Skip to main content

ป่าในสำนึก คือวิหารอันโอฬาร ที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงทุกขณะที่เคลื่อนเข้าใกล้ มีพลังดึงดูด มีมนต์สะกด มีความยิ่งใหญ่ที่ข่มให้เราตัวเล็กลง ฉันจึงหลงรักการถูกครอบงำนี้ อย่างไม่อยากถอนใจ

ภาพของทามัน เนการ่า ที่กล่าวกันว่า คือป่าฝนผืนใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เป็นภาพฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ฉันใฝ่ฝันว่าจะต้องไปให้ถึงให้ได้ในชาตินี้ และเมื่อไปถึงแล้ว ความจริงยังเป็นเช่นนั้น เพียงแต่...มีบางอย่างที่ฉันคิดว่า ป่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ป่าถูกทำร้าย ทำลายอารมณ์เดิมๆ ให้กลายเป็นเพียงห้องพักหรูหรา ตกแต่งไว้รอท่าคนแปลกหน้าที่มาเยือน ซึ่งบางคนอาจไม่ได้ชายตามองหาความวิจิตรที่ซ่อนอยู่ตามซอกหลืบของห้องพัก เพราะสิ่งที่เขาต้องการจะเห็นเป็นเพียงรูปเงาของเขาเอง ที่สะท้อนฉายมาจากกระจกใส ที่แปะติดฝาพนังไว้อย่างแปลกปลอม

 

นั่นคือบางอย่างที่ฉันพบที่ป่าทามัน เนการ่า และระหว่างทางอีกหลายเมืองของมาเลเซีย

 

บ่ายสามครึ่ง คือกำหนดเวลาที่รถตู้จะต้องบ่ายหน้าออกจากท่ารถที่หาดใหญ่ แต่ผ่านเวลานั้นมาจวนใกล้ห้าโมงเย็น รถจึงเคลื่อนตัว

เขารอคนที่มาจากสมุยนะเอง” สำเนียงไทยเสียงแปร่งๆ แต่ประโยคถูกต้องครบถ้วน ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น ส่งยิ้มให้หนุ่มใหญ่ร่างสูงโปร่ง หนวดเคราสีขาวรกครึ้มไปทั่วใบหน้าคนนั้น และแล้วการสนทนาก็ดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย จนรู้ว่าเขาเองก็มาจากสมุย และกำลังไปเหยียบดินแดนมาเลเซีย เพื่อจะต่อวีซ่าในการกลับมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยอีกรอบ ก่อนหน้านั้น ขณะที่นั่งรอให้รถมารับเราที่หน้าสำนักงานทัวร์ใกล้ๆสถานีรถประจำทางหาดใหญ่ สาวผมทองหุ่นดี ก็หันมาถามฉันว่าไม่มีรถบัสคันใหญ่ไปปีนังเลยเหรอ ฉันบอกว่าไม่รู้หรอก ไม่เคยนั่งรถโดยสารไปมาเลเซียจากหาดใหญ่มาก่อนเหมือนกัน

 

ดูๆแล้วทุกคนบนรถ ไม่น่าจะมีใครเคยโดยสารรถตู้เส้นทางนี้เข้ามาเลย์มาก่อน และแน่นอน ฉันและปิ๋น คนไทยเพียงสองคน ที่เลือกเดินทางวิธีนี้ แทนรถไฟที่ล่วงหน้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ก็ยังไม่รู้อะไรนักเช่นกัน


คนขับรถหน้าตาบอกเชื้อชาติว่าเป็นคนจีน อายุน่าจะผ่านวัยเกษียณราชการมาหลายปี แต่ท่าทางยังแข็งแรงฟิตปั๋ง ยามที่ลุงแกกระชากเกียร์ขึงขัง ดุดัน แล้วหันมาถามผู้โดยสารด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดปานเจ้าพ่อ ช่างเหมาะสมกับสภาพรถที่ค่อนไปทางเก่าแก่อย่างเปิดเผย แกพูดอังกฤษชัดกว่าพูดไทย ฉันเดาเอาว่าอาแปะน่าจะเป็นคนมาเลย์มากกว่าไทย

 

มาถึงด่านนอก ทุกคนทยอยลงไปประทับตราผ่านประเทศ แล้วกลับมาที่รถ ทุกคนงงงวยกับสิ่งที่เห็น ลุงแกเปิดเบาะที่นั่งของคนขับออก แล้วชี้ให้ดู แล้วบอกว่า ช่วงที่รอใครบางคนที่มาจากสมุย แกต้องเปิดแอร์รถไว้ตลอดเวลา ตอนนี้แอร์รถมีปัญหาส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ ให้พวกเราสูดดม

รอสักครึ่งชั่วโมงนะ” แกบอกสั้นๆ น้ำเสียงอ่อนลง ทุกคนต้องจำยอมอยู่แล้ว จริงไหมล่ะลุง ฉันเดินเกร่ไปเกร่มา จนเบื่อ จึงชวนน้องสาวผิวขาวผมทองคนนั้นคุยบ้าง ด้วยสงสัยว่าเธอน่าจะเป็นสาวรัสเซีย และเป็นจริงอย่างที่คิด เธอเป็นคนรัสเซียจริงๆ

ฉันเกิดที่รัสเซีย แต่มาเรียนปริญญาโทที่เยอรมัน ตอนนี้มาเป็นนักศึกษาฝึกงานที่สมุย” เหตุที่เธอเดินทางไปมาเลย์ คือวีซ่าอีกเช่นกัน เธอเดินทางในชุดกางเกงขาสั้น หนีบกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆ ใบเดียวเท่านั้น ฉันพินิจเธออย่างทึ่งในความคล่องตัว

