Skip to main content

แม่ไล่สายตามองหาคำว่ามะเร็ง ในหน้ากระดาษบันทึกของลูก ตั้งแต่หน้าแรกจนกระทั่งหน้าสุดท้าย ในจำนวนกว่า 300 หน้า ไม่มีสักคำเดียวที่ลูกจะเขียนถึงมัน
 \\/--break--\>

ไม่ใช่เฉพาะคำนั้นเท่านั้น เพราะไม่มีแม้กระทั่งคำรำพึงรำพันว่า เราจะหายไหมหนอ ลูกแม่คงไม่กลัวความตายแล้วจริงๆ แต่ใจแม่นี่สิที่รู้สึกเหมือนถูกกระตุกวาบในครั้งหนึ่ง เมื่อมีคนแปลกหน้าตามหลวงพ่อมาเยี่ยมลูก ขณะที่หลวงพ่อมาสอนธรรมะ คุณตาคนนั้น แกถามว่า ลูกป่วยเป็นอะไรเหรอ  แม่นิ่งอึ้ง ไม่อยากตอบเพราะไม่อยากโกหก และแล้วในนาทีต่อมา ผู้ที่ทำลายความเงียบอันชวนอึดอัดนั้นคือหลวงพ่อ ท่านพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
"เป็นมะเร็งในตับอ่อน"

แม่อยากจะสลายร่างไปในบัดดล รู้สึกช็อคชาไปทั้งตัว เพราะกลัวว่าลูกจะสะเทือนใจรับไม่ได้กับความจริงนี้ แต่แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลูกยังคงนั่งสงบนิ่งไม่มีปฎิกิริยาใดๆที่แสดงว่าลูกได้ยิน บางทีลูกอาจจะรู้นานแล้ว หรือว่าเพิ่งจะรู้ แต่ดูเหมือนมันไม่มีความหมายใดๆต่อลูกอีก แม่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ แอบชำเลืองดูลูก ก่อนที่จะก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่ปริ่มๆ ของตัวเอง

แม้แต่ในวันที่ 17 กรกฏาคม ที่คุณหมออพภิวันท์ มาขอสัมภาษณ์ลูกเพื่อจะนำไปเขียนลงในจุลสารมิตรภาพบำบัด คุณหมอถามว่า
"กลัวตายไหมคะ" ลูกตอบว่า
"ไม่กลัวค่ะ เพราะทุกคนก็ต้องตาย"
"แล้วเสียใจไหม ถ้าจะต้องตาย"
"ไม่เสียใจค่ะ เพราะทุกคนต้องตาย ถ้าไม่มีใครตายเลย ป่านตายคนเดียวก็คงจะเสียใจ"
ลูกแม่ คำถามที่ยากจะตอบสำหรับคนทั่วไป แต่ลูกของแม่มีคำตอบแล้วสำหรับตัวเองและทุกคน

คุณหมอถามอีกว่า
"มีอะไรจะบอกพ่อกับแม่ไหมคะ"
ลูกนอนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม นี่คือครั้งแรกที่ลูกร้องไห้ ตั้งแต่มาอยู่ที่วัด ทว่า น้ำตาที่หยาดลงมานั้น ไม่ใช่เพราะความเศร้าโศก
"เขารู้สึกตื้นตันใจ เมื่อนึกถึงพ่อกับแม่ จนพูดไม่ออก ใช่ไหมลูก" หลวงพ่อที่นั่งบนเก้าอี้โยก อยู่ทางหัวนอนลูกช่วยถาม ลูกพยักหน้ารับ ขณะที่จะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
"แล้วมีอะไรจะบอกกับพี่สาวไหมคะ" คุณหมอถามอีก ลูกตอบด้วยน้ำเสียงกลั้นสะอื้น
"อยากให้พี่เขาพักผ่อนบ้าง ไม่อยากให้เรียนหนักมาก เพราะตอนนี้ มีพี่อยู่กับคุณย่าเพียงสองคน อยากให้พี่ดูแลสุขภาพของตัวเองด้วย"
ดูสิ...สิ่งที่ลูกเป็นห่วงคนอื่นๆ มีแต่เรื่องสุขภาพ และความพอดีของชีวิต 

