Skip to main content

เช้าวันนี้….
ใบไม้สีเหลืองเกลื่อนพื้น ดูสวยงาม แต่ไม่นานมันจะถูกเรียกว่า “ขยะ”
ด้วยเรียวไม้กวาดก้านมะพร้าว ค่อยๆลากให้มันมากองรวมกัน ทีละนิด
รอยทรายเป็นเส้นลดเลี้ยวตามแนวกวาด ลีลาคล้ายบทกวีร้อยบท ที่มีเนื้อหาเดียว คือความสงบ

ทุกเช้า ฉันจะอยู่กับมัน ทั้งไม้กวาด พื้นทรายและใบไม้ร่วง
สายตาจับอยู่ที่พื้น..แต่ด้วยหางตา เห็นบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนถนนหน้าบ้าน  จากที่ยืนอยู่ ระยะทางราวร้อยก้าว เงาร่างเดินโยกเยก บดบังด้วยแนวพุ่มไม้เตี้ยๆ จึงมุ่งมองอย่างตั้งใจ เห็นใครบางคนเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
จึงเดินออกไปดู

ร่างล่ำสันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างลำบาก เขาใช้ไม้ยาวๆ ค้ำถ่อ ประคองร่างกายให้ขาตวัดสลับกันไป  รู้ได้ว่าขาทั้งสองข้างไม่มีกำลัง บนไหล่มีกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมสะพายแล่ง จึงเดินไปใกล้ๆ แล้วถาม ว่าจะไปไหน

เขาหยุดเดิน เหลียวหน้ากลับมาตอบด้วยสำเนียงใต้แบบแปร่งๆ
“จะไปวัดนาบอนครับ” แล้วยิ้มให้ ฟันขาวสะอาด ตัดกับสีผิวคล้ำ
“ทำไมไม่ขึ้นรถโดยสาร” ด้วยความแปลกใจ แอบสังเกตเห็นชายกางเกงสีเลือดหมูแหว่งวิ่น แต่ยังมีเค้าสะอาด รองเท้าฟองน้ำถูกใช้งานมานานพอสมควร

“ไม่มีเงินครับ” เขาตอบอย่างระวังท่าที
“อ้าว มาจากไหนล่ะคะ จะไปทำอะไร”
“มาจากสงขลาครับ ว่าจะขอไปอยู่วัด”
เขาเล่าว่า ถูกรถชนอาการสาหัส เมื่อสองปีก่อน  ต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงขลา 8 เดือน หมอ บอกว่าเขาจะเดินไม่ได้อีกแล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาล ได้ไปอาศัยใบบุญในร่มเงาพระพุทธศาสนาที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสงขลา ได้รับเมตตาจากพระและหมอนวด ที่อยู่ในวัด ช่วยดูแลรักษาด้วยการบีบนวดให้ จนกระทั่งพอช่วยเหลือตัวเอง ช่วยงานเล็กๆน้อยๆประเภทล้างจาน ดายหญ้าได้ ที่ต้องออกมาหาวัดใหม่อาศัยอยู่เพราะมีคนบอกว่าที่วัดนาบอนมีหมอนวดและหมอสมุนไพรที่น่าจะช่วยรักษาเขาได้ จึงดั้นด้นมา

เป็นธรรมดา ที่ฉันจะต้องถามว่า เขาเป็นใครมาจากไหน
“ผมเป็นคนบางสะพานใหญ่” มิน่าสำนวนเป็นคนทางนั้นจริงๆ
“ได้กลับบ้านบ้างไหม” ฉันถาม
เขาบอกว่าไม่เลย  ตั้งแต่ออกมานาน15 ปี ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมบ้านอีกเลย  ที่นั่นมีแต่ยาย เขาไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ ฉันไม่อยากรู้รายละเอียดมากไปกว่านี้ แต่เขาก็บอกชื่อหมู่บ้านมาให้รู้ และแถมท้ายว่า ลืมบ้านเลขที่ไปแล้ว

