Skip to main content

แม่กับพ่อเริ่มทำสวนผักข้างๆ กุฏิ ผักที่ปลูกง่ายที่สุดคือต้นอ่อมแซ่บ พืชตระกูลล้มลุก กลีบดอกบอบบางสีม่วงอมชมพู สีของมันสวยหวานสดใส คนทั่วไปเรียกว่า บุษบาริมทาง แต่คนอีสานมองเห็นเป็นของกินได้ จึงเรียกอ่อมแซ่บ คงมาจากการแกงอ่อมแล้วอร่อยกระมัง ลูกแม่ต้องกินทุกวัน เป็นเมนูผักลวก


ผักที่ปลูกเพิ่มเติม จำพวกตำลึง บวบ ผักบุ้ง หญ้าปักกื่งซึ่งเป็นสมุนไพร ใช้พื้นที่เดียวกับสวนผักของวัด ซึ่งมีแม่ชีและโยมดูแลอยู่ แต่เดิมจะเป็นผักจำพวกต้นหอม ผักชี ผักบุ้ง พริก เพราะอาหารจากการบิณฑบาตรอาจไม่พอเลี้ยงทุกคน วัดเล็กๆที่มีคนอยู่ประจำไม่มากนัก แต่บางครั้งคณะลูกศิษย์ของหลวงพ่อก็มาอยู่ปฏิบัติหลายคน


สำหรับลูก อาหารหลักคือผัก ผลไม้ โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูผลไม้หลากหลายพอดี ลูกจึงมีของชอบหลายอย่าง โดยเฉพาะมังคุด แต่ก็กินได้ครั้งละน้อยนิด มีสิ่งหนึ่งที่แม่กับพ่อต้องหามาให้ได้จากที่ใกล้หรือไกลก็ตาม คือมะพร้าวอ่อน ลูกต้องกินน้ำมะพร้าวอ่อนต่างน้ำ บางคืนแม่ต้องแบกมะพร้าวทั้งทะลายค่อยๆเดินไต่ระดับความสูงชันของเส้นทางขึ้นวัด ที่มีเพียงแสงสลัวจากไฟฉายนำทาง แต่เพราะหัวใจของแม่อยู่ที่ลูกตลอดเวลา แม่ไม่เคยเหนื่อยเลย


8/6/51

ตื่น 05.30 . ยกแขนข้างล่ะ 40 ครั้ง ยกขาข้างล่ะ 40 ครั้ง พ่อมานวด บริหารขา เท้าให้ หลับถึง 06.18 . ตื่นกินน้ำผึ้ง 2 อึกเล็ก กินธัญพืช แม่ทำยาธิเบตให้กิน พ่อปั่นน้ำเขียว น้ำอุ่น ชงยาญี่ปุ่นกิน แม่ไปทำกับข้าว

ออกมาด้านนอก ถ่าย กินน้ำเขียว พ่อไปทำกับข้าวช่วยแม่

กินขาไก่ กินทองม้วน หมดงบของผิดกฏหมายวันนี้

อ่านละคร อ่านทุ่งหญ้าแอฟริกา นอนหลับ ตื่นกินลวกผักบุ้ง ตำลึง บวบ(กินนิดหน่อย)ถั่ว นอนต่อ กินข้าวเหนียว 1ปั้นเล็กกับแกงปลาใส่ฟักทอง กินนึ่งฟักทอง กินมันนึ่ง กินต้มจืดผัก 2 ช้อน

หลวงพ่อมาสอนธรรมะประมาณ 30 นาทีแล้วกลับ กินข้าวเหนียว 1 ปั้นเล็กกับแกงปลา ต้มจืดหลัก 3 ช้อน กินมันนึ่ง ดูละครธรรมะเรื่องพระเรวตะ-ลีลาวดี แม่นวดน้ำมัน กดลมปราณ ขูดซาให้ กินยาธิเบต น้ำอุ่น นอนหลับนาน ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง ลมเย็นสบาย ตื่น กินยาธิเบต บ่าย 3 โมง น้ำอุ่น ยังไม่กินข้าวเที่ยง ฝนเริ่มหยุดตก พ่อให้กินยาธิเบตผิดเวลา ตอนนี้บ่ายโมง พ่อคิดว่าบ่าย 3 โม ง กินมันต้ม กินข้าวเหนียวกับกล้วย มาอยู่ข้างใน ฉี่ พ่อกอด แม่เข้ามา เปิด CDการ์ตูนธรรมะ อาแจ๋ว อาเกริก ย่า ปุ้ย น้องก้องมาเยี่ยม เอามุ้ง ปลา มัน มาให้ แม่นวดมือให้ข้างหนึ่ง แล้วไปทำกับข้าว พวกอาแจ๋วกลับ ฝนยังไม่หยุดตก พ่อนวดให้ต่อ ดู CD ไปด้วย กินมังคุด 2 ลูก น้ำอุ่น นอนหลับ พ่อไปทำกับข้าวช่วยแม่ เอามัน เอาน้ำไว้ให้ ฟังเพลงจีนออกแนวธิเบตด้วยเพราะดี กินมันต้ม อ่านหนังสือ นอนเล่น พ่อมา เอาถั่วเขียวมาให้กิน 2 คำใหญ่ รู้สึกอืด ดูการ์ตูน พ่อไปเอาผักกับแม่ ลุกนั่ง กินน้ำผึ้ง 2 อึกเล็ก แก้อืด CD การ์ตูนจบ ฟังเพลงไป นอนหลับไป พ่อแม่มา กินน้ำเขียว กินยาญี่ปุ่น ดู CD การ์ตูนแผ่น 2 ต่อ

