Skip to main content

ผมรู้แล้วว่า วิถีคนสวนกับคนเขียนกวีนั้นไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ต้องฝึก ทดลอง เรียนรู้ ลงมือทำ ทุกวัน ทุกวัน และแน่นอนว่า เมื่อลงมือทำแล้ว เราจำเป็นต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย เติมความรักความเอาใจใส่ลงไปอย่างต่อเนื่อง (ถ้าไม่อย่างนั้น พันธ์พืชที่เราหว่านลงไปอาจเฉาเหี่ยวแห้งไป หรือไม่ผืนดินอันอุดมก็อาจแข็งด้านดินดานไปหมด) หลังจากนั้น เรายังต้องอดทนและรอคอยให้มันออกดอกออกผล กระทั่งเราสามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตที่งอกเงยในบั้นปลายได้

 

ทุกวันนี้ ผมยังถือว่าตนเองเป็นเพียงคนสวนมือใหม่ และเป็นคนฝึกเขียนบทกวีอยู่เสมอ ทุกวัน หลังจากพักงานสวน ผมจะลงมือเขียนบทกวี โดยเฉพาะในยามนี้ ผมกำลังหัดเขียนแคนโต้ ซึ่งถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของบทกวีที่ผมชอบและสนใจมานานแล้ว

ผมว่าบทกวีมันช่วยเยียวหาหัวใจคนเราได้

 

คงเหมือนกับที่ ‘คุณฟ้า พูลวรลักษ์' ได้บันทึกใน http://www.thaicanto.com  เอาไว้...


แคนโต้ คือ บทกวีประเภทหนึ่ง
มีลักษณะเป็นกลอนเปล่า 3
บรรทัด
แคนโต้เป็นเพียงบทกวีที่ประกอบไปด้วยกลุ่มถ้อยคำสั้นๆ
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ เมื่อกลุ่มคำเหล่านี้
ถูกจัดเรียงเป็นสามบรรทัดแล้ว
กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
เมื่อได้อ่านแคนโต้ของใครผู้ใดก็ตาม
เป็นความยาวต่อเนื่องจำนวนมาก
คุณจะกลายเป็นผู้ล่วงล้ำ เข้าไปรับรู้ถึงอารมณ์
และห้วงความคิดคำนึงของชีวิตใครผู้หนึ่ง
ในลักษณะปะติดปะต่อ
และในยามที่คุณเผชิญหน้ากับถ้อยคำสั้นๆเหล่านั้น

คุณจะได้พบกับความหมายบางอย่าง
ผ่านความอ่อนไหว จากชีวิตเล็กๆบนโลกนี้


(๑๑)

นานแล้วที่ข้าหลงลืมกลิ่นของมนุษย์
นานนักที่ข้าหลงลืมใบหน้าของเมืองใหญ่
กี่วันคืนแล้วที่ข้าใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขา

 

(๑๒)

ข้ายังขลุกอยู่ในสวน
หลังหลุดจากวงโคจรของมนุษย์เงินเดือน
ทำให้รู้ว่าชีวิตยังมีบททดสอบอะไรๆ อีกเยอะ

 

(๑๓)

ข้ามีกระท่อมปีกไม้ ส่วนพวกนกมีบ้านต้นไม้ใหญ่และสูง

ล้อมรอบกายข้านั่นหรือคือแมวและไก่ที่ข้าเลี้ยง
นกเขาป่า เอี้ยง ปิ๊ดจะลิวบินมาขับกล่อมทุกค่ำเช้า

 

(๑๔)
เวลามีกลิ่นหอม อากาศสดสะอาด

ทำให้ชีวิตข้าปลอดโปร่ง ไม่เร่งร้อน

นั่นแสงแดดของความสุขสาดส่องแปลงผักหลังบ้าน

(๑๕)
ข้ายิ้มและหัวเราะกับภาพตรงหน้า
เจ้าปุยเมฆขาวแสนซน
กำลังพยายามเล่นป่ายปีนยอดดอยผาแดง

(๑๖)
แดดบ่ายอบอ้าว พักงานในห้องหนังสือ
คว้ามีดไปตัดกิ่งชะอมเริ่มสูงชะลูดสู่ฟ้า
ก่อนกลับมาหั่นตัวอักษรที่รกรุงรัง

(๑๗)
หะแรกตั้งใจคว้ามีดด้ามยาวดิ่งไปดงกล้วย
กะตัดปลีทิ้งหลังกล้วยเครือนั้นออกผลโตแล้ว
แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นฝูงต่อบินวนดูดน้ำของปลีกล้วยไปมา

(๑๗)
ชาวนาไม่เคยรู้จักภาวะโลกร้อน
แต่พวกเขารู้ว่าฝนตกเดือนพฤศจิกา
ทำให้ข้าวที่เกี่ยวในทุ่งนาเน่าคารวง

(๑๘)

ชาวนามองการเมืองเป็นเรื่องไร้สาระ

การทำให้ชีวิตอยู่รอดในทุ่งนา

ช่วยเหลือตนเองในขณะนี้ดีที่สุด

 

(๑๙)

มีคนบ่นว่าไม่ชอบการเมืองแบบนี้

สอนให้รู้จักสีสองสี แต่ไม่ได้สอนความจริง

ว่าในโลกนี้มีหลากสีและคนมีหัวใจ

 

(๒๐)

คืนนั้นข้าฝันไปว่า...

