Skip to main content

เช้าวันนี้….
ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ”
ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิด
รอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบ

ทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วง
สายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
จึงเดินออกไปดู

ร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป  รู้ได้ว่าขาทั้งสองข้างไม่มีกำลัง บนไหล่มีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมสะพายแล่ง จึงเดินไปใกล้ๆ แล้วถาม ว่าจะไปไหน

เขาหยุดเดิน เหลียวหน้ากลับมาตอบด้วยสำเนียงใต้แบบแปร่งๆ
“จะไปวัดนาบอนครับ” แล้วยิ้มให้ ฟันขาวสะอาด ตัดกับสีผิวคล้ำ
“ทำไมไม่ขึ้นรถโดยสาร” ด้วยความแปลกใจ แอบสังเกตเห็นชายกางเกงสีเลือดหมูแหว่งวิ่น แต่ยังมีเค้าสะอาด รองเท้าฟองน้ำถูกใช้งานมานานพอสมควร

“ไม่มีเงินครับ” เขาตอบอย่างระวังท่าที
“อ้าว มาจากไหนล่ะคะ จะไปทำอะไร”
“มาจากสงขลาครับ ว่าจะขอไปอยู่วัด”
เขาเล่าว่า ถูกรถชนอาการสาหัส เมื่อสองปีก่อน  ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลา 8 เดือน หมอ บอกว่าเขาจะเดินไม่ได้อีกแล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาล ได้ไปอาศัยใบบุญในร่มเงาพระพุทธศาสนาที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสงขลา ได้รับเมตตาจากพระและหมอนวด ที่อยู่ในวัด ช่วยดูแลรักษาด้วยการบีบนวดให้ จนกระทั่งพอช่วยเหลือตัวเอง ช่วยงานเล็กๆน้อยๆประเภทล้างจาน ดายหญ้าได้ ที่ต้องออกมาหาวัดใหม่อาศัยอยู่เพราะมีคนบอกว่าที่วัดนาบอนมีหมอนวดและหมอสมุนไพรที่น่าจะช่วยรักษาเขาได้ จึงดั้นด้นมา

เป็นธรรมดา ที่ฉันจะต้องถามว่า เขาเป็นใครมาจากไหน
“ผมเป็นคนบางสะพานใหญ่” มิน่าสำนวนเป็นคนทางนั้นจริงๆ
“ได้กลับบ้านบ้างไหม” ฉันถาม
เขาบอกว่าไม่เลย  ตั้งแต่ออกมานาน15 ปี ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมบ้านอีกเลย  ที่นั่นมีแต่ยาย เขาไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ ฉันไม่อยากรู้รายละเอียดมากไปกว่านี้ แต่เขาก็บอกชื่อหมู่บ้านมาให้รู้ และแถมท้ายว่า ลืมบ้านเลขที่ไปแล้ว

อาจเป็นเพราะฉันเป็นคนช่างสงสาร และเห็นท่าทางซื่อๆแววตาไร้เล่ห์เหลี่ยม จึงถามว่า อยากหางานทำบ้างไหม เผื่อฉันจะช่วยหาให้ เขากลับปฏิเสธ

“ผมไม่อยากเป็นภาระให้ใคร แค่วางไม้เท้าอันนี้ลง ผมก็ล้มแล้ว เพราะผมพิการจากส่วนเอวลงล่าง แขนผมมีกำลัง แต่ก็หิ้วของหนักไม่ได้ เป็นภาระเปล่าๆ”

ฉันนิ่งอึ้ง ไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ และอันที่จริงฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหางานที่ไหนให้เขาในทันทีเหมือนกัน
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สาหัสกว่าฉันมากนัก ขาลีบสองข้าง ทั้งรอยแผลที่คอ คล้ายตัวตะขาบยาวเป็นคืบ มือข้างซ้ายดูงอๆไม่ปกติ ที่เขายังเดินอยู่ได้ นับว่ามาจากแรงใจของความไม่ย้อท้อ อายุสามสิบกว่าๆ น่าจะเป็นวัยที่มีครอบครัว มีคนดูแล แต่ฉันไม่ได้ถามเรื่องนี้ รู้แต่ว่างานสุดท้ายที่เขาทำก่อนเกิดอุบัติเหตุคือเป็นคนงานของบ่อเลี้ยงกุ้งที่จังหวัดสงขลา

