แม้พุทธศาสนาจะมีต้นกำเนิดมาจากชมพูทวีป แต่ชนชาติต่างๆ ได้มีการแลกรับปรับใช้ในแบบของตนเอง เกิดลัทธินิกายผิดแผกแตกต่างกันไป สำหรับพุทธศาสนาในเมืองไทยนั้นเป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่า ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิเถรวาทของมอญ ซึ่งเลื่องชื่อเรื่องความเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติของสงฆ์และความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นของพุทธศาสนิกชนมอญ ข้อหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อจากนี้คือ พุทธประวัติตอนที่พระนางพิมพาสยายผมลงเช็ดพระบาทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธประวัติตอนนี้มีกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของมอญเท่านั้น นอกจากนี้ชาวมอญยังได้นำมาใช้ในชีวิตจริงกับกษัตริย์และราชวงศ์อีกด้วย เป็นการยืนยันถึงความเลื่อมใสศรัทธาอันเป็นเอกลักษณ์ทางพุทธศาสนาของชนชาติมอญแต่โบราณ
หลายคนอาจได้ยินเรื่องการ “สยายผมลงเช็ดพระบาท” จากเพลงของ จรัล มโนเพชร ในบทเพลงที่ชื่อ “มะเมี๊ยะ” สาวมอญเมืองมะละแหม่ง ในตอนที่มะเมี๊ยะจะต้องอำลาจากเจ้าน้อยศุขเกษม รัชทายาทเจ้าเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น เพื่อกลับบ้านเมืองของตนภายหลังผิดหวังในรักเพราะผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าน้อยปฏิเสธอย่างรุนแรง มะเมี๊ยะสยายผมลงเช็ดบาทเจ้าน้อยเพื่อแสดงความอาลัยรักและเคารพอย่างสูงสุด เนื้อร้องเพลงที่ว่านั้นคือ
“...โอ๊ โอ้ ก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง เจ้าชายก็จั๊ดขบวนจ๊าง ไปส่งนางคืนทั้งน้ำต๋า มะเมี๊ยะตรอมใจ๋ อาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเจ๊ดบาทบาทา ขอลาไปก่อนแล้วจ๊าดนี้”
ประเพณี “สยายผมลงเจ๊ดบาทบาทา” ที่กล่าวถึงในเพลงของจรัล มโนเพชร เป็นประเพณีโบราณ ดังปรากฏหลักฐานเป็นภาพสลักนูนต่ำอยู่บนใบเสมาสมัยทวารวดี ซึ่งใบเสมานั้นมีความสำคัญต่อพุทธสถานอย่างยิ่ง การที่จะเรียกว่าเป็นวัดได้นั้น จะต้องมีหลักกำหนดเขตชัดเจนสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และหลักสำหรับปักเพื่อแบ่งเขตนี้มีชื่อเรียกว่า “ใบเสมา” เป็นเขตกำหนดความพร้อมเพรียงของสงฆ์ หรือเขตชุมนุมของสงฆ์ หรือเขตที่สงฆ์ตกลงไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายที่อยู่ภายในเขตนั้นจะต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน
ใบเสมาสลักภาพนูนต่ำเล่าเรื่องพระนางพิมพาสยายผม รองพระบาทพระพุทธเจ้า
