Skip to main content

ป่าในสำนึก คือวิหารอันโอฬาร ที่เปลี่ยนแปลงรูปทรงทุกขณะที่เคลื่อนเข้าใกล้ มีพลังดึงดูด มีมนต์สะกด มีความยิ่งใหญ่ที่ข่มให้เราตัวเล็กลง ฉันจึงหลงรักการถูกครอบงำนี้ อย่างไม่อยากถอนใจ

ภาพของทามัน เนการ่า ที่กล่าวกันว่า คือป่าฝนผืนใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ เป็นภาพฝันอันยิ่งใหญ่ ที่ฉันใฝ่ฝันว่าจะต้องไปให้ถึงให้ได้ในชาตินี้ และเมื่อไปถึงแล้ว ความจริงยังเป็นเช่นนั้น เพียงแต่...มีบางอย่างที่ฉันคิดว่า ป่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ป่าถูกทำร้าย ทำลายอารมณ์เดิมๆ ให้กลายเป็นเพียงห้องพักหรูหรา ตกแต่งไว้รอท่าคนแปลกหน้าที่มาเยือน ซึ่งบางคนอาจไม่ได้ชายตามองหาความวิจิตรที่ซ่อนอยู่ตามซอกหลืบของห้องพัก เพราะสิ่งที่เขาต้องการจะเห็นเป็นเพียงรูปเงาของเขาเอง ที่สะท้อนฉายมาจากกระจกใส ที่แปะติดฝาพนังไว้อย่างแปลกปลอม

 

นั่นคือบางอย่างที่ฉันพบที่ป่าทามัน เนการ่า และระหว่างทางอีกหลายเมืองของมาเลเซีย

 

บ่ายสามครึ่ง คือกำหนดเวลาที่รถตู้จะต้องบ่ายหน้าออกจากท่ารถที่หาดใหญ่ แต่ผ่านเวลานั้นมาจวนใกล้ห้าโมงเย็น รถจึงเคลื่อนตัว

เขารอคนที่มาจากสมุยนะเอง” สำเนียงไทยเสียงแปร่งๆ แต่ประโยคถูกต้องครบถ้วน ทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น ส่งยิ้มให้หนุ่มใหญ่ร่างสูงโปร่ง หนวดเคราสีขาวรกครึ้มไปทั่วใบหน้าคนนั้น และแล้วการสนทนาก็ดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย จนรู้ว่าเขาเองก็มาจากสมุย และกำลังไปเหยียบดินแดนมาเลเซีย เพื่อจะต่อวีซ่าในการกลับมาอาศัยอยู่ในเมืองไทยอีกรอบ ก่อนหน้านั้น ขณะที่นั่งรอให้รถมารับเราที่หน้าสำนักงานทัวร์ใกล้ๆสถานีรถประจำทางหาดใหญ่ สาวผมทองหุ่นดี ก็หันมาถามฉันว่าไม่มีรถบัสคันใหญ่ไปปีนังเลยเหรอ ฉันบอกว่าไม่รู้หรอก ไม่เคยนั่งรถโดยสารไปมาเลเซียจากหาดใหญ่มาก่อนเหมือนกัน

 

ดูๆแล้วทุกคนบนรถ ไม่น่าจะมีใครเคยโดยสารรถตู้เส้นทางนี้เข้ามาเลย์มาก่อน และแน่นอน ฉันและปิ๋น คนไทยเพียงสองคน ที่เลือกเดินทางวิธีนี้ แทนรถไฟที่ล่วงหน้าไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ก็ยังไม่รู้อะไรนักเช่นกัน


คนขับรถหน้าตาบอกเชื้อชาติว่าเป็นคนจีน อายุน่าจะผ่านวัยเกษียณราชการมาหลายปี แต่ท่าทางยังแข็งแรงฟิตปั๋ง ยามที่ลุงแกกระชากเกียร์ขึงขัง ดุดัน แล้วหันมาถามผู้โดยสารด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดปานเจ้าพ่อ ช่างเหมาะสมกับสภาพรถที่ค่อนไปทางเก่าแก่อย่างเปิดเผย แกพูดอังกฤษชัดกว่าพูดไทย ฉันเดาเอาว่าอาแปะน่าจะเป็นคนมาเลย์มากกว่าไทย

 

มาถึงด่านนอก ทุกคนทยอยลงไปประทับตราผ่านประเทศ แล้วกลับมาที่รถ ทุกคนงงงวยกับสิ่งที่เห็น ลุงแกเปิดเบาะที่นั่งของคนขับออก แล้วชี้ให้ดู แล้วบอกว่า ช่วงที่รอใครบางคนที่มาจากสมุย แกต้องเปิดแอร์รถไว้ตลอดเวลา ตอนนี้แอร์รถมีปัญหาส่งกลิ่นเหม็นโฉ่ ให้พวกเราสูดดม

รอสักครึ่งชั่วโมงนะ” แกบอกสั้นๆ น้ำเสียงอ่อนลง ทุกคนต้องจำยอมอยู่แล้ว จริงไหมล่ะลุง ฉันเดินเกร่ไปเกร่มา จนเบื่อ จึงชวนน้องสาวผิวขาวผมทองคนนั้นคุยบ้าง ด้วยสงสัยว่าเธอน่าจะเป็นสาวรัสเซีย และเป็นจริงอย่างที่คิด เธอเป็นคนรัสเซียจริงๆ

ฉันเกิดที่รัสเซีย แต่มาเรียนปริญญาโทที่เยอรมัน ตอนนี้มาเป็นนักศึกษาฝึกงานที่สมุย” เหตุที่เธอเดินทางไปมาเลย์ คือวีซ่าอีกเช่นกัน เธอเดินทางในชุดกางเกงขาสั้น หนีบกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆ ใบเดียวเท่านั้น ฉันพินิจเธออย่างทึ่งในความคล่องตัว