ระยะทางที่เขาจะต้องเดินไปราวๆ 10 กิโลเมตร คนธรรมดาเดินไปต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง แล้วคนพิการขาอย่างเขาจะใช้เวลาเท่าไหร่ โชคดีอาจมีคนจอดรถรับ แต่ถ้าไม่มีใครใจดีกับเขาล่ะ......ฉันกังวล

จึงบอกให้เขาเดินกลับมานั่งรอบนแท่นหินที่หน้าบ้านฉันสักประเดี๋ยว เพื่อฉันจะกลับมาเอาเงินในบ้าน เงินจำนวนไม่มากนัก สำหรับค่ารถ และน่าจะเหลือเป็นค่าน้ำค่าอาหารได้สักมื้อ  ฉันยื่นให้เขา  หลังจากพนมมือไหว้ขอบคุณ ฉันเห็นใบหน้าที่เงยขึ้นมานั้น มีน้ำตารื้น

ไม่นานนักรถสองแถวโดยสารก็มาจอด ก่อนที่เขาจะเขยกไปขึ้นรถ เขาหันมาพูดว่า
“อีกสักสามเดือน ถ้าผมดีขึ้นพอที่จะทำงานได้ ขอให้ผมมาทำงานที่นี่ได้ไหม”
ฉันพยักหน้า
“ได้สิ แต่การไปรักษาตัวคราวนี้ ให้เรียนรู้วิชานวดและยาสมุนไพรมาด้วย แล้วเราค่อยทำงานด้วยกัน”

ฉันมีห้องอบสมุนไพร ที่ปิดร้างเอาไว้ปีกว่าแล้ว บางทีเขาอาจจะกลับมาดูแลมันได้  เดิมมันเป็นสถานที่ที่ฉันใช้รักษาตัวเอง และบริการคนในหมู่บ้านโดยให้บริจาคตามกำลัง

กลับมากวาดใบไม้อย่างเลื่อนลอย... ฉันไว้ใจคนง่ายไปหรือเปล่า  แต่เมื่อนึกถึงคราวที่ตัวเองถูกพิพากษาว่าจะต้องพิการไปตลอดชีวิต นึกถึงความหวาดหวั่น ความอ่อนแอ ความโดดเดี่ยว ที่ประเดประดังเข้ามา และความยากลำบาก ที่ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหลีกหนีความพิการ เป็นเวลานับสิบปีของฉัน

ใบไม้แห้งถูกตักไปกองรวมกันในกอง
เศษซากใบไม้กองนี้ มันจะต้องกลายเป็นปุ๋ยหมักในวันหน้า  คิดถึงตัวเอง คิดถึงเขาคนนั้น

เรา...ต่างเป็นใบไม้ร่วง ที่พยายามดิ้นรนไปให้พ้นคำว่า “เศษขยะ”
ในวันนี้...ฉันต้องขอบคุณคุณหมอคนนั้น ที่ทำให้ฉันต่อสู้กับข้างในตัวเองจนชนะ
แม้ว่าความพิการอาจมาเยือนจริงๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า
แต่ที่ผ่านมาหลายปี ฉันได้ใช้ขาทั้งสองข้าง จนคุ้ม

................

เพราะว่า ในปีต่อๆมา ฉันเริ่มเร่ร่อนทำงานอิสระมากขึ้น แต่ละงานที่ฉันเลือกทำ จะมีข้อแม้ว่า
“ต้องใช้เวลาสั้นๆ สั้นเท่าไหร่ยิ่งดี งานที่นานเกินหนึ่งปี ฉันไม่รับทำ”

แปลกใจไหม ว่าทำไม ขณะที่คนอื่น ต้องการงานที่มั่นคง แต่ฉันกลับรับทำงานแค่หนึ่งสัปดาห์ไปจนถึงหกเดือน และต้องเป็นงานสนามเท่านั้น ไม่รับงานในสำนักงาน