กินลวกผักบุ้ง ผักสลัดสด กินข้าวปลาปิ้ง ต้มจืดผัก แกงปลา ล้างมือ ล้างปาก ถ่าย ฉี่

แม่ชีมาเยี่ยม คุยเรื่องการรักษา แม่ชีมาอยู่วัดตอนปี 2545 แม่ชีกลับ

กินน้ำอุ่น กินมัน แม่อ่านเรื่องคำอธิษฐานบารมี เพื่อสร้างเหตุปัจจัยตราไว้ในดวงจิตให้ฟัง แม่เช็ดตัวให้ กินยาธิเบต กินน้ำไม่ค่อยอุ่นเท่าไหร่ แม่อาบน้ำแล้วจะมานวดให้ นอนหลับ ฉี่ตอน 3 ทุ่ม กินกล้วย 1 ลูก ฉี่ตอน 5 ทุ่ม

หิวข้าว พ่อแม่ยังไม่เอามาให้กิน ร้องไห้ พ่อลุกขึ้นมา กินข้าวเหนียว น้ำผึ้ง ปิ้งปลา มังคุด นอน แม่เช็ดตัวให้ นอนหลับสบาย


ตอนนั้น ลูกร้องไห้ด้วยความหิวในเวลากลางคืน แม่รู้ว่าลูกฝืนความรู้สึกอยากในเรื่องอาหาร ที่ต้องกินเฉพาะผัก ผลไม้ น้ำผึ้ง มานาน มีของคาวบ้างคือปลาน้ำจืดหมกด้วยใบตองกล้วยแล้วนึ่ง เพราะอาหารของลูกต้องไม่มัน ลูกจึงยังมีอาการหงุดหงิดต่อความอยาก แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องขอกินในสิ่งที่ต้องห้าม นอกจากขอให้ได้กินขนม “ขาไก่” และ “ทองม้วน” จนกว่าจะหมด


เมื่อหมดแล้ว ลูกเขียนไว้ว่า “สิ่งผิดกฏหมายหมดไปแล้ว” และไม่ได้ขอกินอีกเลย

บันทึกของลูกวันต่อมา บอกว่าอาปุ่นมาเยี่ยม มีคนมากันเยอะมาก และเรื่องการกินอาหาร กินยาตามปกติ สิ่งพิเศษที่ลูกบันทึกเอาไว้ คือเรื่องคำเทศนาของหลวงพ่อ


9/6/51

หลวงพ่อมาเทศน์สอนเรื่องจิต นอนฟังแล้วก็นอนสมาธิอยู่นาน หลวงพ่อมาเทศน์แล้วทำให้สบายจิตใจดี สิ่งที่หลวงพ่อนำมาเทศน์ให้ฟังนั้น ยิ่งใหญ่กว่าได้ทอง 10 บาท ได้รถ 10 คัน ธรรมะนี้แหละคือยาดีที่หลวงพ่อให้ฉัน ก่อนหลวงพ่อกลับ บอกว่าจะเอาCD เรื่องกรรมมาให้ ตอนนอนสมาธิฝันว่า หลวงพ่อเอาของมาให้ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแล้วหลวงพ่อก็ขอกล่อง กางกล่องออก แล้วเดินกลับ หลวงพ่อบอกว่าต้องหาสายพานให้ปุ้ย เราบอกว่าจะหาช่วย

อาติ๋มเช็ดตัวให้ ลุกนั่งกินมังคุด พวกอาปุ่นกินข้าว ส้มตำ แกงหน่อไม้ ลวกผัก อาหารมากมายน่ากินมากเลย พ่อเอาแกงปลาไปอุ่น กินบ้าง ปิ้งปลากับข้าวสวย ต้มจืดผัก แกงปลากับข้าวเหนียว 1 ปั้น กินมัน นอนเล่นคุยกันไป


อาปุ่น พ่อ แม่ ช่วยกันนวดน้ำมันให้ลูก ลูกพูดว่าอยากไปธิเบต อยากบวชชี อยากได้บ้านแบบที่วัด จากนั้นอาปุ่นสอนแม่ให้ตรวจอาหาร ถ้าต่อมไทมัสเปิด แสดงว่ากินได้ วิชาตรวจอาหารนี้ มีวิธีการที่ซับซ้อน แต่เป็นวิชาที่ลุงยุทธของลูกไปเรียนมาจากญี่ปุ่น อาปุ่นเป็นศิษย์เอกของลุงยุทธได้ถ่ายทอดวิชานี้เอาไว้ ตลอดเวลาต่อมา แม่จะตรวจอาหารทุกอย่างก่อนที่จะให้ลูกกิน


