ทนายจำเลย ชูรถเมล์จำลอง แล้วถามพยานโจทย์ ซึ่งก็คือ Jacky ตำรวจที่จับกุมจำเลยนั้นได้นั่นเอง ทนายจำเลยถามว่า รู้ได้ไงว่า จำเลยคือคนกระทำผิด Jacky บอกว่า ก็เขาเป็นคนไล่จับจำเลยมา แล้วจำเลยก็หนีขึ้นรถเมล์ ทนายชูรถจำลองนั้นแล้วถามว่า เมื่อคุณมองดูรถเมล์ คุณเห็นมันทั้งคันหรือเปล่า เขาก็บอกว่า เปล่า อีกข้างหนึ่งก็มองไม่เห็น ทลายจำเลยก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณก็ไม่อาจบอกได้ว่า อีกฝั่งหนึ่งของรถเมล์เกิดอะไรขึ้น การโต้เถียงประเด็นนี้ ทำให้ศาลพิพากษา ยกฟ้อง แต่นี่เป็นเพียงเรื่องราวในหนังครับ วิ่งสู้ฟัดภาคแรก ของเฉินหลง แต่เรื่องนี้ มันมีเรื่องน่าสนใจ....
เมื่อมนุษย์เชื่อมั่นในพระเจ้าของเขา เคารพพระเจ้า นอบน้อมต่อพระเจ้า ไม่กล้าดูหมิ่นพระเจ้า แต่ขณะเดียวกัน เขาก็สามารถเหยียบย่ำ กล่าวร้าย ไม่เคารพพระเจ้าของคนอื่น นั่นก็หมายความว่า พระเจ้าของเราเจ๋งที่สุด แต่พระเจ้าของคนอื่น เป็นของเก๊ อุดมการณ์ของเราคือหนทางที่ดีงาม ขณะที่อุดมคติของคนอื่นเป็นเรื่องงมงาย ขณะที่คนทั้งโลกพูดว่า ความแตกต่างหลากหลายคือความงาม แต่คนทั้งโลกก็มักไม่พอใจที่มีคนคิดต่างจากเรา
เรามองไม่เห็นอีกด้านของรถเมล์เสมอ...และหลายครั้งที่เราพบว่า ความจริง เราก็ไม่ได้อยากมองอีกด้านหนึ่งนั้น เราอาจจะกลัว กลัวว่าอุดมการณ์ของเราจะสั่นคลอน หรือกลัวความไม่มั่นคงในหัวใจของตัวเอง เราจึงเลือกที่จะปฏิเสธที่จะมองที่จะสัมผัส ขณะที่เราเลือกที่จะไม่มอง แต่เรากลับเรียกร้อง ให้อีกฝ่ายหนึ่ง มองอุดมการณ์ของเรา เราไม่ฟัง เพราะเราเอาแต่พูด เราจึงเรียกร้องให้คนอื่นฟัง แต่ความจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ไม่มีใครฟังใคร เพราะทุกคนก็เอาแต่พูด และมนุษย์ก็เลือกฟังเสียงสนับสนุน มากกว่าเสียงคัดค้าน
จะทำอย่างไรได้ เมื่อการยอมรับ หรือการเปลี่ยนแปลง ในหลายแง่มุม มันเป็นความรู้สึกเสียฟอร์ม หลายครั้งที่ถ้อยคำของคน ก็เป็นเครื่องกั้นการก้าวเดินไปข้างหน้าของตัวเอง
อุดมการณ์ อาจเป็นชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ การศึกษาถึงแก่นแท้ จะทำให้อุดมการณ์มีชีวิต มันอาจเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ มันมีความอดทนมากพอที่จะรอ มันอ่อนน้อมพอที่จะฟัง และมันอ่อนโยนพอที่จะสามารถแปรเปลี่ยนได้ หากได้พบทางที่ดีกว่า หากว่าอุดมการณ์มันไม่ได้ตอบสนองต่อตัวตนของตัวเองเท่านั้น หากแต่มันตอบสนองต่อความโลกและผู้คนอย่างจริงแท้ นั่นก็คงงดงามไม่น้อย