อาจเป็นเพราะฉันเป็นคนช่างสงสาร และเห็นท่าทางซื่อๆแววตาไร้เล่ห์เหลี่ยม จึงถามว่า อยากหางานทำบ้างไหม เผื่อฉันจะช่วยหาให้ เขากลับปฏิเสธ

“ผมไม่อยากเป็นภาระให้ใคร แค่วางไม้เท้าอันนี้ลง ผมก็ล้มแล้ว เพราะผมพิการจากส่วนเอวลงล่าง แขนผมมีกำลัง แต่ก็หิ้วของหนักไม่ได้ เป็นภาระเปล่าๆ”

ฉันนิ่งอึ้ง ไม่ได้คะยั้นคะยอต่อ และอันที่จริงฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าจะหางานที่ไหนให้เขาในทันทีเหมือนกัน
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สาหัสกว่าฉันมากนัก ขาลีบสองข้าง ทั้งรอยแผลที่คอ คล้ายตัวตะขาบยาวเป็นคืบ มือข้างซ้ายดูงอๆไม่ปกติ ที่เขายังเดินอยู่ได้ นับว่ามาจากแรงใจของความไม่ย้อท้อ อายุสามสิบกว่าๆ น่าจะเป็นวัยที่มีครอบครัว มีคนดูแล แต่ฉันไม่ได้ถามเรื่องนี้ รู้แต่ว่างานสุดท้ายที่เขาทำก่อนเกิดอุบัติเหตุคือเป็นคนงานของบ่อเลี้ยงกุ้งที่จังหวัดสงขลา

ระยะทางที่เขาจะต้องเดินไปราวๆ 10 กิโลเมตร คนธรรมดาเดินไปต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง แล้วคนพิการขาอย่างเขาจะใช้เวลาเท่าไหร่ โชคดีอาจมีคนจอดรถรับ แต่ถ้าไม่มีใครใจดีกับเขาล่ะ......ฉันกังวล

จึงบอกให้เขาเดินกลับมานั่งรอบนแท่นหินที่หน้าบ้านฉันสักประเดี๋ยว เพื่อฉันจะกลับมาเอาเงินในบ้าน เงินจำนวนไม่มากนัก สำหรับค่ารถ และน่าจะเหลือเป็นค่าน้ำค่าอาหารได้สักมื้อ  ฉันยื่นให้เขา  หลังจากพนมมือไหว้ขอบคุณ ฉันเห็นใบหน้าที่เงยขึ้นมานั้น มีน้ำตารื้น

ไม่นานนักรถสองแถวโดยสารก็มาจอด ก่อนที่เขาจะเขยกไปขึ้นรถ เขาหันมาพูดว่า
“อีกสักสามเดือน ถ้าผมดีขึ้นพอที่จะทำงานได้ ขอให้ผมมาทำงานที่นี่ได้ไหม”
ฉันพยักหน้า
“ได้สิ แต่การไปรักษาตัวคราวนี้ ให้เรียนรู้วิชานวดและยาสมุนไพรมาด้วย แล้วเราค่อยทำงานด้วยกัน”

ฉันมีห้องอบสมุนไพร ที่ปิดร้างเอาไว้ปีกว่าแล้ว บางทีเขาอาจจะกลับมาดูแลมันได้  เดิมมันเป็นสถานที่ที่ฉันใช้รักษาตัวเอง และบริการคนในหมู่บ้านโดยให้บริจาคตามกำลัง

กลับมากวาดใบไม้อย่างเลื่อนลอย... ฉันไว้ใจคนง่ายไปหรือเปล่า  แต่เมื่อนึกถึงคราวที่ตัวเองถูกพิพากษาว่าจะต้องพิการไปตลอดชีวิต นึกถึงความหวาดหวั่น ความอ่อนแอ ความโดดเดี่ยว ที่ประเดประดังเข้ามา และความยากลำบาก ที่ต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหลีกหนีความพิการ เป็นเวลานับสิบปีของฉัน

