Skip to main content

เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า            
โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง
ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง 
             
แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน

ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า  
ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน
ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                             
ที่จะขับที่จะขานเพลงหวังดี
เหมือนบทเพลงเปลี่ยนท่วงทำนอง    
หัวใจจำร่ำร้องในวิถี...
ก่อนเคยร่วมสอดประสานดวงชีวี
      
มี-ไม่มี เรามิพรั่นมิหวั่นกลัว
บัดนี้,ความฝันพลันหมองหมาง        
ดุ่มเดินเคว้งคว้าง ทางสลัว
ยิ่งดั้นด้นค้นหา ยิ่งหม่นมัว               
                                                            
ดิ่งลึกท่ามความดี-ชั่ว ในตัวตน

\\/--break--\>
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า

หลายสิ่งรุมเร้าเศร้าสับสน
ชีวิตบนทางที่วกวน...                     
                 
กี่คนกี่คน ล้วนถูกมัด-พันธนาการฯ



















 

ลมหนาวมาเยือนอีกครั้ง ทำให้คุณนึกถึงบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมาทันใด คุณเขียนไว้เมื่อครั้งยังทำงานกลางป่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขียนให้กับตัวเองและมิ่งมิตรในยามสับสนอ่อนล้า นึกถึงผองเพื่อนหลายคน บ้างก่นด่าชะตากรรม อีกทั้งยอมแพ้ระหว่างทาง หันหลังคืนกลับ ก่อนเดินพลัดหายไปในเมืองแห่งความลวงและกลวงดังเดิม                                                                                 

จริงสิ, ชีวิตคนเรานั้นล้วนต่างประสบพบเจออะไรๆ มามากต่อมาก ผสานผสมปนเปกันไปอยู่อย่างนั้น ทั้งสุขทุกข์ สมหวัง พ่ายหวัง หัวเราะ ร่ำไห้ บาดเจ็บ เหน็บหนาว นุ่มนวล ดิบเถื่อน สลัด เกาะกุม ไขว่คว้า ได้มาสูญเสีย พรากจาก ฯลฯ ทว่าหลายต่อหลายครั้ง เหมือนเราถูกมือที่มองไม่เห็นจับกระชากเหวี่ยงลงไปในหุบเหวของความดำมืด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากที่สุดแล้ว เรากลับผุดโผล่ ฮึดสู้ และพร้อมเผชิญกับมันได้อย่างเหลือเชื่อ ก้าวพ้นออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ประหนึ่งว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ประเดประดังเข้ามา เป็นเพียงบททดสอบชีวิต ว่าเราจะก้าวข้ามและผ่านพ้นไปได้อีกบทหนึ่งหรือไม่เท่านั้นเอง          

"ชีวิตคนเราจำเป็นต้องเกิดใหม่หลายๆ หน..."            
คุณย้ำบอกตัวเองอย่างนี้ หลังจากใช้ชีวิตมาอย่างหน่วงหนักจนวัยใกล้เลขสี่แล้ว การเกิดใหม่ของคุณนั้นอาจหมายถึงการกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้กระทั่งเรื่องของหน้าที่การงานหรือการใช้ชีวิต

เมื่อนั่งอยู่ในความเงียบลำพัง...คุณชอบย้อนมองชีวิตที่ผันผ่านมา บางครั้งรู้สึกเศร้า บ้างอดหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้ เกือบสี่สิบปี วิถีผ่านพบและเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งเลยหรือนี่
!? จากลูกชาวนายากจนคนหนึ่งที่มีโอกาสหลุดเข้าไปเรียนในเวียงแล้วเจอกับสังคมแปลกแยกแปลกใหม่ที่สนุกและเลวร้ายระยำ พลัดหลงเข้าไปอยู่ในฝูงเพื่อนเกเรและร้ายกาจ แต่คุณก็หลุดออกจากวงโคจรอุบาทว์นั้นมาได้ทัน ในขณะที่เพื่อนหลายคนนั้นเลือกทางเดินสายโจร และสิ้นสุดที่คุกตารางกับความตายไม่ต่ำกว่าสิบราย               

คุณนั่งครุ่นคิด...บางทีอาจเป็นเพราะความจนทำให้คุณเห็นความจริง ทำให้คุณเล็ดลอดออกมาได้ ประกอบกับช่วงนั้น แม่ผู้ให้ความรัก ห่วงใย คอยเอาใจใส่คุณ พลันมาจากไปในห้วงนั้นด้วย จึงทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนและเลือกเดินไปอีกเส้นทางหนึ่ง...จำได้ว่า หลังแม่ตาย คุณเฝ้าถามตัวเองถี่มากขึ้นทุกวันๆ...เราเกิดมาทำไม เราอยู่เพื่ออะไร และจริงๆ แล้วในชีวิตคนเราต้องการอะไร!?                                             

และแล้วชีวิตคุณก็ออกเดินทางไกลมากขึ้นทุกที... 
จบมัธยมปลาย ก็เริ่มทำงานอยู่ร้านเหล็ก แบกเหล็ก พนักงานเก็บเงิน ครูอาสาสมัครเดินสอน ขายประกัน เป็นยามโรงแรมขณะเรียนวิทยาลัยครูอยู่พักหนึ่ง ก่อนไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวให้กับโรงเรียนคนพิการทางสมอง และมาเป็นครูผลิตสื่อและครูพี่เลี้ยงกินนอนอยู่ร่วมกับเด็กพิการทางสายตา ในโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ


เด็กๆ ผู้พิการทางสายตานี่เองได้สอนคุณหลายอย่าง ในห้วงขณะชีวิตคุณกำลังทดท้อและมืดดำสับสน แต่พวกเขากลับมีส่วนกระตุกต่อมสำนึกคุณให้ฟื้นตื่น ให้ดวงจิตคุณสว่างวาบขึ้นมาได้

