Skip to main content

 
 

1.

ถ้าคุณไม่เข้าไปค้นหา  คุณก็จะไม่พบ
ถ้าคุณไม่เดินทางเข้าไปเยือน
คุณก็ไม่มีโอกาสรับรู้ถึงความเงียบสงบ
และคุณก็จะไม่รู้เลยว่าในหุบเขาลึกอันรกครึ้มด้วยดงป่าหนาทึบนั้น
มีชุมชน มีผู้คนซ่อนตัว อาศัยอยู่มานานนับหลายร้อยปีมาแล้ว
ไม่แน่...หากมีนักมานุษยวิทยาหรือนักโบราณคดีไปสืบค้นหาร่องรอยอย่างถี่ถ้วน
หมู่บ้านแห่งนี้อาจมีอายุยาวนานนับพันปีก็เป็นไปได้
และถ้าคุณไม่เดินทางเข้าไปอยู่ร่วม สัมผัส จับมือเขา กินข้าวร่วมขันโตกเดียวกันกับเขา
จิบน้ำชา  และล้อมวงสนทนากัน พูดคุยด้วยหัวใจเปิดกว้างอย่างเป็นธรรม
คุณก็จะไม่มีโอกาสรู้หรอกว่า ผู้คนที่นั่นเขาอยู่ร่วมกับผืนดินผืนป่าและสายน้ำกันอย่างไร
อย่างสมบูรณ์ สอดคล้อง เกื้อหนุนกันเป็นหนึ่งเดียว
แน่ละ ถ้าคุณไม่เข้าไปค้นหา คุณก็จะไม่มีวันค้นพบ...
อีกทั้งคุณอาจมีความคิดเหมือนๆ กับเจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการบางคน
หรือชนชั้นกลางบางกลุ่ม พวกเขาล้วนยืนอยู่บนหอคอย ผูกเน็คไทแช่ตัวอยู่ห้องแอร์
แล้วพร่ำบ่นต่อว่า ถากถางอยู่ย้ำๆ ว่า...คนอยู่กับป่าไม่ได้ คนอยู่ที่ไหน ป่าถูกทำลายหมด
ยิ่งเป็นชาวเขาแล้ว  ยิ่งไปกันใหญ่ ตัวการทำลายป่า
และที่สำคัญ...มีทางออกทางเดียวเท่านั้น คือต้องเอาคนออกจากป่า!?
จริงสิ  คุณอาจไม่รู้สึกรู้สาอะไร
และคุณคงมิอาจล่วงรู้ได้ว่า  คำพูด ความคิดของคุณนั้น
มันไปกระทบกระเทือนหัวจิตหัวใจของผู้คนในหุบเขานั้น
ให้เจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด. 
 

2.

ผมกลับไปอ่านบทความของ ดร.ท่านนั้นอีกครั้ง...
เพียงแค่ถ้อยคำเกริ่นนำ  ทำให้หลายคนสัมผัสได้ว่า  เป็นน้ำเสียงของความหมิ่นแคลนในความเป็นชนเผ่าอย่าง   เห็นได้ชัด

...ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวว่ารัฐบาลจะออก ‘โฉนดชุมชน’ ผมเห็นว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องวิบัติที่จะสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติในอนาคต เปรียบเสมือนการออกโฉนดชนเผ่าแบบประเทศด้อยพัฒนา ทั้งที่ประเทศไทยก็มีโฉนดที่ดินให้บุคคลและนิติบุคคลถือครองมานับร้อยปีอยู่แล้ว และถือเป็นการแก้ปัญหาผิดจุดเป็นอย่างยิ่ง...

ดร.ท่านนั้น จะเน้นคำว่า ชนเผ่า โฉนดชนเผ่า ชาวเขา...ออกมาย้ำๆ

...กรณีชาวเขา ที่มักนำมาอ้างว่าไม่ได้ทำลายป่าจากการปลูกไร่เลื่อนลอย (หมุนเวียน) นั้น คงเป็นชาวเขากลุ่มเล็ก ๆ แต่เดี๋ยวนี้ชาวเขามีมากมาย ป่าไม้คงไม่พอให้พวกเขาหาเลี้ยงชีพ คนชาวเขาจำนวนมากก็ทำงานในเมือง เช่นคนชนบททั่วไป ชาวเขาที่หาของป่า จับสัตว์ป่ามาขาย ควรหรือที่จะทำเช่นนี้ และนี่หรือคือคนที่จะพิทักษ์ป่า บางทีการจ้างให้พวกเขอยู่เฉย ๆ ไม่ให้บุกรุกป่า และทำหน้าที่ช่วยรักษาป่า ยังดีกว่าปล่อยให้พวกเขาบุกรุกป่าเช่นนี้…

3.
 