ใบไม้แห้งถูกตักไปกองรวมกันในกอง
เศษซากใบไม้กองนี้ มันจะต้องกลายเป็นปุ๋ยหมักในวันหน้า  คิดถึงตัวเอง คิดถึงเขาคนนั้น

เรา...ต่างเป็นใบไม้ร่วง ที่พยายามดิ้นรนไปให้พ้นคำว่า “เศษขยะ”
ในวันนี้...ฉันต้องขอบคุณคุณหมอคนนั้น ที่ทำให้ฉันต่อสู้กับข้างในตัวเองจนชนะ
แม้ว่าความพิการอาจมาเยือนจริงๆ ในวันหนึ่งข้างหน้า
แต่ที่ผ่านมาหลายปี ฉันได้ใช้ขาทั้งสองข้าง จนคุ้ม

................

เพราะว่า ในปีต่อๆมา ฉันเริ่มเร่ร่อนทำงานอิสระมากขึ้น แต่ละงานที่ฉันเลือกทำ จะมีข้อแม้ว่า
“ต้องใช้เวลาสั้นๆ สั้นเท่าไหร่ยิ่งดี งานที่นานเกินหนึ่งปี ฉันไม่รับทำ”

แปลกใจไหม ว่าทำไม ขณะที่คนอื่น ต้องการงานที่มั่นคง แต่ฉันกลับรับทำงานแค่หนึ่งสัปดาห์ไปจนถึงหกเดือน และต้องเป็นงานสนามเท่านั้น ไม่รับงานในสำนักงาน

เหตุผลคือ ถ้าฉันรับปากทำงาน ฉันจะไม่ทิ้งงานกลางครัน โดยเฉพาะงานวิจัยภาคสนามที่ไม่ควรโยนภาระให้คนอื่นทำต่อ การเลิกทำทั้งที่งานยังไม่เสร็จ คนใหม่มาทำก็ต้องเริ่มต้นใหม่ ไม่ยุติธรรมสำหรับคนจ้าง และสังขารฉันอาจแย่ลงวันใดวันหนึ่งก็ได้ ดังนั้นเพื่อความยุติธรรมต่อคนจ้าง ฉันจึงขอเลือกงานระยะสั้น โดยไม่ได้บอกเหตุผล และไม่มีใครรู้ด้วยว่า “ฉันเป็นคนพิการ...ครึ่งทาง”

บางงานฉันต้องเช็คระยะทางและเวลาที่ต้องเดินเข้าไปเก็บข้อมูล ที่ต้องปีนภูเขา สลับการเดินลุยสายน้ำในหุบเหว  พบว่าต้องใช้เวลาสามวัน แต่นายจ้าง..คนวางแผนกำหนดให้แค่วันเดียว

ฉันยังจำได้..งานนั้นฉันได้สำรวจระยะที่หนึ่ง เพื่อหาข้อมูลพื้นฐานระดับจังหวัด และอำเภอไปแล้ว เหลือระยะที่สองต้องเก็บข้อมูลระดับหมู่บ้าน  ฉันเป็นหัวหน้าทีมภาคสนาม มีเพื่อนร่วมงานอีกราวสิบคน ก่อนที่จะเซ็นสัญญาทำงาน ฉันพยายามหาข้อเท็จจริงมาชี้แจงเพื่อบอกนักวิชาการในห้องแอร์ว่า ข้อมูลพื้นฐานของคุณผิดพลาดอย่างมหันต์ การกำหนดเวลาให้เราแค่หนึ่งเดือน มันไม่มีทางเป็นได้