 

ไม่นานเกินกว่ายี่สิบนาที เครื่องรถครางกระหึ่ม ทุกคนเคลื่อนขึ้นไปนั่งที่ของตัวเอง รถคันนี้มีจุดหมายปลายทางที่เกาะปีนัง แต่ฉันจะลงที่เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ เพื่อต่อรถบัสประจำทางไปเมืองจารันตุด ในเวลา 4 ทุ่มตรง

 

ตั๋วยังไม่ได้จอง รถมีเพียงเที่ยวเดียว คำนวณเวลาเอาไว้ก่อนเดินทาง ถ้ารถออกบ่ายสาม เราจะไปถึงบัตเตอร์เวิร์ธ ราวๆหนึ่งทุ่ม มีเวลาข้ามฟากไปเดินเล่นที่เกาะปีนังนิดหน่อย เพราะท่ารถอยู่ใกล้กับท่าเรือข้ามฟากไปปีนังพอดี แต่เมื่อรถเสียเวลาขนาดนี้ เราอาจไม่ทันรถเที่ยวสี่ทุ่มก็เป็นได้

 

ตอนที่ผ่านด่านของมาเลเซีย ทุกคนต้องแบกสัมภาระทั้งหมดลงไปเพื่อผ่านเครื่องสแกน นี่คือครั้งแรกที่ฉันต้องทำอย่างนี้ ทุกครั้งที่มารถส่วนตัว แค่ส่งพาสปอร์ตให้กับคนขับ คนขับส่งไปที่ช่องที่มีคนตรวจนั่งอยู่ในตู้ ทุกอย่างใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่หนนี้แบกลงจากรถ เดินผ่านในตัวอาคาร ตรวจด้วยเครื่องสแกนทุกชิ้น แล้วแบกของมาขึ้นรถอีกครั้ง ฉันแอบอิจฉาน้องสาวชาวรัสเซีย ส่วนสองสามีภรรยาผู้ล่าช้าจากสมุย น่าจะอาศัยในอังกฤษ แต่แต่งตัวหน้าตาแบบชาวมุสลิม เขาลากกระเป๋าใบใหญ่มหึมา ทำเอาฉันรู้สึกว่าเป้ใบย่อมบนหลังมีน้ำหนักเบาลงไปไม่น้อย

 

รถวิ่งบนทางหลวงกว้างของแผ่นดินมาเลซีย แต่แล่นช้ากว่าปกติ ฉันนั่งกัดปาก เล็งสายตาไปข้างหน้า ลุ้นให้ลุงแกบึ่งรถให้เร็วกว่านี้ และเหมือนแกจะรู้ใจ ช่วงหนึ่ง ที่ผ่านไฟแดง แกฝ่าไฟแดงหน้าตาเฉย จนฉันอึ้ง

มีอย่างนี้ด้วยเหรอลุง” ฉันกับปิ๋นหัวเราะเบาๆ อย่างเกรงใจคนข้างเคียง

 

จากการฝ่าไฟแดงชวนตื่นเต้น จนรถแล่นมาได้สักราวๆ 30 กิโลเมตร รถทะเบียนมาเลเซียวิ่งเร็วแซงหน้าเราไป จนตาลาย รถเราช้ามาก แอร์ก็ไม่เย็น ฉันยิ่งต้องตั้งสติ คิดเสียว่าถ้าไม่ทันรถสี่ทุ่ม เราก็ข้ามไปนอนเกาะปีนังเลยละกัน และแล้วมาตื่นเต้นอีกหน เมื่อลุงแกลดกระจกด้านที่แกนั่งแล้วปิดแอร์ เอาล่ะซี ฉันคิดในใจ จะไปรอดไหมหนอนี่

จะไปลงที่ปีนังหรือเปล่าสองคนน่ะ” เสียงพูดไทยของลุง ต้องหมายถึงเราแน่นอน

เปล่าค่ะ เราไปลงที่ท่ารถบัตเตอร์เวิร์ธค่ะลุง แล้วเราจะทันไหมคะ 4 ทุ่มน่ะ” ฉันตะโกนตอบและถาม เห็นลุงส่ายหน้าน้อยๆ ตายละหวางานนี้ เสียฤกษ์ตั้งแต่เริ่มเดินทาง

ก้อนลมกรูเกรียวเข้ามาในรถอย่างแรง ปะทะใบหน้าจนเย็นเฉียบ แต่ในใจยิ่งระทึกร้อนระอุ แม้ความเร็วรถจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นชัดก็ตาม ฉันผละสายตาจากเส้นตรงสองเส้นที่ขนานยาวในเบื้องหน้า หันมาชมทุ่งนาของเมืองอะลอร์สตาร์ ที่เป็นดังผืนพรมเขียวขจี กว้างไกลสุดสายตา บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงสู่ค่ำคืน ทางทิศตะวันตกที่ริมขอบฟ้ามีแสงเรื่อเรืองหลากสีเป็นแนวยาว ราวกับมีงานปาร์ตี้ของเหล่านางฟ้า

 

ฉันถอนหายใจ บอกกับสหายร่วมทางว่า

ลุ้นจนถึงที่สุดนะปิ๋น ถ้าพลาดรถคันนั้น เราไปหาที่นอนที่เกาะปีนังก็แล้วกัน”

 

(ภาพประกอบ จะมาในตอนต่อไป)

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…