Skip to main content

การสนทนายามเช้า ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์...

มีบางสิ่งขาดหาย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั่นคือ จดหมาย และไปรษณียบัตร

เมื่อเราเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มรู้จักมองหญิงสาว เริ่มหลงรักสาว เริ่มเรียนรู้วิธีจีบหญิง ช่วงเวลานั้น การสื่อสารที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถสื่อสารได้ ว่าก็มากกว่าการพูดคุย เพราะการพูดคุยเรามักเขินอายกันอยู่มาก การสื่อสารที่ว่านั้นก็คือ จดหมาย

\\/--break--\>

ว่ากันว่า การเขียนจดหมาย มันไม่ได้มีเฉพาะถ้อยคำหรือเรื่องราวที่เล่ามาเท่านั้น แต่มันยังมีองค์ประกอบของความรู้สึก หรือกระทั่งคลื่นความคิด ซึ่งมันปรากฏอยู่ในรอย ปากกา นั่นจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อเรารับข่าวสาร เรามักได้รับคลื่น และอารมณ์ด้วย นั่นมันงดงามไม่น้อยทีเดียว แล้วเมื่อเราติดต่อสื่อสารกันทางจดหมายประจำ ไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อน หรือคนรัก เราก็มักจะตื่นเต้นเวลาบุรุษไปรษณีย์ผ่านมา หรือลุ้นกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน ว่ากันว่านั่นก็เป็นความหรรษาหนึ่งของชีวิตทีเดียว


นั่นหรือเปล่าที่ทำให้การโทรหากันแต่ละครั้งมันมีความหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเราอยู่ต่างเมือง ค่าโทรศัพท์มันแพงเหลือหลาย...


ข้อความสั้น ที่เราส่งถึงกันในช่วงเวลานั้น ก็คือ ไปรษณียบัตร แล้วเราก็มักจะชอบเวลาที่เราได้รับ มันอาจจะมาจากเมืองโน้นเมืองนี้ พร้อมกับรูปสวยๆ นั่นก็น่ารื่นรมย์ไม่เบาเลยกระมัง


เวลาผ่านไป เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคการสื่อสารไร้พรมแดน คนทั้งโลกใช้โทรศัพท์พกพา ใช้คอมพิวเตอร์พกพา เชื่อมต่อเข้าสู่โลกเสมือน (อินเตอร์เน็ต) ได้จากทุกที่ คุยกันได้จากทุกที่ แล้วคนก็คุยกันมาก ว่ากันว่า เพื่อนฝูงคนรู้จักที่ห่างหายกันไปนานๆ ก็ได้กลับมาพบกันในโลกเสมือนซึ่งมีช่องทางมากมาย เราได้คุยกับคนที่อยู่ไกลๆ ได้มากขึ้น เราสื่อสารกับคนทั่วไป หลายคราวก็ว่าข้อมูลข่าวสารเดินทางรวดเร็วฉับไว นั่นน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกระมัง ได้คุยได้สื่อสาร เข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว นี่คือการยกระดับอารยะธรรมมนุษย์หรือเปล่า.....


ด้านหนึ่งของโลก ฉายภาพที่ต่างไป แต่ด้านหนึ่งของโลก ก็ยังให้ภาพแบบเดิม ภาพของความขัดแย้ง ภาพการกดขี่ ภาพของความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา เราคุยกันมากขึ้น สื่อสารกันหลากหลายทาง แต่ความขัดแย้ง ปัญหาต่างๆ ก็ยังไม่ได้ต่างไปจากเดิม


คำถามง่ายๆ คือว่า การสื่อสารทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นไปเพื่ออะไร มีคุณประโยชน์อะไรต่อการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ เครื่องมือสื่อสารภายนอกพัฒนาไปไกลกว่าไกล แต่เครื่องมือสื่อสารภายในของเราเปลี่ยนแปลงไปได้แค่ไหน


หลายคนอยากกลับมาสู่การสื่อสารแบบเก่า ช้า แต่เราได้เห็นองค์ประกอบของชีวิตกันและกันมากขึ้น นั่นเป็นเรื่องน่าสนใจ และเป็นเรื่องอันน่ายินดีไม่น้อยกระมัง

 

 