ที่ต้องต่อรองเรื่องเวลา ไม่ได้เกี่ยวกับค่าใช้จ่าย แต่ฉันตั้งใจจะบอกกับพวกเขาว่า งานสนามอย่าใช้เพียงความคาดคะเน ถ้าคุณไม่เคยลงพื้นที่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะแถวชายแดน อุปสรรคที่ดักรออยู่มากมายให้ต้องเผชิญ อย่าคิดว่าง่ายที่จะได้ข้อมูล และอย่าคิดว่าเงินที่จ่ายคือสิ่งที่มีค่ามากแล้ว หากคุณทำเองไม่ได้

งานนั้น ฉันชี้แจงอย่างใจเย็น ด้วยแผนที่ทางอากาศ ที่แสดงเส้นคอนทัวร์ ความสูงชัน ภาพถ่ายแสดงสภาพพื้นที่ ที่ฉันเคยเข้าไปเห็นมาแล้ว  แล้วบอกกับเขาว่า..ฉันไม่สามารถทำงานนี้ได้อีกต่อไป ฉันไม่มีความสามารถพอที่จะเดินเข้าไปในหมู่บ้านเลตองคุยามฤดูฝนและทำงานให้เสร็จได้ภายในวันเดียว

นี่คืองานแรกและงานเดียว ที่ฉันทิ้งงานระหว่างทาง แต่ข้อมูลชุดแรก ฉันได้ส่งถึงมือเขาเรียบร้อย  ครั้งนั้น ยังรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ร่วมงานกับนักวิชาการบางคน แต่สำหรับบางคน..........!!!

ฉันจึงเรียกตัวเองว่า “หมาล่าเนื้อ” เขาจ้างให้ล่าเนื้อ แต่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้ออันโอชะสักที

งานชิ้นต่อมาคือ “สำรวจเก็บข้อมูลหมู่บ้านต้นน้ำพอง” ซึ่งอยู่ด้านหลังภูกระดึง ระยะเวลาที่ต้องทำงานคือ 3 เดือน นายจ้างเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันรับทำงานคนเดียว

หมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน ที่อยู่ต้นน้ำพอง เป็นหมู่บ้านในป่า ไม่มีรถโดยสาร เพราะถนนเลวร้ายมาก รถที่วิ่งได้มีเฉพาะรถขับเคลื่อนสี่ล้อของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และรถมอเตอร์ไซด์  มันเป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง ที่ทำให้ฉันได้ทดสอบความสามารถทางร่างกายของตัวเอง และเป็นไปตามความใฝ่ฝัน นั่นคือ “การเดินขึ้นภูกระดึง” เพื่อไปดูแหล่งต้นน้ำพองจริงๆ  หลังจากเก็บข้อมูลในหมู่บ้านเสร็จแล้ว ฉันจะต้องขึ้นไปดูและเก็บภาพสภาพต้นน้ำพองบนภูกระดึง

การไต่ขึ้นที่สูงทีละก้าวๆ อย่างช้าๆ เพราะฉันต้องคอยระวังเข่าไม่ให้ทำงานหนัก ทั้งที่บนหลังมีเพียงเป้ไม้ไผ่ของชนเผ่าในฟิลิปปินส์ใช้เก็บรังนก ในนั้นมีเสื้อผ้าบางๆหนึ่งชุด และกล้องถ่ายรูปอย่างหนักพร้อมเลนส์สำรองอีกหนึ่งชิ้น น้ำหนักไม่มากเกินกว่าจะแบกสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับฉันนับว่าพอสมควร

การเดินขึ้นเพียงลำพังและยังใส่แค่รองเท้าฟองน้ำ เป็นความประมาทอย่างรุนแรง  เรียกว่าหาความพร้อมในการเดินป่าไม่ได้เลย แต่ฉันก็ยังขึ้นมา เพราะว่า “มันเป็นงาน ที่ต้องทำให้เสร็จทันเวลา”

