องค์ บรรจุน
“มอญอะไร นุ่งผ้าถุงลายนี้ มีผ่าหลังด้วย มอญเค้าไม่มีกันหรอก” นักวิชาการมหาวิทยาลัยเปิดแถวเมืองนนท์ชี้ให้ดู
“มอญของแท้ต้องโสร่งแดง นุ่งลอยชายแบบพระประแดงนั่นน่ะมอญแปลง เอาแบบกรมศิลป์มาใส่...” พิธีกรสุดเริ่ดดอกเตอร์หมาดๆ รายการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ข้างตำราพูดเสียงยาว
แล้วยังจะอีกพะเรอเกวียน ตำหนิ ติ บ่น ก่น ด่า ถากถาง ตั้งความฝัน คาดหวังให้เป็น ขีดเส้นให้ตาม
- - - - - - - - - - -
จิตรกรรมฝาผนังวัดบางแคใหญ่ สมุทรสงคราม สมัย ร. 2
เป็นภาพสาวมอญนุ่งผ้าแหวกผ่านกลุ่มชายหนุ่ม และถูกเกี้ยวพาราสี
“หลวงพระบางไม่บริสุทธ์เหมือนเก่าแล้ว...”
“เดี๋ยวนี้คนลาวดูแต่โทรทัศน์ไทย ใช้สินค้าของไทย...”
“ควรอนุรักษ์วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวม้งเอาไว้ ไม่ควรนุ่งยีนส์ และติดจานดาวเทียมบนหลังคาบ้าน...”
“พวกพม่ามันแต่งตัวเดินตลาดยังกะอยู่บนแคทวอล์ค…”
เหม็นเบื่อนักท่องเที่ยวที่ไม่ดูสภาพตัวเอง สมเพชกับนักวิชาการที่ชอบเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ตัดสินคนอื่นด้วยความคิดของตน เอาทฤษฎีมาจับ ไปไหนมาไหนก็มีเข่งวางรอบตัว ติดป้ายชื่อแต่ละเข่ง เป็นต้นว่า สตรีนิยม ฝ่ายซ้าย อนุรักษ์นิยม ท้องถิ่นนิยม โพสท์โมเดอร์น เฟมีนีสต์ โรยัลลิสต์ มาร์คซีส (อยากมีภาษาต่างประเทศเอาไว้ในวงเล็บเหมือนกันแต่จนปัญญา) มากมายร้อยแปดเข่ง เห็นใครก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดที่จัดทางให้เขาลงเข่งแต่ละใบที่ตัวเองหอบฟางไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ
นักท่องเที่ยว (ชะโงกทัวร์) และนักวิจัย (งบกลางปีเหลือ) แบบแบกะดิน ลองได้ไปท่องเที่ยวหรือลงสนามเก็บข้อมูลเมื่อไหร่เมื่อนั้น ชอบมองชาวบ้านแบบจับผิด ทั้งที่ตัวเองก็ไม่หลงเหลือตัวตนความเป็นอะไรสักอย่าง ไม่มีความชัดเจนในพื้นเพชนเผ่าอะไรสักสิ่ง แต่พอไปถึงบ้านเขาแล้วตั้งความหวังสูงส่ง ตั้งใจอยากจะเห็น อยากให้เขาเป็น แบบที่เป็นไปไม่ได้ (โรคจิตอ่อนๆ เห็นใครดักดานแล้วมีความสุข) เมื่อไม่ได้อย่างใจก็สำรอกโวยวาย “ของปลอมทั้งนั้น” บ้างก็ว่า “จัดแบบ ททท.”