บล็อกของ นาโก๊ะลี

นาโก๊ะลี
บางกอก เมืองหลวงที่รวมของทุกสิ่งในประเทศ ที่รวมของคนหลากหลายเผ่าพันธุ์ ความหลากหลายตามที่ใครต่อใครบอกกล่าวกันว่า นั่นเป็นเรื่องสวยงาม ก็ว่ากันไป บางคนก็อาจเข้าใจได้ตามที่กล่าว แต่บางคนก็แค่ตีฝีปากเพื่อให้ดูดีมีรสนิยม ก็แล้วแต่ต้นทุนของใครของมัน มีความจริงอันหนึ่งก็คือ ในบางกอก ที่ที่มีทุกอย่างให้แสวงหา แต่ก็กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่โหยหาอิสรภาพ ซึ่งดูเหมือนเมืองที่มีทุกสิ่งอย่างบางกอก จะไม่มีสิ่งนี้ หรือเปล่า...มั้ง...
นาโก๊ะลี
เดือนธันวาคม....คล้ายกับว่า ผู้คนมากมายล้วนให้คุณค่า ให้ความสำคัญ หรือให้ความหมายต่อเดือนนี้ เป็นพิเศษ อย่างนั้นหรือเปล่า อาจจะด้วยว่ามันเป็นเดือนสุดท้ายของปี และก็เป็นเดือนของฤดูหนาว ที่ผู้คนจะได้ออกเดินทาง จะได้ท่องเที่ยว เป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวๆ เป็นเดือนที่ทุกคนคล้ายอยากให้ถึง หรือไม่อยากให้ถึง เพราะนั่นก็เป็นสัญลักษณ์ว่า อีกปีหนึ่งกำลังจะผ่านไปแล้ว สายลมที่นำพาลมหนาวมาหยุดพัดไปบ้างแล้ว ในชนบท สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือความเหน็บหนาวที่แทรกอยู่ในอากาศ ดังนั้นแม้ไม่มีลมหนาว ก็ยังหนาว ใต้ถุนเรือน หรือลานบ้าน เป็นที่ก่อไฟให้ล้อมวงผิงไฟ เช้าๆ หรือยามค่ำคืน…
นาโก๊ะลี
  ริมฝั่งน้ำที่ไม้ได้กว้างใหญ่ไพศาลเท่าใดนัก ลมเหนือพัดพาไอหนาวมาถึง และนั่นก็พอก่อให้ผืนน้ำเกิดก่อเป็นคลื่นเล็กๆ เคลื่อนเข้าสู่ฝั่ง หรือแปลเปลี่ยนทิศทางไปตามแรงลม นั่นมิได้มีอะไรพิเศษแตกต่างออกไป หากแต่ว่า ในผืนน้ำอันมิได้กว้างใหญ่เท่านั้นนั้น ปรากฏเศษหญ้าที่ลอยไปตามน้ำและลม เราเห็นแล้ว มันเคลื่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย มันเคลื่อนไปเพราะไม่ใช่ต้นหญ้าอีกต่อไปแล้ว มันไม่มีชีวิต มันไม่มีที่ทางให้หยัดยืน มันมิได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตัวเอง มันย่อมไม่เรียกว่ามันดำรงอยู่  
นาโก๊ะลี
สิ่งแรกที่อยากบอกเล่าก็คือเรื่องของความมหัศจรรย์ ติช นัท ฮันห์ บอกว่า ความมหัศจรรย์ของชีวิต ไม่ใช่อยู่ที่การเดินบนน้ำได้ หรือการเหาะได้ แต่การยืน และเดินอยู่บนผืนแผ่นดิน นี่ก็เป็นความมหัศจรรย์แล้ว เช่นนั้นแล้วยามใดที่ชีวิตมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้น นั่นก็คงเป็นความมหัศจรรย์ด้วยนั่นเอง
นาโก๊ะลี
การสนทนายามเช้า ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ออนไลน์... มีบางสิ่งขาดหาย และเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย นั่นคือ จดหมาย และไปรษณียบัตร เมื่อเราเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มรู้จักมองหญิงสาว เริ่มหลงรักสาว เริ่มเรียนรู้วิธีจีบหญิง ช่วงเวลานั้น การสื่อสารที่ชัดเจนที่สุดที่เราสามารถสื่อสารได้ ว่าก็มากกว่าการพูดคุย เพราะการพูดคุยเรามักเขินอายกันอยู่มาก การสื่อสารที่ว่านั้นก็คือ จดหมาย
นาโก๊ะลี
อันที่จริง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เราเห็นมาตลอดชีวิตกระมัง แต่เราก็รู้สึกถึงมันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และเราทั้งหลายก็อาจจมอยู่ในสภาพวะเช่นนี้อยู่เสมอ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง พยายามเปลี่ยนอยู่บ้าง หรือสยบยอมอยู่บ้าง นั่นก็คงสุดแท้แต่วิถีของแต่ละคน ผิดหรือถูกก็อาจจะไม่มีอยู่ ความเหมาะสมของแต่ละคนคงจะเป็นเกณฑ์ได้กระมัง