พูดถึงเรื่อง  ไร่หมุนเวียน – ไร่เลื่อนลอย ทำให้ผมหยิบรายงานวิจัยโครงการศึกษาวิจัยเรื่อง‘ระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน : สถานภาพและการเปลี่ยนแปลง’ โดย‘ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์’หัวหน้าโครงการฯ มาทบทวนอ่านอีกครั้ง

ในรายงานชิ้นนี้ พยายามอธิบายให้ชัดๆ เหมือนกับต้องการตะโกนออกมาดังๆ ว่า หน่วยงานรัฐและสังคมยังมีความเข้าใจผิด ต่อระบบไร่หมุนเวียนหลายประการ สรุปได้ดังนี้  

หนึ่ง การทำไร่หมุนเวียนไม่ใช่การตัดไม้ทำลายป่า แต่เป็นเกษตรกรรมบนพื้นฐานขององค์ความรู้พื้นบ้าน มีเป้าหมายเพื่อการปลูกการปลูกพืชอาหารยังชีพเป็นหลัก มีรูปแบบที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ระบบนิเวศ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ผลกระทบจึงแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่าง ๆ ด้วย         

สอง เมื่อเปรียบเทียบกับกิจกรรมการใช้พื้นที่ป่าในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งการทำเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์ เช่นการปลูกไม้ดอกและพืชผักเมืองหนาว การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ การทำไร่หมุนเวียนส่งผลต่อระบบนิเวศน้อยกว่าอย่างมาก ทั้งนี้ผลกระทบดังกล่าวได้แก่การสูญเสียพื้นที่ป่าอย่างถาวร การชะล้างพังทลายของหน้าดิน การเกิดสารพิษตกค้างในดิน น้ำ อากาศ เป็นต้น           

และ ประเด็นสุดท้าย คือ พื้นที่ไร่หมุนเวียน(รวมทั้งพื้นที่ไร่เก่าที่ปล่อยทิ้งไว้ให้พักตัว)มีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ในชุมชนที่ทำการศึกษา เช่น ป่าชุมชน ที่อยู่อาศัย รวมทั้งป่าอนุรักษ์ที่ชุมชนกำหนดไว้ให้เป็นพื้นที่ป่าถาวร ซึ่งจะไม่มีการเข้าไปแผ้วถางทำกินเด็ดขาด เว้นแต่การเก็บหาผลิตผลมาใช้ประโยชน์ ภายใต้กฎป่าชุมชนเท่านั้น 
  


  

4.

เราลองมาฟังมุมมองคำพูดของชาวบ้าน  ชนเผ่า ที่หลายคนยังมองว่าคือตัวการทำลายป่ากันดีกว่า  นี่คือคำสนทนาระหว่างเรา (ผมและคณะทำงานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย) กับคุณชัยประเสริฐ โพคะ ตัวแทนชาวบ้านชนเผ่าปว่าเก่อญอ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

“มาถึงตอนนี้ระบบไร่หมุนเวียนยังจะเป็นคำตอบสุดท้ายอยู่มั้ย อะไรจะเป็นหลักประกันว่าจะยังคงอยู่ต่อไป” 
“ผมเชื่อว่าขึ้นอยู่กับการสืบทอด คนเรานี่สืบทอดรุ่นต่อรุ่น และหมู่บ้านนี้สืบทอดกันมาได้สี่ชั่วอายุคนแล้ว แต่ก็ยังมีคนบอกมาเรื่อยๆ ว่าทำไร่หมุนเวียนไม่ดี อยู่กับป่า ป่าเสียหาย กระแสตัวนี้ก็จะมาเรื่อยๆ เคยมีการวิจัยไร่หมุนเวียน ผลการวิจัยก็ออกมาว่าไร่หมุนเวียนอยู่กับป่าได้ พอมาเดี๋ยวนี้ก็มาบอกอีกแล้วว่าทำไร่หมุนเวียนได้ แต่ห้ามเผา เพราะมันก็จะเกี่ยวกับเรื่องโลกร้อนอีก”  

