค์เหล่านั้น ของรุ่นพี่ที่เรียกว่า รับน้อง และเมื่อนั้น เธอก็หวังว่าเธอจะพบจังหวะการก้าวเดินที่เหมาะสม เพื่อตามความฝันของเธอต่อไป

 

ในที่นอนบนรถไฟ....ราตรีนี้ก็เงียบงันลงเรื่อยๆ นั่นทำให้เราได้ยินเสียงรถไฟดังขึ้นหรือเปล่า... ด้วยความรู้สึกห่วงใยต่อผู้คนหลายคน อย่างน้อยก็คนที่เรารู้จักมักคุ้น พวกเขาทั้งหลายต่างก็กำลังเดินทางตามหาความฝันของตัวเอง ใช่ว่า พวกเขาเหน็ดเหนื่อย แต่เราก็ดีใจว่า ขณะที่พวกเขาเดินทางอยู่ใยหนทางแห่งการเรียนรู้นั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ชีวิตของพวกเขาทั้งหลายก็คือความดีงามอยู่นั่นเอง..

 

 

บล็อกของ นาโก๊ะลี

นาโก๊ะลี
บางกอก เมืองหลวงที่รวมของทุกสิ่งในประเทศ ที่รวมของคนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ความหลากหลายตามที่ใครต่อใครบอกกล่าวกันว่า นั่นเป็นเรื่องสวยงาม ก็ว่ากันไป บางคนก็อาจเข้าใจได้ตามที่กล่าว แต่บางคนก็แค่ตีฝีปากเพื่อให้ดูดีมีรสนิยม ก็แล้วแต่ต้นทุนของใครของมัน มีความจริงอันหนึ่งก็คือ ในบางกอก ที่ที่มีทุกอย่างให้แสวงหา แต่ก็กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่โหยหาอิสรภาพ ซึ่งดูเหมือนเมืองที่มีทุกสิ่งอย่างบางกอก จะไม่มีสิ่งนี้ หรือเปล่า...มั้ง...
นาโก๊ะลี
เดือนธันวาคม....คล้ายกับว่า ผู้คนมากมายล้วนให้คุณค่า ให้ความสำคัญ หรือให้ความหมายต่อเดือนนี้ เป็นพิเศษ อย่างนั้นหรือเปล่า อาจจะด้วยว่ามันเป็นเดือนสุดท้ายของปี และก็เป็นเดือนของฤดูหนาว ที่ผู้คนจะได้ออกเดินทาง จะได้ท่องเที่ยว เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวๆ เป็นเดือนที่ทุกคนคล้ายอยากให้ถึง หรือไม่อยากให้ถึง เพราะนั่นก็เป็นสัญลักษณ์ว่า อีกปีหนึ่งกำลังจะผ่านไปแล้ว สายลมที่นำพาลมหนาวมาหยุดพัดไปบ้างแล้ว ในชนบท สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความเหน็บหนาวที่แทรกอยู่ในอากาศ ดังนั้นแม้ไม่มีลมหนาว ก็ยังหนาว ใต้ถุนเรือน หรือลานบ้าน เป็นที่ก่อไฟให้ล้อมวงผิงไฟ เช้าๆ หรือยามค่ำคืน…
นาโก๊ะลี
  ริมฝั่งน้ำที่ไม้ได้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าใดนัก ลมเหนือพัดพาไอหนาวมาถึง และนั่นก็พอก่อให้ผืนน้ำเกิดก่อเป็นคลื่นเล็กๆ เคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง หรือแปลเปลี่ยนทิศทางไปตามแรงลม นั่นมิได้มีอะไรพิเศษแตกต่างออกไป หากแต่ว่า ในผืนน้ำอันมิได้กว้างใหญ่เท่านั้นนั้น ปรากฏเศษหญ้าที่ลอยไปตามน้ำและลม เราเห็นแล้ว มันเคลื่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย มันเคลื่อนไปเพราะไม่ใช่ต้นหญ้าอีกต่อไปแล้ว มันไม่มีชีวิต มันไม่มีที่ทางให้หยัดยืน มันมิได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตัวเอง มันย่อมไม่เรียกว่ามันดำรงอยู่  
นาโก๊ะลี
สิ่งแรกที่อยากบอกเล่าก็คือเรื่องของความมหัศจรรย์ ติช นัท ฮันห์ บอกว่า ความมหัศจรรย์ของชีวิต ไม่ใช่อยู่ที่การเดินบนน้ำได้ หรือการเหาะได้ แต่การยืน และเดินอยู่บนผืนแผ่นดิน นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว เช่นนั้นแล้วยามใดที่ชีวิตมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น นั่นก็คงเป็นความมหัศจรรย์ด้วยนั่นเอง
นาโก๊ะลี
การสนทนายามเช้า ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์... มีบางสิ่งขาดหาย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั่นคือ จดหมาย และไปรษณียบัตร เมื่อเราเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มรู้จักมองหญิงสาว เริ่มหลงรักสาว เริ่มเรียนรู้วิธีจีบหญิง ช่วงเวลานั้น การสื่อสารที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถสื่อสารได้ ว่าก็มากกว่าการพูดคุย เพราะการพูดคุยเรามักเขินอายกันอยู่มาก การสื่อสารที่ว่านั้นก็คือ จดหมาย
นาโก๊ะลี
