การชุมนุมทางการเมืองเพื่อแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่แตกต่าง และต้องการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล รวมทั้งการชุมนุมให้เรียกร้องแก้ไขปัญหาของหลายเครือข่ายในหลายประเด็นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยที่ไม่มีการใช้ความรุนแรง แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของคนไทยที่กล้าแสดงออก และกล้าตรวจสอบรัฐบาล
หากมองอีกมุมหนึ่ง การชุมนุมของ กปปส. แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของสังคมไทย ที่คนไทยได้เรียนรู้ความเป็นประชาธิปไตย เพราะการชุมนุมได้เปลี่ยนวัฒนธรรมของคนไทยซึ่งเคยชินกับระบบการสั่งการ การใช้วัฒนธรรมอำนาจนิยมรวมทั้งประชานิยมในการปกครองประเทศตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับท้องถิ่น
วัฒนธรรมดังกล่าวจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสังคมประชาธิปไตย เพราะได้แสดงถึงเจตจำนงของปวงชนชาวไทย แม้ว่าเป็นเสียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ แต่หนึ่งเสียงของประชาชนคือที่มาแห่งอำนาจของการมีรัฐาธิปัตย์ การใช้สิทธิหนึ่งเสียงต้องนำไปสู่การสร้างกฎกติกาของประเทศที่ไม่ใช่มาจากพรรคการเมือง และชนชั้นนำของสังคมไทย
ความขัดแย้งทางการเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน จึงเป็นโอกาสดีที่คนไทยต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวแทนของประชาชน เนื่องจากความจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนว่าระบบพรรคการเมืองไทยยังเป็นระบบอุปถัมภ์ของกลุ่มทุน สมาชิกของพรรคการเมืองอยู่กันแบบพึ่งพาและนำพามาสู่กระบวนการคอรัปชั่น มากกว่าการมีเจตจำนงต่อการรับใช้ประชาชน
ด้วยวัฒนธรรมของชุมชนในสังคมไทยในชนบทที่เป็นสังคมเกษตรกรรม และสังคมกึ่งเกษตรกรรมกึ่งเมือง ยังมีลักษณะของการดำรงอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ที่ยังต้องพึ่งพาอำนาจนิยม อันเนื่องมาจากสถานะทางสังคมที่ต้องพึ่งพาการอยู่รอดทางเศรษฐกิจ นโยบายการสนับสนุนภาคเกษตรกรรมที่ผ่านมาไม่เคยมีการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ นอกจากการค้ำจุนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อพยุงราคาตลาด โดยไม่ได้สร้างความเป็นไทให้แก่เกษตรกร เกษตรกรไทยในทุกภาคทั่วประเทศจึงต้องมีเส้นสายอุปถัมภ์ค้ำจุนในระดับหมู่บ้านจนถึงระดับชาติ
ระบบพรรคการเมืองในสังคมไทยที่กล่าวมาข้างต้นจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิงต่อการได้นักการเมืองที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาวัฒนธรรมและจิตสำนึกดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขภายในเร็ววัน เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิรูปประเทศไทยอย่างเร่งด่วน ด้วยการสร้างกฎกติกาให้คนไทยเป็นอิสระทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองอย่างแท้จริง
เมื่อรัฐบาลได้ประกาศยุบสภา และรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้ต้องมีการเลือกตั้งภายในหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 108 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550) ได้มีข้อถกเถียงว่าการเลือกตั้งเป็นการแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตย เพื่อคืนสิทธิของปวงชนชาวไทย แต่ในสภาวะที่บ้านเมืองมีความขัดแย้งสูง และมีคำถามมากมายต่อระบบพรรคการเมือง และการเลือกตั้งก็ยังเป็นปัญหาดังที่กล่าวมาข้างต้น
ทางออกของประเทศจึงไม่ใช่ภารกิจของ กปปส. หรือรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดังนั้นในสภาวะที่กฎหมายไม่ได้เป็นทางออกของการจัดการปัญหาความขัดแย้งได้ และเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนร่วมกันของประชาชนอย่างแท้จริง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงต้องไม่เป็นการเลือกตั้งเพื่อนำไปสู่การบริหารประเทศ แต่เป็นการเลือกผู้แทนของประชาชนเพื่อมาทำหน้าที่ในการปฏิรูปประเทศไทยภายในระยะเวลาสองปี ซึ่งต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม กฎหมายที่ผูกขาดทางเศรษฐกิจและการถือครองที่ดิน กฎหมายที่ส่งผลต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
พรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้ามารับภารกิจนี้จึงต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและประกาศจุดยืนของการปฏิรูปประเทศ พร้อมทั้งมีเนื้อหาของนโยบายในประเด็นการปฏิรูปอย่างชัดเจน พรรคการเมืองที่เสนอตัวจึงต้องไม่ผูกขาดด้วยพรรคการเมืองใหญ่ เมื่อรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งทำหน้าที่ออกแบบกฎกติกาของการให้ทุกภาคส่วน (ไม่รวมพรรคการเมือง) มีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศไทยจนสำเร็จ ภารกิจของรัฐบาลชุดดังกล่าวก็ต้องจบสิ้นลงภายในสองปี และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่
คณะกรรมการเลือกตั้งจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่กำหนดกรอบของประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรคการเมืองที่นำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้คนไทยตื่นตัวในเรื่องนี้ และมีเป้าหมายที่ชัดเจนต่อการเลือกผู้แทนของตนเข้าไปทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศ สภาพัฒนาการเมือง กปปส. หรือเครือข่ายประชาชนทั่วประเทศ ต้องให้ความสำคัญต่อการเฝ้าระวังตรวจสอบบทบาทของพรรคการเมืองในการทำหน้าที่ดังกล่าว และศึกษานโยบายการปฏิรูปประเทศอย่างจริงจัง คุณูปการของ กปปส. และการชุมนุมของประชาชนแม้เพียง 5 ล้านคน หรือน้อยกว่านั้นก็เป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งทำให้คนไทยที่หลับใหลได้ตื่นตัวต่อสิทธิของตนเอง นับเป็นผลงานชั้นยอดในการสร้างกระแสให้ใช้สิทธิในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้นการชุมนุมจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่เป็นเรื่องดีของการนำพาให้คนไทยขับเคลื่อนร่วมกัน ก้าวพ้นความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง ก้าวข้ามความแตกต่างทางความคิดของเสื้อสี และที่สำคัญได้ใช้สิทธิในการตรวจสอบรัฐบาล อันเป็นหัวใจประชาธิปไตยที่แท้จริง