วันที่ 19  และ 20 สิงหาคม  

20/08/51
ลุงยุทธเสียเมื่อตอนเช้า ขอดวงวิญญาณ จงไปสู่สุขคติด้วยเถิด
15.34 น. หลวงพ่อมา บอกหลวงพ่อว่าลุงยุทธเสียแล้ว หลวงพ่อก็อุทิศบุญให้

เมื่อพ่อบอกว่า ลุงยุทธสิ้นใจแล้วที่บ้านพักในเมืองขอนแก่น เมื่อคืนนี้ ลูกรับฟังอย่างเงียบๆ ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
  ในบันทึกของลูก ยังคงเขียนในเรื่องเดิมๆ เพียงเพิ่มอาการของร่างกายขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง ที่เกิดขึ้นภายหลังการพอกยา นั่นคือลูกเห็นอาการดูดและความเย็นของยา ที่แทรกลึกลงไปถึงเส้นเอ็นที่ขา จนสามารถขยับเข่า งอเข่าได้มากขึ้น

ระยะนี้ลูกจะอยู่ในสมาธิตลอดเวลา(นอนสมาธิ) และจะไม่พูดอะไรกับใครเลย ยกเว้นเมื่อต้องการให้ทำอะไรให้ สิ่งหนึ่งที่ลูกขอให้แม่จัดเตรียมให้ คืออุปกรณ์การทำวัตรเย็น อันมีเบาะรองนั่ง หนังสือสวดมนต์  เพราะทุกวันลูกจะตั้งใจทำวัตรเช้าและเย็น จนกระทั่งวันสุดท้ายเท่านั้น ที่ลูกไม่มีเรี่ยวแรงลุกนั่งทำวัตรเย็นอีกแล้ว

วันที่ 21  สิงหาคม
06.45 น. ถ่ายเป็นก้อน ย่อยดี
06.53 น. กินแก้วมังกร  มะละกอสุก น้อยหน่า ลองกอง ส้มเช้ง หมากเบน หมากเม่า น้ำต้มข้าว ข้าวเหนียวโรยเกลือ (กินน้อย)
07.23 น. กินผลไม้เสร็จ ใช้เวลา 28 นาที ตั้งจิตอธิษฐาน อุทิศบุญ แผ่เมตตา อโหสิกรรม ถวายกล้วยน้ำว้า แก้วมังกร มะละกอ หมากเม่า น้านีไปถวาย
07.38 น. แม่ขูดซาให้
08.00 น. (แม่อุ้ม)ลงมาอาบแดด
08.32 น. (แม่อุ้ม)ขึ้นมาบนบ้าน 
              สดชื่น 
              มือ เท้า ศอก เข่า อุ่น 
              มือมีจุดแดงลดลง อุ่น
11.30 น. กินมะละกอสุก น้อยหน่า ลองกอง ส้มเช้ง หมากเบน หมากเม่า ไข่ขาวใส่ซอส ข้าวเหนียว
12.00 น. กินผลไม้เสร็จใช้เวลา 30 นาที
13.53 น. ฉี่ เยอะ ใส สีชา ถ่ายนิดหน่อย
16.18 น. กินหมากเบน น้อยหน่า ส้มเช้ง
16.31 น. กินผลไม้เสร็จใช้เวลา 13 นาที 

บันทึกวันสุดท้าย สิ่งที่ขาดหายไปคือการพอกยา เพราะหลังจากสี่โมงเย็นไปแล้ว ลูกมีอาการอ่อนเพลียลงมาก หลังจากกินอาหาร ลูกนอนหลับตานิ่งๆ จนตกค่ำ แม่จึงได้พอกยาให้ลูกอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานนัก

ขณะนั้น แม่เชื่อว่า จิตของลูกที่เฝ้าดูกาย ทำงานอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งกระแสแห่งการเกิด ได้ดับไปพร้อมกับกายแตกสลายของธาตุขันธ์ ในเวลา 21.30 นั้นเอง

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…