อันที่จริง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นมาตลอดชีวิตกระมัง แต่เราก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งหลายก็อาจจมอยู่ในสภาพวะเช่นนี้อยู่เสมอ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง พยายามเปลี่ยนอยู่บ้าง หรือสยบยอมอยู่บ้าง นั่นก็คงสุดแท้แต่วิถีของแต่ละคน ผิดหรือถูกก็อาจจะไม่มีอยู่ ความเหมาะสมของแต่ละคนคงจะเป็นเกณฑ์ได้กระมัง
นาโก๊ะลี
ฉันจะดำรงอยู่เพื่อเธอ                      และฉันเรียนรู้เสมอเป็นอย่างนี้ เราเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมี                มาหลอมเป็นวิถีเป็นทางของเรา ฉันยังได้ยินเสียงของเธอ                 ถ้อยคำนำเสนอมาบอกเล่า พาไปค้นแก่นแท้จากวัยเยาว์             เห็นดวงจิตเก่าซึ่งงดงาม ฉันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ  …
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างก็เคยล้มเหลว หรือประสบผลสำเร็จ นั่นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกออกไป เราทั้งหลายรับรู้และประสบเช่นนั้นเสมอมาว่ากันไป แต่สิ่งที่เรานึกถึงในช่วงเวลานี้ก็คือ หลายครั้งหลายคราวที่เราประสบความล้มเหลวกับกิจการงานแห่งชีวิต เรามักมองเห็นเหตุปัจจัยมากมายที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยอันนำมาสู่ความล้มเหลวนั้น นี่ก็ว่าถึงคนอื่นๆ รอบๆ ตัวเราด้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยนั้น คนเดียว และสาเหตุเดียวที่มิได้เกี่ยวข้อง และอยู่นอกเหนือเงื่อนไขนั้นก็คือเรา (หรือเปล่า...มั้ง) หรือว่าเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เห็นเป็นสาเหตุอันเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ว่ากันไปตามสภาพที่พบทั่วไป…
นาโก๊ะลี
เช้าวันนี้....มีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความรู้สึกบอกเราว่า นี่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูที่ใครๆ หลายคนนิยมชมชอบ หมอกจางๆ ทำให้ทางเดินในสวนสลัวราง มองไปไกลๆ ในบึงเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่ในความสลัวนั้น นับเป็นภาพที่งดงามไม่น้อยนัก พระอาทิตย์สีแดงดวงโตๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นจากสายหมอก นับเป็นยามเช้าที่เบิกบานและงดงามได้ไม่น้อยทีเดียว
นาโก๊ะลี
“ทำไม” เข้าใจว่า นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในชีวิต ในกระบวนการเรียนรู้ และการเติบโตของผู้คนส่วนใหญ่ ว่าก็เมื่อเริ่มรู้จักกับการตั้งคำถาม หรือเริ่มสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในชีวิต
นาโก๊ะลี
เมื่อยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรนัก เวลาที่เราเห็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเหนือกว่าธรรมชาติ เราจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ เช่น การบินของเรือบิน เราคิดว่านั่นเป็นความพิเศษที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วยังมีสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ ไฟฟ้า ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรารู้มาว่ามันเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ และเราก็คิดว่า นั่นไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มันคือความเก่งของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา
นาโก๊ะลี
แผ่นดินกี่แดนใด               มีเอาไว้ให้พักพิง ยามเหนื่อยได้แอบอิง         หลบมาพักเพื่อฟื้นฟู ออกไปจากบ้านเก่า            จากวัยเยาว์ไปเรียนรู้ เติบโตค่อยมาดู                 ผืนแผนดินแห่งวันวาน หรือจากแล้วไปลับ             เดินทางกลับเลยทางผ่าน เป็นเวลาชั่วกาลนาน           ที่ลับล่วงแล้วพ้นเลย…