มีหนอนตัวเหลืองตัวแดง

ตามเข้าไปเซาะซอนในหัวใจ

 

(๒๑)

เธอสีขาว

ฉันสีดำ

โลกสีเทา

(๒๒)
ยินเสียงมิ่งมิตรทักทายมาจากแดนไกล
"อะไรก็ไม่สำคัญ...
เพียงรู้ว่าตัวเราเป็นใคร ความสุขอยู่ตรงไหน"

(๒๓)
มองไปรอบตัว
มีแต่ความจริงและความฝันรายรอบ
ให้เราก้มเก็บ

(๒๔)

แมวเหมียวนอนอาบแดดอุ่นบนลานดิน

ไก่ห้าตัวกำลังคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหาร

หอมกรุ่นราชาวดี เท่านี้ชีวิตพลันเบิกบาน

 

(๒๕)

ริมรั้วมีชีวิต,

ลูกมะเขือเครือโหนตัวลงอวดโฉม

แหละนั่นเชียงดาทอดยอดเลื้อยชะลูดสู่ฟ้า

 

(๒๖)

ลูกตำลึงสุกแดงแหว่งหายไปซีกหนึ่ง

สายลมบอกว่านกป่ามากินแล้วบินไป

ทิ้งความจริงสามัญสมดุลให้ข้าได้ยล

 

(๒๗)

บางทีชีวิตคนเราก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์หนึ่ง

ที่ปลิวเร่คว้างไปยังดินแดนแปลกใหม่ไม่คุ้นเคย

แล้วแต่ลมชะตากรรมจะพัดพาเราไป

 

(๒๘)

ใช่,เราต่างคือเมล็ดพันธุ์

ที่พร้อมจะหล่นลงในผืนดินใดเพื่องอกและงาม

หรือไม่ก็เป็นได้เพียงแค่ถูกมดมอดแมลงกัดกินเท่านั้นเอง

 







   



   