การขึ้นภูกระดึงแบบไม่พร้อมทางร่างกายและอุปกรณ์ มีเพียงหัวใจที่พร้อม ทำให้ฉันได้พบเจอกับสิ่งดีๆมากมาย ทั้งเรื่องราวของผู้คนและธรรมชาติ

จนไม่อาจลืมได้ แม้ทุกวันนี้

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

บล็อกของ เงาศิลป์

เงาศิลป์
  ภูเขาหัวโล้นลูกนี้ อยู่ในเทือกเดียวกับภูหลวง จังหวัดเลย "ถามจริงๆ เถอะ คนแบบเราๆ นี่ ถ้าไปเป็นคนทำสวนจะหาเลี้ยงตัวเองได้จริงหรือ"เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งถามฉัน ในวันที่ฉันยังไม่ได้มีอาชีพทำสวน คงเป็นคำถามเพื่อนำไปสู่การสนทนาเชิงวิเคราะห์ว่าความคิดที่จะพึ่งตนเองจากอาชีพนี้เป็นไปได้จริงหรือ และฉันจำได้ว่าคำตอบของตัวเอง คือ"ไม่ได้" "ไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าการพึ่งตนเองหมายถึงการตัดเส้นเลือดทางการเงินจากอาชีพอื่นโดยสิ้นเชิง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นปลูกต้นไม้ในปีแรกๆ และไม่มีเงินเก็บ หรือไม่มีคนสนับสนุนทางการเงิน คงไปไม่รอด"ฉันตอบจากประสบการณ์ที่เห็นปัญญาชนหลายคนอยากจะเป็นชาวไร่…
เงาศิลป์
ยามค่ำคืนที่เหน็บหนาวออกปานนี้ หนาวจนต้องสวมเสื้อกันหนาวหนาๆ ถึงสองชั้น หวังทนทานต่อความแหลมคมของไอหนาวที่แทรกซอนเข้ามาบาดเนื้อ เสื้อผ้าอาจปกป้องร่างกายไว้ได้บ้าง แต่บางความหนาวที่แทรกซึมเข้ามาได้กลับกระพือความร้อนรุ่มภายในให้ลุกโชน  ภาพถ่ายสุดท้ายของเจ้าเก๋า ในวันก่อนจะจากไปเพียงไม่กี่วัน สิ้นสุดเสียทีอีกหนึ่งชีวิต ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป เพราะพิษของสารเคมีที่เข้าไปทำลายตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ในเวลาสี่วัน วันสุดท้ายของมันกับความรู้สึกห่วงใยของฉัน มันคงรับรู้ได้ นาทีสุดท้าย มันจึงสะท้อนลมหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงทิ้งตัวลงบนตักฉัน แล้วจากไปนิรันดร์
เงาศิลป์
พวกมันพากันเลื้อยไปบนผิวดิน ในสภาวะอากาศอุ่นๆ คล้ายทุรนทุรายรีบร้อนที่จะไปที่ไหนสักที่ แต่กลับหลงทางวกวนจนขาดใจตายไปในที่สุด เพียงชั่วเวลาไม่ถึงชั่วโมงยามนี้ ไอแดดไม่ผ่าวร้อนอีกต่อไป ละไอหมอกที่ห่อหุ้มรอบๆตัว สร้างความมัวซัวทั้งแนวป่า มันจึงปกป้องผิวดินให้เย็นฉ่ำ และเก็บความชุ่มชื้นไว้ด้วยหยาดน้ำค้าง แต่ทำไมไส้เดือนผู้รักดินจึงคิดทิ้งถิ่นอาศัย ดิ้นรนไปสู่ความตายเช่นนี้ด้วยเล่าสำหรับฉัน รอยต่อของฤดูฝนชนฤดูหนาว ธรรมชาติมีของกำนัลที่น่ารักมามอบให้มากมาย โดยเฉพาะแม่นกทั้งหลายที่มีลูกน้อยและสั่งสอนลูกๆให้หัดบิน มีมาให้เห็นใกล้ๆอยู่บ่อยครั้ง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ดี สำหรับการหาอาหาร…