เหตุผลคือ ถ้าฉันรับปากทำงาน ฉันจะไม่ทิ้งงานกลางครัน โดยเฉพาะงานวิจัยภาคสนามที่ไม่ควรโยนภาระให้คนอื่นทำต่อ การเลิกทำทั้งที่งานยังไม่เสร็จ คนใหม่มาทำก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่ยุติธรรมสำหรับคนจ้าง และสังขารฉันอาจแย่ลงวันใดวันหนึ่งก็ได้ ดังนั้นเพื่อความยุติธรรมต่อคนจ้าง ฉันจึงขอเลือกงานระยะสั้น โดยไม่ได้บอกเหตุผล และไม่มีใครรู้ด้วยว่า “ฉันเป็นคนพิการ...ครึ่งทาง”

บางงานฉันต้องเช็คระยะทางและเวลาที่ต้องเดินเข้าไปเก็บข้อมูล ที่ต้องปีนภูเขา สลับการเดินลุยสายน้ำในหุบเหว  พบว่าต้องใช้เวลาสามวัน แต่นายจ้าง..คนวางแผนกำหนดให้แค่วันเดียว

ฉันยังจำได้..งานนั้นฉันได้สำรวจระยะที่หนึ่ง เพื่อหาข้อมูลพื้นฐานระดับจังหวัด และอำเภอไปแล้ว เหลือระยะที่สองต้องเก็บข้อมูลระดับหมู่บ้าน  ฉันเป็นหัวหน้าทีมภาคสนาม มีเพื่อนร่วมงานอีกราวสิบคน ก่อนที่จะเซ็นสัญญาทำงาน ฉันพยายามหาข้อเท็จจริงมาชี้แจงเพื่อบอกนักวิชาการในห้องแอร์ว่า ข้อมูลพื้นฐานของคุณผิดพลาดอย่างมหันต์ การกำหนดเวลาให้เราแค่หนึ่งเดือน มันไม่มีทางเป็นได้

ที่ต้องต่อรองเรื่องเวลา ไม่ได้เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย แต่ฉันตั้งใจจะบอกกับพวกเขาว่า งานสนามอย่าใช้เพียงความคาดคะเน ถ้าคุณไม่เคยลงพื้นที่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะแถวชายแดน อุปสรรคที่ดักรออยู่มากมายให้ต้องเผชิญ อย่าคิดว่าง่ายที่จะได้ข้อมูล และอย่าคิดว่าเงินที่จ่ายคือสิ่งที่มีค่ามากแล้ว หากคุณทำเองไม่ได้

งานนั้น ฉันชี้แจงอย่างใจเย็น ด้วยแผนที่ทางอากาศ ที่แสดงเส้นคอนทัวร์ ความสูงชัน ภาพถ่ายแสดงสภาพพื้นที่ ที่ฉันเคยเข้าไปเห็นมาแล้ว  แล้วบอกกับเขาว่า..ฉันไม่สามารถทำงานนี้ได้อีกต่อไป ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้านเลตองคุยามฤดูฝนและทำงานให้เสร็จได้ภายในวันเดียว

นี่คืองานแรกและงานเดียว ที่ฉันทิ้งงานระหว่างทาง แต่ข้อมูลชุดแรก ฉันได้ส่งถึงมือเขาเรียบร้อย  ครั้งนั้น ยังรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ร่วมงานกับนักวิชาการบางคน แต่สำหรับบางคน..........!!!

ฉันจึงเรียกตัวเองว่า “หมาล่าเนื้อ” เขาจ้างให้ล่าเนื้อ แต่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้ออันโอชะสักที

งานชิ้นต่อมาคือ “สำรวจเก็บข้อมูลหมู่บ้านต้นน้ำพอง” ซึ่งอยู่ด้านหลังภูกระดึง ระยะเวลาที่ต้องทำงานคือ 3 เดือน นายจ้างเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันรับทำงานคนเดียว

หมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน ที่อยู่ต้นน้ำพอง เป็นหมู่บ้านในป่า ไม่มีรถโดยสาร เพราะถนนเลวร้ายมาก รถที่วิ่งได้มีเฉพาะรถขับเคลื่อนสี่ล้อของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และรถมอเตอร์ไซด์  มันเป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง ที่ทำให้ฉันได้ทดสอบความสามารถทางร่างกายของตัวเอง และเป็นไปตามความใฝ่ฝัน นั่นคือ “การเดินขึ้นภูกระดึง” เพื่อไปดูแหล่งต้นน้ำพองจริงๆ  หลังจากเก็บข้อมูลในหมู่บ้านเสร็จแล้ว ฉันจะต้องขึ้นไปดูและเก็บภาพสภาพต้นน้ำพองบนภูกระดึง

การไต่ขึ้นที่สูงทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ เพราะฉันต้องคอยระวังเข่าไม่ให้ทำงานหนัก ทั้งที่บนหลังมีเพียงเป้ไม้ไผ่ของชนเผ่าในฟิลิปปินส์ใช้เก็บรังนก ในนั้นมีเสื้อผ้าบางๆหนึ่งชุด และกล้องถ่ายรูปอย่างหนักพร้อมเลนส์สำรองอีกหนึ่งชิ้น น้ำหนักไม่มากเกินกว่าจะแบกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉันนับว่าพอสมควร

การเดินขึ้นเพียงลำพังและยังใส่แค่รองเท้าฟองน้ำ เป็นความประมาทอย่างรุนแรง  เรียกว่าหาความพร้อมในการเดินป่าไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังขึ้นมา เพราะว่า “มันเป็นงาน ที่ต้องทำให้เสร็จทันเวลา”

การขึ้นภูกระดึงแบบไม่พร้อมทางร่างกายและอุปกรณ์ มีเพียงหัวใจที่พร้อม ทำให้ฉันได้พบเจอกับสิ่งดีๆมากมาย ทั้งเรื่องราวของผู้คนและธรรมชาติ