นาโก๊ะลี
ฉันจะดำรงอยู่เพื่อเธอ                      และฉันเรียนรู้เสมอเป็นอย่างนี้ เราเก็บเกี่ยวเรื่องราวมากมี                มาหลอมเป็นวิถีเป็นทางของเรา ฉันยังได้ยินเสียงของเธอ                 ถ้อยคำนำเสนอมาบอกเล่า พาไปค้นแก่นแท้จากวัยเยาว์             เห็นดวงจิตเก่าซึ่งงดงาม ฉันจะเป็นหนึ่งเดียวกับเธอ  …
นาโก๊ะลี
เราทั้งหลายต่างก็เคยล้มเหลว หรือประสบผลสำเร็จ นั่นก็ไม่ได้มีอะไรแปลกออกไป เราทั้งหลายรับรู้และประสบเช่นนั้นเสมอมาว่ากันไป แต่สิ่งที่เรานึกถึงในช่วงเวลานี้ก็คือ หลายครั้งหลายคราวที่เราประสบความล้มเหลวกับกิจการงานแห่งชีวิต เรามักมองเห็นเหตุปัจจัยมากมายที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยอันนำมาสู่ความล้มเหลวนั้น นี่ก็ว่าถึงคนอื่นๆ รอบๆ ตัวเราด้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยนั้น คนเดียว และสาเหตุเดียวที่มิได้เกี่ยวข้อง และอยู่นอกเหนือเงื่อนไขนั้นก็คือเรา (หรือเปล่า...มั้ง) หรือว่าเราอาจจะรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ก็เห็นเป็นสาเหตุอันเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ว่ากันไปตามสภาพที่พบทั่วไป…
นาโก๊ะลี
เช้าวันนี้....มีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ความรู้สึกบอกเราว่า นี่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ฤดูที่ใครๆ หลายคนนิยมชมชอบ หมอกจางๆ ทำให้ทางเดินในสวนสลัวราง มองไปไกลๆ ในบึงเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่ในความสลัวนั้น นับเป็นภาพที่งดงามไม่น้อยนัก พระอาทิตย์สีแดงดวงโตๆ ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นจากสายหมอก นับเป็นยามเช้าที่เบิกบานและงดงามได้ไม่น้อยทีเดียว
นาโก๊ะลี
“ทำไม” เข้าใจว่า นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในชีวิต ในกระบวนการเรียนรู้ และการเติบโตของผู้คนส่วนใหญ่ ว่าก็เมื่อเริ่มรู้จักกับการตั้งคำถาม หรือเริ่มสงสัยใคร่รู้เรื่องราวในชีวิต
นาโก๊ะลี
เมื่อยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรนัก เวลาที่เราเห็นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามันเหนือกว่าธรรมชาติ เราจะคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ เช่น การบินของเรือบิน เราคิดว่านั่นเป็นความพิเศษที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วยังมีสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งรถยนต์ โทรทัศน์ วิทยุ ไฟฟ้า ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรารู้มาว่ามันเป็นผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ และเราก็คิดว่า นั่นไม่ได้เป็นไปโดยธรรมชาติ มันคือความเก่งของมนุษย์ที่สร้างมันขึ้นมา
นาโก๊ะลี
แผ่นดินกี่แดนใด               มีเอาไว้ให้พักพิง ยามเหนื่อยได้แอบอิง         หลบมาพักเพื่อฟื้นฟู ออกไปจากบ้านเก่า            จากวัยเยาว์ไปเรียนรู้ เติบโตค่อยมาดู                 ผืนแผนดินแห่งวันวาน หรือจากแล้วไปลับ             เดินทางกลับเลยทางผ่าน เป็นเวลาชั่วกาลนาน           ที่ลับล่วงแล้วพ้นเลย…