เงาศิลป์
ละไอหมอกลอยเรี่ยอาบยอดไม้ ยามแสงเช้าสาดส่องทั่วลานไร่ รอบๆ กายคล้ายความฝัน นานนับปีแล้ว ที่ฉันไม่ได้เดินทางไกล ฤดูกาลเช่นนี้ มักกระซิบเรียกหาให้โลดแล่นออกไปตามใจตน แต่คราวนี้งานหนักในไร่ยังคงเร่งเร้าอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามต้นไม้โบกไหว สบัดเรียวใบชุ่มเขียวให้คลายสี แล้วปล่อยให้ลมแล้งแต้มสีเหลืองจางๆ ลงแทน ฉันยิ่งต้องเร่งทำงาน หยิบสมุดบันทึกออกมาอ่านอย่างไม่ตั้งใจ กลับพบบางอย่างที่ชวนขำ ฤดูหนาวของปีนั้น ฉันได้เร่ร่อนท่องเที่ยวไปท่ามกลางความขัดแย้งที่บานปลายไปจนถึงขั้นสู้รบฆ่าฟันกันรายวัน และได้เห็นภาพการประท้วงที่วุ่นวายบนท้องถนน เกือบทั่วทั้งประเทศ บนรถไฟ จากเมืองแคนดี้…
เงาศิลป์
“ทำไมพี่ไม่ใช้ตัวพ่วงท้ายที่ไถพรวนไปพร้อมๆ กับตัดหญ้าล่ะครับ ดินจะได้ไม่แข็ง” เป็นคำแนะนำของยุทธ ซึ่งแวะมาที่ไร่แต่เช้า เพื่อขอยืมพลั่วไปตักปุ๋ยขี้ไก่ ไว้หยอดใส่หลุมแตงโมที่เถาว์เริ่มเลื้อยยาว ขณะที่ฉันขับรถแทรกเตอร์ตัดหญ้าในสวน เจตนารมณ์ของการทำสวนที่คิดว่าจะเบียดเบียนชีวิตอื่นให้น้อยที่สุด และเพื่อประโยชน์ตนอันสูงสุด เท่าที่จะทำได้ ฉันจึงตั้งใจว่าจะไม่ไถพรวน แม้บางทฤษฎีของบางนักวิชาการจะบอกว่า ดินทรายต้องไถพรวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูฝน เพราะการไถพรวนพลิกหน้าดิน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำใต้ดินจากการดูดซึมของต้นหญ้า ใช่สิ ในภาคอีสานฉันเห็นการไถพรวนในเกือบทุกแปลงการเกษตร…
เงาศิลป์
นานๆ จึงจะมีเพื่อนบ้านแวะมาเยี่ยม ยิ่งยามนี้ยิ่งยากที่จะได้พบเจอคนผ่านทาง เพราะเส้นทางรถอีแต๊กถูกกระแสน้ำเชี่ยวลากพาดินทรายพัดหายไปทางลำธารข้างล่างโน่น จนกลายเป็นร่องน้ำลึกมีรากไม้ขนาดเล็กใหญ่พาดพันกันยุ่งเหยิง ส่วนพื้นที่ในไร่ ต้นไม้ยังเล็กนัก ร่องน้ำเล็กใหญ่เกิดขึ้นมากมาย แต่ที่ดินไม่พังทลายลงไปมาก เพราะผิวดินยังมีรากกอหญ้าสูงยึดดึงเอาไว้ ฉันหวังว่าปีต่อๆไป ผิวดินจะปลอดภัยมากกว่านี้ ถนนทางทิศตะวันออกของไร่กลายเป็นลำธาร จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งเกินจำเป็นไปในทันที ไม่ต้องพูดถึงรถยนต์ที่ฉันไม่มีใช้ รถอีแต๊กที่เคยผ่านเส้นทางนี้ทุกเช้า…