จนไม่อาจลืมได้ แม้ทุกวันนี้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
เช้านี้...ไร้เรี่ยวแรงที่จะทำงาน จึงต่อสายไฟจากหม้อแบตเตอรี่รถแทรคเตอร์ เพื่อเปิดทีวีขนาดสิบสี่นิ้ว ฟังดูข่าวคราวของโลกกว้าง พบว่าราคาน้ำมันยังพุ่งลิ่ว ผู้คนในหลายประเทศตายเกลื่อนเพราะภัยพิบัติ ขณะที่ฉันกำลังทรมานใจกับความผิดบาปของตัวเอง เนื่องจากการทำงานเมื่อวานนี้... งูลายทางยาวๆ สีดำ ตัวโตขนาดข้อมือเด็กๆ กำลังบิดตัวขยับร่างให้เคลื่อนไหวต่อไปข้างหน้า มันผงกหัวออกแรงพุ่ง แต่ลำตัวกลับติดตายอยู่บนพื้นดิน ท่อนกลางและท่อนหางถูกตัดออกจนเกือบขาด มีเจ้าหมาหนุ่มสองตัวของฉันกำลังเอาตีนเขี่ยให้มันเคลื่อนไหวอย่างล้อเล่น
เงาศิลป์
กลีบดอกไม้ป่าร่วงผลอยไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เมล็ดพันธุ์เติบโตเท่าทันกับฤดูฝนที่มาถึง ราวป่าท้ายไร่จึงเขียวขจีชุ่มชื่นแผ่ผ่านความสดใสมาถึงหัวใจของผู้คนในละแวกใกล้เคียง“ไปทำบุญที่ยอดห้วยกันเถอะ”ยายแดงตะโกนเรียกมาจากบนรถอีแต๊ก ที่ควบปุเลงๆผ่านหน้าไร่ฉันไปอย่างรวดเร็วเกินธรรมดา ขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับต้นหญ้าเล็กๆที่หน้าบ้าน
เงาศิลป์
เสียงลมอื้ออึง ปลุกฉันจากความหลับใหลที่เนื่องมาจากความอ่อนล้าโรยแรงฉันตื่นกลัวจนกระทั่งเผลอกลั้นลมหายใจ ผุดนั่งอย่างลืมตัวผืนผ้าใบที่ชายคาเสียงดังพึ่บ มันสะบัดปลายจนเรือนไม้หลังน้อยสะเทือนไหว เงี่ยหูฟังเสียงลมที่กำลังมุ่งหน้ามามันมีกำลังแรงขึ้นและแรงขึ้นอย่างรวดเร็วแสงสว่างวาบลอดเข้ามาตามช่องฝาผนัง  ฉันกอดอกด้วยความหวาดกลัว  และแล้ว ..เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาใกล้ๆ “ฉันมาทำอะไรที่นี่” เสียงครางอยู่ข้างในถามไถ่ตัวเองอย่างน่าสงสารน้อยครั้งนักที่ฉันจะหวาดกลัวอะไร หรือจะคิดจินตนาการอะไรๆ ที่เป็นเรื่องร้ายๆ ต่อชีวิต แม้ในท่ามกลางวิกฤติ เพราะฉันมีความเชื่อว่าพระจะต้องคุ้มครองฉันเสมอ …
เงาศิลป์
“มันจะได้ผลหรือคุณ” น้ำเสียงต่ำๆ แกมรอยยิ้มที่ริมปาก ทำให้ฉันฉุนกึกอยู่ข้างใน แต่ต้องฝืนตอบออกมาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะนับเป็นครั้งที่ร้อยแล้ว ที่ตาลีถามฉันอย่างนี้ ทั้งที่ไม่ใช่กงการอะไรของแกซะหน่อย“ได้ผลสิ ที่บ้านที่ใต้ทำใช้อยู่ประจำ”เรากำลังสนทนาถึงน้ำหมักชีวภาพที่ฉันทำไว้ใช้เอง บรรจุในถังพลาสติกใบใหญ่และนำออกมารดพื้นดินแทบทุกครั้งที่ฝนตกชุ่ม ความหวังที่จะฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อให้ไส้เดือนคืนถิ่นของฉัน ดูช่างยาวไกลราวกับนักเดินทน ที่ต้องเดินรอบโลกหลายรอบ เผลอๆอาจหมดแรงตายเสียก่อนที่จะครบรอบแรกด้วยซ้ำ
เงาศิลป์