 

ไม่นานเกินกว่ายี่สิบนาที เครื่องรถครางกระหึ่ม ทุกคนเคลื่อนขึ้นไปนั่งที่ของตัวเอง รถคันนี้มีจุดหมายปลายทางที่เกาะปีนัง แต่ฉันจะลงที่เมืองบัตเตอร์เวิร์ธ เพื่อต่อรถบัสประจำทางไปเมืองจารันตุด ในเวลา 4 ทุ่มตรง

 

ตั๋วยังไม่ได้จอง รถมีเพียงเที่ยวเดียว คำนวณเวลาเอาไว้ก่อนเดินทาง ถ้ารถออกบ่ายสาม เราจะไปถึงบัตเตอร์เวิร์ธ ราวๆหนึ่งทุ่ม มีเวลาข้ามฟากไปเดินเล่นที่เกาะปีนังนิดหน่อย เพราะท่ารถอยู่ใกล้กับท่าเรือข้ามฟากไปปีนังพอดี แต่เมื่อรถเสียเวลาขนาดนี้ เราอาจไม่ทันรถเที่ยวสี่ทุ่มก็เป็นได้

 

ตอนที่ผ่านด่านของมาเลเซีย ทุกคนต้องแบกสัมภาระทั้งหมดลงไปเพื่อผ่านเครื่องสแกน นี่คือครั้งแรกที่ฉันต้องทำอย่างนี้ ทุกครั้งที่มารถส่วนตัว แค่ส่งพาสปอร์ตให้กับคนขับ คนขับส่งไปที่ช่องที่มีคนตรวจนั่งอยู่ในตู้ ทุกอย่างใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แต่หนนี้แบกลงจากรถ เดินผ่านในตัวอาคาร ตรวจด้วยเครื่องสแกนทุกชิ้น แล้วแบกของมาขึ้นรถอีกครั้ง ฉันแอบอิจฉาน้องสาวชาวรัสเซีย ส่วนสองสามีภรรยาผู้ล่าช้าจากสมุย น่าจะอาศัยในอังกฤษ แต่แต่งตัวหน้าตาแบบชาวมุสลิม เขาลากกระเป๋าใบใหญ่มหึมา ทำเอาฉันรู้สึกว่าเป้ใบย่อมบนหลังมีน้ำหนักเบาลงไปไม่น้อย

 

รถวิ่งบนทางหลวงกว้างของแผ่นดินมาเลซีย แต่แล่นช้ากว่าปกติ ฉันนั่งกัดปาก เล็งสายตาไปข้างหน้า ลุ้นให้ลุงแกบึ่งรถให้เร็วกว่านี้ และเหมือนแกจะรู้ใจ ช่วงหนึ่ง ที่ผ่านไฟแดง แกฝ่าไฟแดงหน้าตาเฉย จนฉันอึ้ง

มีอย่างนี้ด้วยเหรอลุง” ฉันกับปิ๋นหัวเราะเบาๆ อย่างเกรงใจคนข้างเคียง

 

จากการฝ่าไฟแดงชวนตื่นเต้น จนรถแล่นมาได้สักราวๆ 30 กิโลเมตร รถทะเบียนมาเลเซียวิ่งเร็วแซงหน้าเราไป จนตาลาย รถเราช้ามาก แอร์ก็ไม่เย็น ฉันยิ่งต้องตั้งสติ คิดเสียว่าถ้าไม่ทันรถสี่ทุ่ม เราก็ข้ามไปนอนเกาะปีนังเลยละกัน และแล้วมาตื่นเต้นอีกหน เมื่อลุงแกลดกระจกด้านที่แกนั่งแล้วปิดแอร์ เอาล่ะซี ฉันคิดในใจ จะไปรอดไหมหนอนี่

จะไปลงที่ปีนังหรือเปล่าสองคนน่ะ” เสียงพูดไทยของลุง ต้องหมายถึงเราแน่นอน

เปล่าค่ะ เราไปลงที่ท่ารถบัตเตอร์เวิร์ธค่ะลุง แล้วเราจะทันไหมคะ 4 ทุ่มน่ะ” ฉันตะโกนตอบและถาม เห็นลุงส่ายหน้าน้อยๆ ตายละหวางานนี้ เสียฤกษ์ตั้งแต่เริ่มเดินทาง

ก้อนลมกรูเกรียวเข้ามาในรถอย่างแรง ปะทะใบหน้าจนเย็นเฉียบ แต่ในใจยิ่งระทึกร้อนระอุ แม้ความเร็วรถจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นชัดก็ตาม ฉันผละสายตาจากเส้นตรงสองเส้นที่ขนานยาวในเบื้องหน้า หันมาชมทุ่งนาของเมืองอะลอร์สตาร์ ที่เป็นดังผืนพรมเขียวขจี กว้างไกลสุดสายตา บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนแปลงสู่ค่ำคืน ทางทิศตะวันตกที่ริมขอบฟ้ามีแสงเรื่อเรืองหลากสีเป็นแนวยาว ราวกับมีงานปาร์ตี้ของเหล่านางฟ้า

 

ฉันถอนหายใจ บอกกับสหายร่วมทางว่า

ลุ้นจนถึงที่สุดนะปิ๋น ถ้าพลาดรถคันนั้น เราไปหาที่นอนที่เกาะปีนังก็แล้วกัน”

 

(ภาพประกอบ จะมาในตอนต่อไป)

 

 

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…