เงาศิลป์
ทุกชีวิตย่อมมีศักยภาพในการใช้ชีวิต หากยอมรับว่า “เกมการล่า” ว่าเป็นวิถีทางที่มีอยู่จริง และเราสามารถยอมรับความเจ็บปวดได้เมื่อตนเองถูกล่า ชีวิตฉันมักจะเป็นดั่งนี้… สิบกว่าปีที่แล้ว ณ ริมธาร “ห้วยแก้ว” เชียงใหม่ สายฝนที่ตกลงมาอย่างหน่วงหนักตลอดคืน ทำให้หลังคากระท่อมที่มุงด้วยใบหญ้าคา ทรุดฮวบลงมากองทับตัวฉันและกองหนังสือของฉันจนเปียกปอน ฉันได้แต่หัวเราะอย่างขำขื่น สาสมใจ วันนี้...ในหุบเขากว้าง บนแผ่นดินที่ราบสูง หลังจากฟ้าฝนกระหน่ำสายติดต่อกันหลายวันหลายคืน ฟ้าจึงบรรณาการแสงแดดอันอุ่นเอื้อมาให้ ต้นไม้ของฉันจึงได้หายใจบ้าง ต้นไม้ใหญ่ อาจพอมีเวลาต่อรอง…
เงาศิลป์
ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นตื่นตระหนกเบิกโพลงอยู่ในความมืดสลัวของกระสอบปุ๋ย ทันทีที่ฉันเปิดปากถุงพวกมันต่างเงยหน้าจ้องมองมาที่ฉัน ดวงตาอีกสี่คู่เป็นสีน้ำตาลกลมกลืนกับความมืดจึงไม่สะดุดใจเท่าดวงตาคู่ที่เป็นสีน้ำทะเลกระจ่างจ้าคู่นั้น“โถ ลูกหนอลูก” ฉันร้องครางอยู่ในใจ นั่นคือเหตุการณ์ในเวลาเช้าตรู่ ที่ฟ้าฝนกระหน่ำสายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กาลเช่นนี้ได้ลักพาความสดชื่นแห่งวันใหม่ไปซุกซ่อนไว้ในม่านเมฆฝนหนาทึบริมฟ้า ราวกับมันเป็นจำเลยที่ต้องโทษหนัก และเช่นกัน ฉันผู้เคยเสพสุขจึงต้องร่วมรับโทษทัณฑ์นั้นไปด้วย เพราะเวลาที่อึมครึมในแต่ละนาทีดูเหมือนเนิ่นช้าและหน่วงทับอารมณ์มากขึ้นและมากขึ้นทุกขณะ  …
เงาศิลป์
ฉันสำเหนียกถึงแรงสะเทือนที่ดิ้นสะท้านอยู่ภายในอก ยามที่เผลอใจไปยึดมั่นกับเรื่องราวความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราขณะนี้ ทั้งที่ฉันตั้งใจวางตัวเองไว้ตรงชายขอบของสังคม... ไม่ได้ตั้งใจปิดหูปิดตาตัวเอง แต่เพราะการสื่อสารทั้งหลายที่ไม่สะดวก ฉันจึงหลุดออกมานอกวงสนทนาของความขัดแย้งเกลียดชัง เพราะ...ถูกและผิด ใช่และไม่ใช่เป็นเรื่องซับซ้อน วันวาน...สภาพชีวิตของฉันเป็นเสมือนวัชพืชของสังคมวันนี้...ฉันเป็นผู้แผ้วถางวัชพืชตัวจริงอย่างสำนึกรู้ผิดบาป แม้จะเลือกใช้เครื่องมือที่ปลอดภัยที่สุดแล้วต่อชีวิตเล็กๆ แต่กระนั้นฉันก็ยังทำลายชีวิตบางชีวิตอยู่ดี
เงาศิลป์