จิตรกรรมฝาผนังวัดบางน้ำผึ้งนอก พระประแดง สมุทรปราการ
เป็นภาพสวามอญนุ่งผ้าแหวกเห็นหว่างขา
ไม่รู้คนพวกนี้เป็นยังไงถึงชอบถือสิทธิ์ตีกรอบให้เขาอยู่ บังคับกะเกณฑ์ให้เขาเป็นเหมือนไม้แคระในกระถาง ไม่ให้ตายแต่ห้ามโต ทั้งที่วัฒนธรรม ผู้คน วิถีชีวิตยุคไหนๆ มามันก็ต้องเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนถ่าย เติบโต ลื่นไหลไปมาด้วยกันทั้งนั้น นักวิจารณ์ก็เถอะ ตาชั้นเดียวบ้าง คางเหลี่ยมบ้าง ผมหยิกหย็อยบ้าง ผิวตกกระบ้าง ทำไมใส่สูทกินแฮมเบอร์เกอร์ได้ แล้วมีสิทธิ์อะไรไปบังคับให้ผู้คนส่วนอื่นๆ มีชีวิตอยู่แบบเมื่อพันปีที่แล้ว ด้วยเหตุผลอะไร ในเมื่อวัสดุ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมมันเปลี่ยนไป ชีวิตก็ต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ หากเป็นอย่างไดโนเสาร์ ที่สมมุติว่ามันกินแต่ผักคะน้าที่ออกดอกสีรุ้งกลางทุ่งหญ้าสะวันน่า พอถึงวันที่ผักคะน้ากลางทุ่งหญ้าสะวันน่าสูญพันธุ์ มันก็ต้องตายตามไปด้วย เพราะไม่รู้จักปรับตัวกินอย่างอื่น ใช้อย่างอื่น กระนั้นหรือ
การแต่งชุด 'ลอยชาย' ของชาวมอญพระประแดง
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะเรื่องการแต่งกายของคนมอญเป็นตัวอย่าง กรณีนักวิชาการ นักวิจารณ์ และนักท่องเที่ยว ที่ชอบฝันกลางแดดหลับตาเห็นแต่สังคม “ยูโทเปีย” มาพอเป็นสังเขป นักวิชาการเหล่านี้คาดหวังจะเห็นคนมอญอย่างเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทั้งที่เป็นไปไม่ได้ รวมทั้งเธอผู้นั้นก็คงจะทำการบ้านมาน้อยเกินไป เรื่องลวดลายผ้า ที่มีการลอกเลียนกันไปมา ตามธรรมดาของผู้หญิงเมื่อเห็นสิ่งใดสวยก็อดจะเอาอย่างกันไม่ได้ รวมทั้งวิธีการนุ่งห่มเรื่องการผ่า การแหวกให้เห็นขาขาวๆ นั้น ที่เธอว่า “มอญอะไร นุ่งผ้าถุงลายนี้ มีผ่าหลังด้วย มอญเค้าไม่มีหรอก” ก็มอญเขาทำกันมานานแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมา ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ ในนิราศพระบาทของสุนทรภู่ ได้กล่าวไว้ว่า
พี่เร่งเตือนเพื่อนชายพายกระโชก
ถึงสามโคกต้องแดดยิ่งแผดแสง
ให้รุ่มร้อนอ่อนจิตระอิดแรง
เห็นมอญแต่งตัวเดินมาตามทาง
ตาโถงถุงนุ่งอ้อมลงกรอมส้น
เป็นแยบยลเมื่อยกขยับอย่าง
เห็นขาขาววาวแวบอยู่หว่างกลาง
ใครยลนางก็เป็นน่าจะปรานี
ด้วยชนชาติมอญนั้นอาภัพ มีแต่อารยธรรมไม่มีประเทศ นุ่งผ้าถุงผ่าหน้ามาก็หลายร้อยปีกู้ชาติไม่สำเร็จ ลองผ่าหลังดูบ้างมันจะเป็นไรไป เผื่อจะกู้ชาติสำเร็จบ้าง
ห่อผ้าผีของชาวมอญบ้านดอนกระเบื้อง ราชบุรี