“แล้วมันทำให้โลกร้อนจริงหรือเปล่าละ...” เราแหย่ถาม
 
“นี่รู้มั้ยตอนนี้ผมกับชาวบ้านกำลังทำงานวิจัยภาวะโลกร้อนด้วยนะ” เขาบอกกับเรา 
“ทำอย่างไงหรือ”
“เราก็ทำวิจัยกันว่า ปีที่เราทำไร่หมุนเวียนมีกี่แปลง แปลงที่เปิดพื้นที่มีเท่าไหร่ แปลงที่เราเผามันจะมีคาร์บอนได้กี่กิโล แล้ว 7 แปลงที่ปล่อยไว้นี่มันจะดูดคาร์บอนได้เท่าไหร่ แล้วป่าที่เราดูแลในชุมชนหนึ่งหมื่นไร่นั้นมันจะดูดคาร์บอนได้เท่าไหร่ เราต้องตอบคำถามให้กับสังคมให้ได้ เพราะว่าทุกอย่างมันเป็นการเรียนรู้”  

“แล้วมองปัญหาโลกร้อนอย่างไรบ้าง”
 
“เรื่องโลกร้อนนี่เราหยุดไม่ได้แน่นอน เพราะมันสะสมมาเป็นหมื่นๆ ปี แต่เราจะทำอย่างไรไม่ให้เพิ่มมากกว่านี้ ถ้าบอกว่าโลกร้อน ทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้องกันหมด แต่เราต้องช่วยกันว่าจะลดได้อย่างไร เราจะทำอย่างไรที่จะไม่เพิ่มระดับ หนึ่ง พวกเราต้องทำลายน้อยลงมาได้ไหม ปลูกเพิ่มขึ้นได้ไหม อีกอย่างคือเราทำให้เสียน้อยลงนิดหนึ่งได้ไหม เขาเรียกว่ารอยเท้านิเวศน์ เกี่ยวกับเรื่องการบริโภคทรัพยากรมากน้อยแค่ไหน”  

“ในขณะที่สังคมเมืองบอกว่าคนดอยใช้ทรัพยากรเปลืองกว่า แต่คนบนดอยก็บอกว่าคนที่อยู่ในเมืองต่างหากที่ใช้ทรัพยากรเปลืองกว่าคนที่อยู่ในป่า”
 
“ผมว่าแน่นอน เพราะคุณขับรถไปคันหนึ่งมันลากป่าเข้าไปหลายร้อยไร่ต่อคน สตาร์ทที มันก็ดูดคาร์บอนแล้ว แค่เราสตาร์ทรถคันหนึ่งมันก็ต้องอาศัยป่าแล้ว เราดูแลป่า เราก็ต้องให้คนเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ด้วย ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา คนจะไม่เข้าใจคนที่อยู่กับป่า เราอยากบอกว่า เราไม่ใช่เป็นเจ้าของป่า เราเป็นแค่ยามเฝ้าป่าเท่านั้น”  

“ช่วยอธิบายชัดๆ อีกทีได้มั้ยว่ามีเกณฑ์การประเมินอย่างไรว่าชุมชนจะช่วยสร้างการดูดซับก๊าซคาร์บอนได้ยังไง”
 
“คือมันเป็นวิชาการนิดหนึ่ง เพราะว่าชาวบ้านอาศัยนักวิชาการมาร่วมด้วย พอดีมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยมหิดล กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และอีกหลายมหาวิทยาลัยที่มาร่วมกันทำงานวิจัย ภายใต้ชื่อโครงการไร่หมุนเวียน แต่วิจัยกรณีเรื่องโลกร้อน ว่าปีหนึ่งมีการปล่อยคาร์บอนได้เท่าไหร่ เราดูดคาร์บอนได้เท่าไหร่ ไม่ใช่เฉพาะไร่อย่างเดียว รวมทั้งพื้นที่ที่เป็นสวนชา ที่นา รวมไปถึงการวิจัยในพื้นที่ที่ปลูกข้าวโพด การทำนาใส่สารเคมี ก็ทำเป็น 3-4 ช่วง ตอนนี้อยู่ในช่วงเก็บข้อมูลเพิ่งเริ่มต้นปีแรกอยู่...” 

“ทำวิจัยละเอียดมากมั้ย” 
“ก็มีทั้งการขุดดินไปชั่ง สมมติว่า ขุดดินหนึ่งเมตร เอาไปชั่งว่ามีกี่กิโล มันดูดความชื้นได้เท่าไหร่ ดูดคาร์บอนได้เท่าไหร่ เอาไปตากแห้งเหลือกี่กิโล เอาไปเผาให้หมดเหลือกี่กิโล เผาเสร็จเท่าไหร่ก็ปล่อยคาร์บอนได้เท่านั้น” 