“เมื่อวานนี้คนในหมู่บ้านถูกหวยกันหลายคน”ยายแดงเริ่มเรื่อง ขณะที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นหญ้าหน้าบ้าน พลางเอาเสียมปากแบนแซะหญ้าเล่น ใบหน้ายังแดงก่ำ หยาดเหงื่อยังเปียกชื้นที่ไรผม เพราะงานดายหญ้า“แล้วยายแดงไม่ถูกกะเขาด้วยเหรอ” ฉันนั่งบนที่พักเชิงบันได หลังจากจัดเรียงกล้าไม้ใกล้โอ่งน้ำเสร็จไปแล้วหนึ่งชุด“ไม่ได้ซื้อกับเขาหรอก ไม่ค่อยได้ซื้อหวย” นับว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ฉันชื่นชมในใจ“แล้วชาวบ้านได้เลขมาจากไหนกันละยายแดง”“เขาว่าเป็นเลขผีบอก ผีจากวัดป่าบอกผ่านเจ้าอาวาสอีกที”“อืม....ไม่เลวแฮะ แสดงว่าผีมีจริง”....ฉันนึกถึงกุศโลบายของตัวเอง ที่บอกกับใครๆว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่กับ “ผีโนนบ้านคึม…
เงาศิลป์
นั่งบนตอไม้เล็กๆ หลังพิงโอ่งน้ำขนาดเท่าช้างพังตั้งท้อง ในปากกำลังเคี้ยวมะม่วงแก้วที่สุกพอห่ามๆ รสชาดกำลังดีมีความเปรี้ยวนิดๆ ทั้ง “เจ้าเสือ” หมาหนุ่มคู่บารมี ยังนอนหมอบราบคาบแก้ว ทำท่าขอแบ่งกินอยู่ตรงเท้า ดูสิ..ฉันใช้ชีวิตราวกับพระราชาในเทพนิยาย  เพราะเบื้องหน้าไกลโพ้นโน่น ตรงขอบฟ้าเหนือดงไม้นั่น คือการแสดงพลังพิเศษของเหล่าสามัญมนุษย์ เพื่อสื่อสารกับเทวดาพญาแถน จนท้องฟ้าสั่นสะเทือน ม่านเมฆเคลื่อนอยู่ไปมาเนื่องจากบ้านไร่เป็นที่ๆ ห่างไกลชุมชนทั้งในระยะทาง และด้วยสายตา แต่ฉันก็สามารถมองเห็นที่ตั้งของทุกหมู่บ้านรายรอบได้เป็นอย่างดี ในวันเวลาเช่นนี้ ทุกทิศทางจะมีเสียงดังฟู่ยาวๆ…
เงาศิลป์
มันคงเป็นเรื่องเล่าที่ชวนพิศวง ฉันคงสงสัยว่ามันมีความจริงปนอยู่สักเท่าใด หากไม่ได้ถูกบันทึกไว้ด้วยมือของฉันเองภาพในอดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้วฉันเห็นตัวเองเกาะแน่นอยู่บนอานรถมอเตอร์ไซค์ที่ไต่ไปตามคันนาเล็กๆ คนขับชำนาญทางเป็นอย่างดี เพราะไม่เช่นนั้นอาจได้ลงไปนอนแช่น้ำในผืนนากันทั้งคู่“พี่หวาด” เป็นหมอยาพื้นบ้านและเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน แกทำหน้าที่เป็นสารถีรวมทั้งเป็นเนวิเกเตอร์ในการไปพบเจอกับแหล่งข้อมูล และนั่นคือที่มาของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ ที่หลงเหลือไว้ให้ฉันหยิบจับขึ้นมาอ่านซ้ำอย่างประหลาดใจไม่น่าเชื่อว่าฉันจะเคยพบเจอกับบุคคลที่มีบุคลิกพิเศษมากมาย ปัจจุบันเขาเหล่านั้นลาจากโลกนี้ไปแล้ว…