ก่อนที่แม่จะไปทำกับข้าว แม่อุ้มลูกเข้ามานอนข้างใน แล้วเปิด CDธรรมะ เรื่องชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน ให้ฟัง


วันที่ 10 เช้า ลูกบันทึกไว้ว่า อาปุ่นช่วยนวดให้ลูก พ่อเช็ดมือให้ พ่อนวดบริหารให้ แม่กับอาปุ่นไปทำกับข้าว พ่อไปรอรับหลวงพ่อที่กลับจากบิณฑบาตร และเรื่องการกินอาหารตามปกติของลูก

ที่พิเศษคือ แม่ไปส่งอาปุ่นที่สกลนคร เคลียร์งาน และพาน้านีมาด้วย แม่ทำอาหารแล้วตรวจอาหาร กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นถั่วเขียว ลูกกินอาหารแล้ว แม่เปิด CD เรื่องหลวงปู่มั่นให้ฟังด้วย แล้วลูกก็นอนหลับยาวนาน


พ่ออ่านบันทึกที่เขียนไว้ในเล่มที่หมอสุธีให้มา พ่ออ่านแล้วร้องไห้ แอบดู ตื่น พ่อยังร้องไห้ พ่อเขียนเรื่องบุญกรรมของป่าน กินแตงโม แตงขาว ลวกผักบุ้ง กำลังกินข้าวคั่วปลา นึ่งปลา ต้มจืดผัก หลวงพ่อมาดู เห็นกำลังกินข้าวเลยไปเดินเล่นรอ กินเสร็จ ล้างมือ หลวงพ่อมาเทศน์สอนเรื่องจิต บันทึกเสียงหลวงพ่อเอาไว้ (ด้วยโทรศัพท์มือถือ/คนเขียน) หลวงพ่อบอกว่า “ความลับแตก” หัวเราะกันใหญ่ หลวงพ่อเชิญหมอเทวดามาช่วยรักษา ตอนนั้นลมพัดมาเย็น เหมือนฝนจะตก หลวงพ่อกลับ ฝนก็รินนิดหน่อย พ่อเช็ดตัวนวดหลังให้ นอนหลับ กินยาธิเบต น้ำอุ่น พ่อไปเอาอ่อมแซ่บที่โรงครัว เตรียมทำน้ำเขียว อ่านละคร กินกล้วย กินน้ำเขียว พ่อนวดขาให้ กินน้ำเขียว อ่านละคร ฉี่ดี จะ 6โมงแล้วแม่ยังไม่มา หิว กินนึ่งปลา ข้ามเหนียว ล้างมือ กินมังคุด ดู CDการ์ตูนธรรมะ ฉี่ ถ่ายดี

วันนี้อารมณ์ดี หน้าตาแจ่ใส ตัวไม่ร้อน


แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ ที่จิตใจลูกเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าลูกมีเป้าหมายในการดูแลตัวเองชัดเจน คือจดหมายที่ลูกเขียนถึงลุงยุทธ


จดหมายฉบับที่หนึ่ง ที่ส่งถึงลุงยุทธ ลูกเขียนไว้ว่า


ถึง ลุงอ้วน แสนนักสู้ (ลุงยุทธ)

ป่านเป็นกำลังใจให้ลุงยุทธสู้ต่อไปนะคะ

ป่านอยู่ที่นี่สบายดี ป่านพยายามกินอาหารแบบลุงยุทธ แต่ป่านจะมีผักตุ๋น ฟักทอง มังคุด ไข่ขาว มาเสริมด้วย ป่านก็เลยพอกินได้ เวลาว่างป่านจะอ่านหนังสือธรรมะ บันทึกประจำวัน คัดเมล็ดข้าว ฝึกจิต กำหนดลมหายใจ เข้าออก ตั้งจิตอธิษฐานภาวนาแผ่เมตตา และอีกหลายๆ อย่าง ทำให้จิตใจป่านสงบมากขึ้น

ป่านอยากให้ลุงยุทธบันทึกการรักษาโรคของตัวเอง ประวัติตัวเอง กวี กลอน หรือบทโศลกบ้าง ป่านจะได้ศึกษาเป็นความรู้ เอามารักษาตัวเองบ้าง ป่านก็จะสู้ เราจะสู้ไปพร้อมๆกัน ไม่ท้อแท้ แม้อุปสรรคนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เป็นกำลังใจให้เสมอ”

จาก ลูกเขียด แสนน่ารัก


ท้ายจดหมาย ลูกยังวาดดอกไม้ที่มีกลีบแปดกลีบ สลับใบไม้รูปทรงง่ายๆ สัญลักษณ์ประจำตัวของลูก

 

 

 

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…