เราพูดคุยกันอย่างออกรส  ตั้งแต่เริ่มต้นเรื่อง ผลผลิตจากป่า ชา สมุนไพร หน่อไม้ น้ำผึ้ง ไร่หมุนเวียน กระทั่งมาถึงเรื่องโลกร้อน 
แน่นอนว่า ยิ่งฟังยิ่งสนุก ยิ่งได้ความรู้ใหม่ๆ  จากเขามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมแอบชื่นชมในภูมิปัญญาของเขามานาน ว่าเขาเป็นคนที่อยู่กับป่าคนหนึ่ง ที่สามารถ นำเอาประสบการณ์การเรียนรู้มาปรับใช้ในวิถีชุมชนของเขาได้อย่างน่าทึ่ง 

“เดี๋ยวนี้ฝรั่งเขาทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่อง คน เขาบอกว่าคนในอเมริกาเกิดมา 7 วัน เท่ากับชุมชนในป่าปีหนึ่ง” เขาบอกกับเรา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ว่าหลายคนฟังแล้วยังงงๆ
 
“คือคนอเมริกาเกิดมา 7 วัน คลอดปุ๊บต้องใช้ออกซิเจนใช่มั้ย ออกซิเจนก็มาจากป่า เปิดแอร์ก็มาจากป่า แล้วให้หมอดูแล ค่าจ้างของหมอก็มาจากป่า คนที่ดูแลรายได้มาจากสิ่งแวดล้อมหมดเลย 7 วันใช้ออกซิเจนกี่กิโล แอร์เท่าไหร่ ไฟเท่าไหร่ คิดแค่ 7 วัน เท่ากับชุมชนที่อยู่ป่าทั้งชุมชน 1 ปี นี่เป็นงานวิจัยพี่น้องที่เป็นฝรั่ง นักวิจัยมาจากสหรัฐฯ มาจากฟินแลนด์ มาร่วมคิดแล้ววิจัยร่วมกัน ซึ่งเป็นจริง ยืนยันได้”  

เขาอธิบายให้เห็นภาพ ว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด  และทำให้เรารับรู้ได้ว่า  ในขณะคนเมืองใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองมากเท่าไร ชาวบ้านที่อยู่กับป่าจะต้องใช้แรงและพลังมหาศาลมากเพียงใดในการดูแลป่าให้คงอยู่เพื่อสร้างออกซิเจนให้กับคนเมือง
 

“การที่มีนักวิชาการทำวิจัยชิ้นนี้ ทำให้พวกเราชาวบ้านมีกำลังใจ ถือว่าเป็นกำลังใจให้กับชุมชนที่อยู่กับป่า ที่ช่วยกันดูแลป่านั้นมีความสุข เพราะผมถือว่างานอะไรทุกอย่างที่ทำให้ชุมชนมีกำลังที่จะต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้นได้ พวกเราก็มีกำลังใจที่จะดูแลสิ่งเหล่านั้นได้…” เขากล่าวทิ้งท้ายให้เราได้ฉุกคิด
 

ครับ, นี่คือบทสนทนา  คือถ้อยคำ ความคิดของ คุณชัยประเสริฐ โพคะ ตัวแทนชาวบ้านปว่าเก่อญอบ้านห้วยหินลาดใน  ที่เหมือนจะพยายามสื่อสารแลกเปลี่ยนกับเรา เพื่อหวังว่าจะสื่อสารผ่านไปยังคนเมืองข้างล่าง ว่าชาวบ้าน คนที่อยู่กับป่า กำลังทำเพื่อสิ่งใด และเขาทำเพื่อใคร!?
 