ใบเสมามีประวัติความเป็นมายาวนาน ในประเทศไทยสามารถสืบย้อนไปไกลถึงยุคสมัยแรกเริ่มของประวัติศาสตร์ นั่นคือ อารยธรรมทวารวดี อันเป็นที่ทราบกันแล้วว่าอารยธรรมทวารวดีเป็นอารยธรรมเก่าแก่ของมอญ มีศูนย์กลางความเจิญอยู่บริเวณภาคกลางของไทยในปัจจุบัน และเป็นอารยธรรมที่นับถือพระพุทธศาสนาไปพร้อมๆ กับศาสนาพราหมณ์ แต่ศาสนาพุทธเจริญรุ่งเรืองมากกว่า ดังปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น ศิลาจารึกและงานศิลปกรรมต่างๆ ส่วนในบริเวณภาคอีสานของไทย ก็พบร่องรอยอารยธรรมทวารวดีที่เผยแพร่มาจากภาคกลาง รวมทั้งใบเสมารูปพระนางพิมพาก็ค้นพบในเขตภาคอีสานเช่นกัน
ด้วยความที่ใบเสมาขนาดใหญ่ จึงนิยมสลักภาพเล่าเรื่องบนใบเสมาขึ้น เป็นความสวยงามที่บอกเล่าเรื่องราวในพุทธศาสนาแทนการอ่านที่จำกัดอยู่ในกลุ่มคนชั้นสูงเท่านั้น เรื่องราวที่นิยมสร้างขึ้นนั้น มักเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีภาพสถูปหรือหม้อปูรณฆฏะ อันเป็นอิทธิพลทางคติความเชื่อเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของอินเดีย
สำหรับภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติ ส่วนมากเป็นตอนที่พระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมโปรดเหล่าบุคคล ภาพสลักบนใบเสมาที่เชื่อว่ามีความงดงามและสำคัญอย่างที่สุดชิ้นหนึ่งนั้น คือ ภาพตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาจากกรุงกบิลพัสดุ์ พบที่เมืองฟ้าแดดสงยาง จังหวัดกาฬสินธุ์ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่น เป็นภาพขณะพระนางพิมพาสยายผมรองรับพระบาทของพระพุทธเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นท่าแสดงความเคารพอย่างสูงสุด การแสดงความเคารพในลักษณะเช่นนี้ โดยมากพบในศิลปะมอญและพม่า สะท้อนแนวความคิดทางพุทธศาสนาในแบบมอญที่แพร่ขยายความนิยมทางศิลปะสู่ดินแดนใกล้เคียง
บันทึกในหน้าประวัติศาตร์ไทยอย่างน้อย ๒ ครั้ง ที่สาวมอญได้ถวายสักการะอย่างสูงสุดต่อสมาชิกในราชวงศ์ของไทย ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เส็จพระราชดำเนินยกช่อฟ้าพระอุโบสถวัดคงคาราม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี สาวมอญได้หมอบรอรับเสด็จสองข้างทางตั้งแต่ประตูรถพระที่นั่งจอดเทียบไปจนถึงปะรำพิธี โดยปลดมวยผมสยายลงถวายสักการะให้แด่สมเด็จพระเทพฯได้เสด็จพระราชดำเนินผ่าน ครั้งที่สอง ชาวมอญตั้งใจปฏิบัติถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาในงาน ไทยรามัญเทิดพระเกียรติพระมิ่งมณีจักรีวงศ์ ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี เมื่อ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๔๗ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้จัดงานเสนอปรับเปลี่ยนให้สาวมอญเพียงแต่ปลดผ้าสไบจากไหล่ปูลาดรองพระบาทให้พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินแทน
สาวมอญสยายผม รองพระบาทสมเด็จพระเทพฯ วัดคงคาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี พ.ศ. ๒๕๒๐