พิธีกรดอกเตอร์หมาดๆ หัวเสียกับการนุ่งผ้าลอยชายของคนมอญพระประแดง (คล้ายโจงกระเบน แต่ไม่เหน็บข้างหลัง ปล่อยชายให้ห้อยรุ่ยร่ายข้างหน้า) “มอญของแท้ต้องโสร่งแดง นุ่งลอยชายแบบพระประแดงนั่นน่ะมอญแปลง เอาแบบกรมศิลป์มาใส่...” อ้าว คนมอญเขาก็มีสมองนี่นา เสื้อผ้า หน้าผม ศิลปวัฒนธรรมมันก็ประยุกต์กันได้ หากพบเจออะไรที่เข้ามาใหม่และเห็นงามก็รับเข้ามา จริงอยู่ของเก่าเมื่อพันปีที่แล้วก็ยังเก็บไว้ แต่ของใหม่ก็ต้องพัฒนา ดูอย่างชุดไทยเป็นไร ยังมีชุดไทยสุโขทัย ชุดไทยอยุธยา ชุดไทยจักรี (การนุ่งโจงกระเบนเป็นการแต่งกายของไทย ทั้งที่เอามาจากเขมร) แต่แท้ที่จริงแล้ว ต้นแบบการแต่งกายของมอญซึ่งคนไทยรับเอามาอีกทอด ก็เชื่อว่ามีต้นแบบมาจากการนุ่งห่มส่าหรี การนุ่งผ้าของพราหมณ์ หรือที่เห็นชัดเจนก็คือ การนุ่งสบงของพระภิกษุสามเณรในพุทธศาสนาของเราทุกวันนี้ ซึ่งน่าจะกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการนุ่งผ้าแบบเก่าแก่ที่สุดในสุวรรณภูมิก็ว่าได้ หากอยากเห็นภาพชัดเจนก็ลองเข้าไปในปราสาทพระเทพบิดร ดูรูปปั้นของรัชกาลที่ 1-3 ก็จะพบว่าฉลองพระองค์ของพระองค์ท่านเป็นอย่างไร
การที่นักวิชาการท่านนี้เชื่อว่าชุดมอญแท้ต้องแบบมอญสังขละ โสร่งแดงผ้าถุงแดงสวมเสื้อขาว ชุดที่ว่านี้นายแพทย์อองมานเพิ่งคิดขึ้นเมื่อราว 40 ปีที่แล้วนี่เอง เพราะศิลปวัฒนธรรมมอญในพม่าถูกพม่าเอาไปใช้จนหมดสิ้นเอกลักษณ์ นายแพทย์อองมานซึ่งยังเป็นนักศึกษาอยู่ในขณะนั้น (พ.ศ. 2513) เลยชักชวนเพื่อนๆ สำรวจหมู่บ้านมอญ ค้นหาสีสันลายผ้าในห่อผ้าผี ซึ่งก็พบว่าผ้าผีทั้งหมดเป็นสีแดงลายตารางหรือลายหมากรุก ทั้งที่ตามความเชื่อของมอญในเมืองไทยแล้ว ข้าวของผ้าผ่อนทุกชนิดที่เป็น “สีแดง” นั้นห้ามนุ่งห่มและแจกจ่ายแก่ผู้ใดโดยเด็ดขาด เพราะเป็นสีที่ผีปู่ย่าตายายสวมใส่และหวงแหน หากไม่เชื่อถือดื้อรั้น ผู้สวมใส่และแจกจ่ายอาจต้องป่วยไข้ไม่สบายได้
ชุดโสร่งและผ้าถุงสีแดงที่ชาวมอญเมืองมอญ (ประเทศพม่า) คิดค้นขึ้นใหม่
เมื่อความเชื่อเรื่อง “สีแดง” และ “ข้อห้ามในการนับถือผีปู่ย่าตายาย” ในหมู่ชาวมอญเมืองมอญ (ประเทศพม่า) หายไป มีการคิดค้นออกแบบเครื่องนุ่งห่มขึ้นมาสวมใส่ เผยแพร่จนติดตลาด และสามารถหลอกนักวิชาการให้หลงเชื่อได้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายินดี ในเมื่อมันแสดงให้เห็นว่าสติปัญญาและศิลปวิทยาการของมอญไม่ได้หยุดนิ่ง กลับมีพลังเคลื่อนไหวและพัฒนาการอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แต่ขอเถอะช่วยตั้งสติสักหน่อย ไม่อยากให้ผีมอญต้องนอนละเมอ เพราะการไม่เข้าใจที่มาและวิธีการสวมใส่ ทำให้หนอนน้อยของนักวิชาการลีบแบนติดโสร่งสีแดง