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
  เมื่อนั่งอยู่ในความเงียบ ในสวนบนเนินเขายามเช้าตรู่ เพ่งดูหมอกขาวคลี่คลุมดงดอยอยู่เบื้องหน้า ทุ่งนาเบื้องล่างลิบๆ นั้นเริ่มแปรเปลี่ยนสี จากทุ่งข้าวสีเขียวสดกลายเป็นสีเหลืองทองรอการเก็บเกี่ยว ใช่, ใครต่อใครเมื่อเห็นภาพเหล่านี้ คงรู้สึกชื่นชมภาพอันสดชื่นรื่นรมย์กันแบบนี้ทุกคนทว่าจริงๆ แล้ว พอค้นให้ลึกลงไป ก็จะพบว่า ในความงามนั้นมีความทุกข์ซุกซ่อนอยู่ให้รับรู้สึก เมื่อนึกถึงภาพเก่าๆ ของหมู่บ้าน ผ่านไปไม่กี่สิบปี  จะมองเห็นได้เลยว่าหมู่บ้านเกิดของผมมีความแปลกเปลี่ยนไปอย่างเร็วและแรง อย่างไม่น่าเชื่อ“ตอนนี้ อะหยังๆ มันก่อเปลี่ยนไปหมดแล้ว...” เสียงใครคนหนึ่งบ่นเหมือนรำพึงจริงสิ,…
ภู เชียงดาว
ผมเริ่มค้นพบว่าตัวเองนั้นไม่เหมาะกับเมือง หลังจากที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มานานหลายปี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดเช่นนี้- -อาจเป็นเพราะระยะหลังรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแปลกและป่วย บางครั้งคล้ายยินเสียงจากข้างในกำลังบอกอะไรบางอย่าง ราวกับจะบอกว่า... ‘ที่สุดแล้ว,ชีวิตต้องกลับคืนสู่เส้นทางที่จากมา’ แหละนั่น ทำให้ผมเริ่มวางแผนกลับไปใช้ชีวิตในสวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้สวนรกร้างว่างเปล่ามานานเต็มทีจริงสิ, ผมปล่อยให้ต้นไม้ในสวนรกเรื้อและโตขึ้นตามลำพัง ไร้การดูแลเอาใจใส่ ไม่มีเวลารดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย คงเหมือนกับชีวิตตัวเองกระมัง ที่ต้องมาอยู่กับเมือง มัวแต่ไขว่คว้าบางสิ่ง…
ภู เชียงดาว
สิ่งดี ๆ ในชีวิต พ่อค้าแวะมาหาคนสวนที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ตรงหน้ากระท่อม “สวัสดีครับคนสวน” พ่อค้าทักทาย “ผมมีข้อเสนอดีๆ มาให้ คุณคงสนใจเป็นแน่” และเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของคนสวน พ่อค้าก็เริ่มพูดธุระที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนสวนจะต้องขยายพื้นที่ปลูกกุหลาบเพิ่มขึ้นและพ่อค้าจะเป็นคนเอาไปขายในเมือง “คนสวน ด้วยความชำนาญของคุณ กุหลาบของเราจะสวยงามที่สุดในเมือง” พ่อค้าสรุปด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง “ขอบคุณแต่เราไม่สนใจ” คนสวนตอบพร้อมยิ้มอย่างเคย “แต่คุณจะได้เงินเยอะ...” พ่อค้าว่า ท่าทางแปลกใจ “ผมไม่สนใจเงินทองหรอก” “ใครๆ ก็อยากได้เงินกันทั้งนั้น...” “แต่ไม่ใช่ผม…
ภู เชียงดาว
ความเรียบง่ายมีแรงดึงดูดที่ลี้ลับเพราะมันจะฉุดเราไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่คนส่วนใหญ่ในโลกไปกันไปจากการทำตัวให้เด่น ไปจากการสะสมไปจากการทะนงหลงตนและจากการเป็นเป้าสายตาของสาธารณะไปสู่ชีวิตสงบ อ่อนน้อมถ่อมตน กระจ่างใสยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่วัฒนธรรมบริโภคอย่างฉาบฉวยรู้จักกัน.                                                        …
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ  www.salweennews.orgที่มาภาพ www.sarakadee.comที่มาภาพ www.salweennews.orgกอดกับความเย็นเยียบอยู่อย่างนั้น, กลางป่าเปลี่ยวอ้อมอกอันบอบบางของเธอมิเคยอบอุ่นอยู่กับความมืดดำในความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง, ชีวิตความตายเหมือนมิเคยแยกจางห่างกันเลยโอ. เด็กๆ  ตามแนวชายแดนยามใดหนาวฤดูลมแล้งแห้งโหมพัดเข้ามาสู่,หัวใจเธอนั้นเหมือนจักรับรู้รสสัมผัสชีวิตวิถีที่จำต้องระเหเร่ร่อนนั่น,คือสัญญาณความขัดแย้งอันเลวร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบเขารอการอุบัติเสียงแม่กระซิบบอกพวกเธอเบาๆเร็วเข้า,…
ภู เชียงดาว
  “การถอยออกไปจากสนามรบของชีวิตทำงานเงียบๆ ด้วยเป้าหมายที่สร้างสรรค์คือคำตอบหนึ่งต่อคำถามที่ว่าจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์ที่ทุกอย่างกำลังพังทลาย”จากหนังสือ “ความเงียบ”จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปลผมไม่รู้ว่า สวนของผมนั้นกลายเป็นสวนผสมผสานตั้งแต่เมื่อไหร่...แต่ผมรู้ว่า พักหลังมานี่ เมื่อเดินทางกลับบ้านไปสวนทีไร ผมมักติดกล้าไม้เข้าไปในสวนเกือบทุกครั้ง ไม่อย่างก็สองอย่าง แวะซื้อมาจากกาดคำเที่ยง บ้างได้มาจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มอบให้มา พอไปถึง ก็ลงมือขุดหลุม เอาเศษฟางเศษหญ้าลงคลุกกับเนื้อดิน หย่อนต้นไม้ต้นเล็กลงไป กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม หรือรอให้น้ำฟ้าหล่นรดให้ฉ่ำชื้นเอง…
ภู เชียงดาว
    “...เมื่อมนุษย์จมอยู่กับฝูงชนที่ขาดความเป็นมนุษย์ ถูกผลักไปมาอย่างอัตโนมัติไปตามแรงเหวี่ยง บุคคลนั้นก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้ สูญเสียคุณธรรม หมดความสามารถที่จะรัก และศักยภาพที่จะกำหนดตนเอง เมื่อสังคมประกอบด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักความวิเวกภายใน สังคมนั้นก็ไม่อาจรวมกันได้ด้วยความรัก แต่อยู่ได้ด้วยอำนาจครอบงำและความรุนแรง...” ถ้อยคำของ “โทมัส เมอร์ตัน” คัดมาจากหนังสือ “ความเงียบ” จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปล สวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดของผม ตั้งอยู่ในเนื้อที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความกว้างและยาวราวสี่ห้าไร่…