ประเพณีสยายผมรองพระบาทหรือเช็ดพระบาทของมอญนั้นมีมาช้านานแล้ว ชาวมอญถือเป็นการถวายความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยการนำสิ่งสูงสุดของร่างกายตนที่ถือเป็น “ศรี” แด่เจ้าของกายสยายลาดปูให้สมณสงฆ์ กษัตริย์ ตลอดจนราชวงศ์เหยียบย่าง แม้สถาบันกษัตริย์ราชวงศ์ของมอญจะไม่ปรากฏอยู่แล้วในวันนี้ แต่ชาวมอญในเมืองไทยยังคงปฏิบัติบูชากับราชวงศ์ไทยสืบมาไม่เสื่อมคลาย
สาวมอญปลดสไบ จากไหล่รองพระบาทสมเด็จพระเทพฯ ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี
พ.ศ. ๒๕๔๗
ความเห็น
บทความน
บทความนี้สนับสนุนและตอกย้ำได้เป็นอย่างดี
ต่อข้อสันนิษฐานที่ว่า “มะเมี๊ยะ” แห่งเมือง "มะละแหม่ง" นั้นเป็นสาวมอญ
ในอดีต "มอญ" นั้นรุ่งเรืองมากในเขตลุ่มน้ำอิระวดีและลุ่มน้ำสาละวิน
ส่วน "ขอม" นั้นรุ่งเรืองในเขตระหว่างลุ่มน้ำเจ้าพระยากับลุ่มน้ำโขง
อาณาจักรล้านนานั้นน่าจะรับอารยธรรมจากมอญมากกว่าขอม
อย่างอักษรล้านนาก็มีพัฒนาการจากอักษรมอญ
ในขณะที่สุโขทัยได้พัฒนาอักษรจากอักษรขอม
กษัตริย์ล้านนาที่มีชื่อเสียง "พระเจ้าเม็งราย"
ก็มีชื่อเป็นมอญ ("เม็ง" ภาษาเหนือหมายถึง "มอญ")
บางคนเรียกว่า "พระเจ้ามังราย" ก็ยิ่งเป็นภาษามอญมากขึ้น
อาณาจักรสุโขทัยเองก็มีการติดต่อกับมอญเป็นอย่างมาก
ดังจะเห็นว่ามีเรื่องราวของ "มะกะโท"
ในทางภูมิศาสตร์ ระยะทางการออกทะเลของสุโขทัย
ทางทิศตะวันตก กับทางทิศใต้มีระยะทางพอๆกัน
อารยะธรรมอินเดียจึงผ่านอาณาจักรมอญเข้ามาได้ง่ายกว่า
สงสัยว่า
สงสัยว่าทำไมเหมือนกับเรื่องในคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วยตอนที่มารีย์เอาน้ำหอมมาแล้วใช้ผมเช็ดเท้าพระเยซู
"เม็ง" ในล
"เม็ง" ในล้านนาเป็นที่รู้กันดีว่าหมายถึง "มอญ" ต่อมาเขาจึงให้ออกเสียงเรียกพ่อขุน - ราย ว่า มัง ว่าถูกต้อง ด้วยกลัวว่า พ่อขุน - ราย จะเป็นมอญ แต่ยินดีใช้คำว่า มัง ซึ่งดูเป็นพม่า มากกว่า ถ้าจะย้อนดูประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะมีการสร้างบ้านแปงเมืองล้านนา ดังปรากฏอนุสาวรีย์ "โอน้อยออก" (อนุสาวรีย์สามกษัตริย์) ภาษาและวัฒนธรรมประเพณีส่วนใหญ่ก็รับมาจากหริภุญชัย คนหริภุญชัยเป็นใครกันบ้าง (คงมีหลายชาติพันธุ์อยู่ปะปนกันไป) แต่จารึกที่ขุดพบที่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นภาษามอญ
ที่คุณ "samak
ที่คุณ "samakun" สงสัยว่า ทำไมในคัมภีร์ไบเบิ้ลมีฉากที่มารีย์เอาน้ำหอมมาแล้วใช้ผมเช็ดเท้าพระเยซูคล้ายกับพระนางพิมพาสยายผมรองพระบาทพระพุทธเจ้า
อันนี้ตอบยาก แต่บางทีอาจจะไม่ยากสักเท่าไหร่ เพราะในยุคแรกๆ ของพุทธศาสนายังไม่มีรูปเคารพ เราเพิ่งจะมาสร้างพระพุทธรูปขึ้นในภายหลังจากนั้นนับพันปี พระพุทธรูปยุคแรกๆ มีหน้าตาเหมือเทพอพอลโล ริ้วจีวรก็คล้ายกับชุดแต่งกายของรูปปั้นกรีก
คำว่า กูรู (guru) ที่ตะวันตกนิยมใช้ นำมาจากภาษาสันสกฤษว่า คุรุ นำไปใช้ในความหมายว่า ครู ผู้รู้แจ้ง ผู้ให้ทางสว่าง
ตัวเลขอารบิคที่ฝรั่ง (และเกือบทุกชาติ) ใช้กันทั่วไปทุกวันนี้ก็เป็นตัวเลขอาหรับ
ฯลฯ