“โชค ไปเที่ยวในป่ากันดีกว่า น้าได้กลิ่นดอกไม้หอม”เขาพยักหน้า วางเครื่องมือทำงานไว้ในที่ร่มแล้วคว้าขวดน้ำดื่มติดมือมาแทน เจ้าหมาหนุ่มสองตัวรีบมุ่งหน้ามาสมทบโดยไม่ต้องส่งเสียงเรียก เพราะการเคลื่อนไหวของเราอยู่ในสายตาของมันเสมอแค่เอื้อมเท่านั้น...ที่ฉันจะหาความสุขอันลึกซึ้งได้ แต่บ่อยครั้งที่ฉันแข็งใจไม่แวะเข้าไปในป่า เนื่องจากงานในไร่กำลังเร่งรีบ และยามนี้เป็นเวลาปิดเทอมใหญ่ “โชค” จึงมีเวลามาช่วยงานได้เต็มวัน เขาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ขยัน เป็นครูสอนงานที่ดีให้แก่ฉันในบางกรณี และพร้อมที่จะเป็นผู้เรียนรู้งานได้อย่างน่าชื่นชม ฉันแอบดูเขาทำงาน มองร่างผ่ายผอมในวัยเพียงสิบห้าปี…
เงาศิลป์
แสงไฟสีส้มดวงเล็กๆ ดาหน้ากันเข้ามาจากทุกทิศทาง ยกเว้นจากส่วนที่เป็นด้านหลังไร่ เพราะนั่นคือป่าชุมชนผืนใหญ่ ที่เป็นเป้าหมายของการไปสู่ของแสงไฟเหล่านั้น ดูแล้วน่าตื่นเต้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพายุฝนที่โหมกระหน่ำเมื่อตอนเย็นนี้ฉันนึกถึงแนวรั้วลวดหนามด้านท้ายไร่ ที่เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ด้วยฝีมือของตาลี “เราทำรั้วกั้นที่ของเรา ไม่มีใครเขามาว่าได้หรอก อีกหน่อยพอฝนตกชุก คุณต้องทำประตูกั้นทางเข้าไร่ด้วยนะ ทำรั้วง่ายๆพอเป็นที่เข้าใจว่าถนนที่ตรงมาทางนี้คือทางส่วนบุคคล ไม่ใช่ทางสาธารณะ” แกย้ำถึงความจำเป็น เพราะฉันเคยลังเลกลัวว่าจะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องเดินอ้อมไปไกลจึงจะไปถึงป่าชุมชนนั้นได้…
เงาศิลป์
การใช้ชีวิตในบ้านไร่ชายป่า บางครั้งทำให้ฉันถามตัวเองว่า การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตด้วยหรือเปล่า แต่แล้วก็มีบางเรื่องราวมาคลี่คลายเป็นคำตอบให้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับคำถามใดๆ ทั้งสิ้น.......สวัสดีค่ะ พี่ชื่ออะไรเหรอคะหนูชื่อทรายนะคะ บังเอิญเข้ามาอ่านเจอพอดี พี่ทำงานกับป๊าหนูด้วยเหรอค่ะ (ยงยุทธ ตรีนุชกร) แต่พ.ศ.31 หนูเพิ่งจะเกิดเอง คงไม่รูจักพี่แน่เลย!! แล้วจะเข้ามาอ่านใหม่นะค่ะ อ่านแล้วชอบมากๆ เลย เพราะหนูเรียนแพทย์แผนไทยอยู่ ก็เลยรู้สึกดีที่มีคนชอบการรักษาแบบแผนไทยเหมือนกัน ขอให้พี่หายเร็วๆ นะคะ แล้วก็ช่วยเป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะคะ……………………….
เงาศิลป์
มือขวาที่บวมเบ่ง ความสากกร้านที่ห่อหุ้มยิ่งทำให้มือนั้นดูเทอะทะ เจ้าของมือยังมีเค้าความสวยงาม แม้วัยล่วงเลยจนเป็นย่าคนแล้ว เธอยังต้องทำงานหนัก จนกระทั่งบาดเจ็บ
ฉันค่อยๆลูบยาหม่องสูตรเข้มข้นที่ปรุงเอง ความร้อนของน้ำมันสมุนไพรคงพอบรรเทาอาการ ที่สำคัญกว่าสิ่งใดในการเยียวยาคือให้พักงาน หยุดใช้มือนั้นทำงานสักระยะ  เธอยิ้มตอบคำแนะนำอย่างสดใส บนใบหน้ากร้านแดด บอกว่าทำไม่ได้หรอก งานมีเยอะแยะ หนี้สินอีกมากมายจะหยุดทำงานได้อย่างไร“นี่ก็เปลี่ยนกันทำงาน ให้ตาเก้ไปรับจ้างไถไร่เพิ้น เอาเงินมาซื้อน้ำมันสูบน้ำใส่ไร่อ้อย ข้อยกะต้องมาเลี้ยงวัวแล้วกะเสียหญ้าอ้อยไปนำ” ฉันคลึงเบาๆที่นิ้วกลางอันบวมช้ำ…
เงาศิลป์