 
ในขณะที่ยังมีใครอีกหลายคน พยายามมองโลก มองธรรมชาติแบบแบ่งแยก. 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
ค่ำนั้น, ผมกลับมานั่งในบ้านปีกไม้ในหุบผาแดง นิ่งมองภาพเก่าๆ ของพ้อเลป่า สลับกับภาพครั้งสุดท้ายของเขาก่อนจะละสังขารไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา
ภู เชียงดาว
เดาะ บื่อ แหว่ ควา สี่ จื้อ เนอ มู้ โข่ ลอ ปก้อ เฉาะ ถ่อ เจอพี่น้องประสานนิ้วมือฟ้าถล่มช่วยกันค้ำไว้ โถ่ ศรี ซี้ เล้อ แหม่จอ ป่า ซี้ ด่า แคนกยูงตายเพราะขนหางขุนนางตายเพราะเชื่อคนยุยง
ภู เชียงดาว
  ที่มาภาพ : www.thaioctober.com/forum/index.php?topic=308.105เมื่อเราพูดถึงเรื่อง การพัฒนาและความเจริญ ที่คนส่วนใหญ่ต่างมุ่งไปทางนั้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา และมันกำลังรุกคืบคลานเข้ามาในวิถีบนบ้านป่าบ้านดอยอย่างต่อเนื่อง
ภู เชียงดาว
ผมหยิบงานที่ผมเขียนถึง ‘พ้อเลป่า' ปราชญ์ปกากะญอขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลังทราบข่าวจาก ‘หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง' ว่า ‘พ้อเลป่า' เสียชีวิตอย่างสงบแล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา... ก่อนที่ผมและเพื่อนกำลังออกเดินทางไปบนทางสายเก่า สายนั้น...
ภู เชียงดาว
                          (๑) หอมกลิ่นภูเขาล่องลอยโชยมาในห้วงยามเย็นฉันยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้านปล่อยให้สายแดดสีทองส่องสาดกายมองไปเบื้องล่าง- -ท้องทุ่งแห่งชีวิตยังเคลื่อนไหวไปมา ไม่หยุดนิ่งในความหม่นมัว ในความบดเบลอฉันมองเห็นภาพซ้อนแจ่มชัด แล้วเลือนราง
ภู เชียงดาว
ผมเข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตในเมืองนั้นคงเหน็ดหน่ายและเหนื่อยหนักจากการงาน ชีวิตหลายชีวิตอาจถูกทับถมด้วยภาระหน้าที่อันหนักอึ้ง ยังไม่นับนานาปัญหาที่เข้ารุมสุมแน่นหนาอีกหลายชั้น จนดูเหมือนว่าชั่วชีวิตนี้คงยากจะสลัดให้หลุดพ้นไปได้ ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะครั้งหนึ่งตัวผมเองเคยเอาชีวิตไปวางไว้อยู่ในเมืองนานหลายปี แน่นอน ใครหลายคนในสังคมเมืองจึงชอบเอา ‘การเดินทาง' เป็นหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นออกจากกงล้อแห่งการงานนั้นได้ และมักเอาช่วงสิ้นปีหรือวันปีใหม่ เป็นวันแห่งการปลดปล่อย ในขณะที่ตัวผมนั้น กลับไม่ได้เดินทางไปไหนเลย ยังมีชีวิตแบบวันต่อวัน อยู่กับปัจจุบันขณะ ในหุบเขาผาแดงแห่งนี้
ภู เชียงดาว
ผมไม่รู้ว่าในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา จะมีสักกี่คนสามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้กี่ครั้งกี่หนกันแน่นอน ความฝันใครบางคนอาจเกลื่อนกล่น ความฝันใครหลายคนอาจหล่นหาย ใครหลายใครอาจมองว่าความฝันคือความเพ้อฝัน ไกลจากความจริง แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายๆ คน ไม่เคยละทิ้งความฝันพยายามฟูมฟักความฝัน กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู แม้บ่อยครั้งอาจอาจเหนื่อยหนัก เหน็ดหน่าย กว่าจะทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริงได้...เหมือนชายคนนี้...ที่ทำให้ฝันหนึ่งนั้นกลายเป็น ความงาม และความจริง... ผมมีโอกาสเดินทางไปเยือน เวียงแหง อำเภอเล็กๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ติดกับชายแดนไทย-พม่า ซึ่งผมเคยบันทึกไว้ว่า เป็นดินแดนหุบเขาที่มีชีวิต…
ภู เชียงดาว
ผมรู้แล้วว่า วิถีคนสวนกับคนเขียนกวีนั้นไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ต้องฝึก ทดลอง เรียนรู้ ลงมือทำ ทุกวัน ทุกวัน และแน่นอนว่า เมื่อลงมือทำแล้ว เราจำเป็นต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย เติมความรักความเอาใจใส่ลงไปอย่างต่อเนื่อง (ถ้าไม่อย่างนั้น พันธ์พืชที่เราหว่านลงไปอาจเฉาเหี่ยวแห้งไป หรือไม่ผืนดินอันอุดมก็อาจแข็งด้านดินดานไปหมด) หลังจากนั้น เรายังต้องอดทนและรอคอยให้มันออกดอกออกผล กระทั่งเราสามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตที่งอกเงยในบั้นปลายได้ ทุกวันนี้ ผมยังถือว่าตนเองเป็นเพียงคนสวนมือใหม่ และเป็นคนฝึกเขียนบทกวีอยู่เสมอ ทุกวัน หลังจากพักงานสวน ผมจะลงมือเขียนบทกวี โดยเฉพาะในยามนี้…