“ต้นไม้ไม่ต้องการคำภาวนา มันต้องการน้ำ” อาการห่อเหี่ยวของเรียวใบยังคงอยู่ บางต้นปลิดใบสีน้ำตาลร่วงพราวเกลื่อนพื้น........แม้แต่ความรัก ก็ยากจะเยียวยา.....ไม่ว่าฉันจะพูดปลอบประโลมอย่างไร มันก็ไม่อาจฟื้นคืนมาสู่ความสดใสได้อีกแล้วฉันสิ ที่ต้องคร่ำครวญและพาลโมโหตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกชาวสวน แต่ไม่เคยมีวิชาทำสวนติดตัวสักกระผีกริ้น สิ้นลมหายใจพ่อ เหมือนสิ้นคู่มือชีวิต เรื่องของต้นไม้และเม็ดดินกลายเป็นความลี้ลับ ที่ต้องใช้เวลา และสติปัญญา มาถอดรัสลับ ซึ่งไม่รู้ว่าชาตินี้ฉันจะทำสำเร็จหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องดินฟ้าอากาศ ที่สัมพันธ์กับอารมณ์ของต้นไม้แต่ละชนิดแม้เวลานี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น “ฤดูหนาว”…
เงาศิลป์
ดนตรีแห่งฤดูกาล กำลังเปลี่ยนผ่านจังหวะไปสู่ความรุนแรงร้อนรน แต่กระนั้นก็ยังหลอกล่อหัวใจผู้คนด้วยจังหวะผ่อนแผ่วของไอหนาว เมื่อคืน ฉันเผลอเรอลืมห่อห่มร่างกายให้อบอุ่น จึงถูกไข้หวัดจู่โจม จะเรียกว่าเป็นความอ่อนแอของร่างกายหรือว่าเป็นความแข็งแรงอันร้ายกาจของไวรัสก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะรอบทิศทางของไร่ มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ทุกคืน การเผาซากอ้อยจึงกลายเป็นฤดูกาลเผาไร่...ฤดูกาลใหม่ของที่นี่ถ้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไกลลิบนั่น คงเห็นรอยไฟลามเลียเป็นหย่อมๆ แผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัตว์ประหลาดสีแดงเพลิงเคลื่อนไหวเพยิบกลืนกินผิวโลกจนไหม้เกรียม และทุกหัวค่ำ ยังมีของแถมเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง…
เงาศิลป์
 ริ้วสีชมพูอมส้ม กระจ่างจ้าที่ริมขอบฟ้า ดุจแก้มใสปลั่งของสาวน้อย ไรแสงสาดจับจ้าบนท้องฟ้าเหนือศรีษะ งดงามตระการ ฉันยืนมองแสงสีตรงหน้า ที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิดๆ อย่างโปร่งโล่งในอารมณ์ สูดลมหายใจยาว นำเอาความสดชื่นไปกักเก็บไว้เต็มปอด สัมผัสความเย็นชุ่มที่ล่วงลึกลงภายใน ผิดกับผิวกายที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อกันหนาวสีทึมเนื้อหนานุ่ม เพียงผิวหน้าเท่านั้นที่ได้สัมผัสกับละไอหมอกหนาลอยเรี่ยพื้น ความหนาวเย็น ไม่ใช่มิตรที่ดีนัก ไม่ควรใกล้ชิดจนเกินไป ร่างกายมันบอกให้ฉันอย่างนั้น เช้านี้เป็นอีกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นทั้งกายใจ งานหนักในไร่กลายเป็นคุณแก่ชีวิต…
เงาศิลป์
“เจ้าสองตัวนี่ เป็นนักล่าที่เก่งกาจ ดูที่อุ้งตีนมันสิ ใหญ่กว่าหมาทั่วไป” ลุงเจนบอก เมื่อเราเดินเล่นไปจนถึงนาของแก เสียงลิ้นตวัดน้ำในสระดังขวับ ๆ ๆ เพราะความหิวกระหาย มันคงเหนื่อยอ่อนทีเดียวเพราะต้องเดินดั้นด้นมุดกอหญ้าที่ท่วมตัว ดีว่ามีกันสองตัวพี่น้องจึงพอสนุกสานหยอกล้อไล่กัดกันไปพลาง ชวนขุดหามดหาแมลงกินกันไปพลาง ระยะทางเกือบกิโลเมตรจึงพอเดินสบายๆ ในยามแดดร่มลมตกเช่นนี้ฉันมีเจ้าสองตัวเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขมาได้สิบกว่าวัน อายุของมันทั้งสองราวๆ 2 เดือนกว่า กำลังกินกำลังซนและมันทั้งคู่ต่างประกาศนิสัยส่วนตัวออกมาอย่างชัดเจน  เจ้าเสือตัวโตกว่าเพราะกินเก่งกว่า ขี้เล่น ห้าวหาญ…