ใช่ พวกเขาและเธอสอนคุณให้รู้จักจินตนาการ ความฝันและความหวัง ซึ่งมีมากกว่าคนตาดีหลายเท่านัก จากนั้น คุณตัดสินใจขึ้นไปเป็นครูอาสาฯ บนดอยสูงติดกับชายแดนไทย-พม่า นานนับสิบปี แน่นอนว่า รายทางที่คุณแบกเป้ ดุ่มเดินลัดเลาะไปตามทุ่งนา ลำห้วย เนินเขา ป่าสน ไร่ข้าว ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่น้องชนเผ่ากลางป่าลึกนั้น ได้มีส่วนหนุนเสริมให้คุณรู้จักชีวิตตัวเองและชีวิตผู้อื่นมากขึ้น แน่นอน วิถีหมู่บ้านป่า อาจเปล่าเปลี่ยวและเหน็บหนาว แต่ที่นั่นทำให้คุณรู้จักกรุ่นอายความรักบริสุทธิ์ของเด็กๆและแววตาอาทรของพ่อเฒ่าแม่เฒ่า    

บนดอยนั้น ยังทำให้คุณรู้จักความอดอยาก ความป่วยไข้ การเกิดและความตาย คุณยังจำภาพเด็กน้อยวัยสามขวบป่วยหนัก คุณใช้ผ้าขะม้าพัดรวบร่างทั้งคุณ พ่อและเธอจนแนบแน่น กันหลุดลื่นล้มระหว่างทางอันเละด้วยดินโคลน ก่อนพาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ลงไปส่งโรงพยาบาลอำเภอเวียงแหง ในค่ำคืนมืดฝนพรำตลอดทาง ภาพนั้นยังติดตามคุณอยู่ไม่เคยเลือนหาย...ภาพพ่อของเด็กน้อยนั่งสะอื้นร้าวลึกอยู่ริมบันไดโรงพยาบาล เมื่อเราไม่อาจยื้อช่วยชีวิตเธอไว้ได้

บนดอยสูง ยังได้สอนคุณให้รู้จักภาวะดิ้นรน การเอาตัวรอดของผู้คน เห็นร่องรอยการข่มเหงกดขี่และความไม่เป็นธรรมกระจายไปทั่วหุบเขา แหละนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้คุณตัดสินใจลาออกครู มาทำงานหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท' ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนครูดอย บ้าหรือเปล่า...ลาออกทำไม เขากำลังจะบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว แต่งานสื่อมวลชนก็ได้สอนคุณให้รู้จักพลังของสื่อ และทำให้คุณมองเห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งชีวิต สิทธิ เสรีภาพไปทั่วทุกหนแห่ง งานสื่อทำให้คุณรู้จักทั้งด้านดีและด้านเลวร้ายของสังคมไปพร้อมๆ กัน ยิ่งเสาะค้น ยิ่งหมักหมม ยิ่งขุดคุ้ย ยิ่งเห็นความลึก กว้าง ทับซ้อน ทวีคูณ...

กระทั่งคุณตัดสินใจลาออกงานประจำได้ขวบปีกว่า มาใช้ชีวิตในสวนหุบผาแดง อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด และคุณถือว่าตนเองกำลังเกิดใหม่อีกหน                                                                                       

"เป็นคนสวนและคนเขียนหนังสือ..." 
"จน...แต่มีความสุข" คุณบอกใครต่อใครอย่างนั้น...และบอกกับตัวเองอยู่ย้ำๆ ว่า นับแต่นี้ ขอเลือกวิถีทางธรรมดา เรียบง่าย สงบ อยู่ร่วมกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร ในพื้นที่เล็กๆ ให้สมดุล สอดคล้อง อ่อนโยนกับโลกใบนี้ ที่สำคัญ...คุณพยายามสลัดทิ้งซึ่งพันธนาการที่ผูกมัดรัดรึงชีวิตและจิตวิญญาณให้หลุดออกไปให้มากที่สุด                                                                           

จริงสิ, ชีวิตคนเราล้วนเคยถูกผูกมัดอยู่กับพันธนาการมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง หน้าที่การงาน ความรัก ครอบครัว กิเลส อำนาจ ความเห็นแก่ตัว ความละโมบ เงินตรา ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า แม้ว่าเราจะสลัดพันธนาการหนึ่งออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่ามีพันธนาการตัวใหม่เข้ามารัดรึงเราไว้อีก กระนั้นก็ตามเถอะ มาถึงตอนนี้ คุณรู้แล้วว่า จริงๆ แล้ว คนเราไม่ต้องสะสมอะไรให้มากนัก ยิ่งเหลือน้อยเท่าไร ยิ่งโปร่งโล่ง สบาย...

"แล้วอยู่ได้อย่างไร...ไม่มีเงินเดือน ไม่มีงานประจำ ไม่กลัวอดตายเหรอ" ใครคนหนึ่งเอ่ยถามคุณ คุณได้แต่ยิ้ม แล้วหันไปมองรอบๆ บ้านปีกไม้ สวนชีวิตของคุณกำลังรกครึ้มกลายเป็นป่า ทั้งไม้ผล ผักไม้ไซร้เครือ รวมทั้งดอกไม้กำลังงอกเงย งอกงาม แต่ถ้าใครถามคุณเช่นนั้นอีก คุณคงบอกได้แต่เพียงว่า- -อย่ากังวลถึงวันพรุ่ง...แต่จงใช้ชีวิตวันต่อวัน...เพียงเท่านั้น                                                             

คงเหมือนกับดวงตะวันยามเช้าที่โผล่พ้นยอดดอยผาแดงทางทิศตะวันออก และลับลงตรงเหลี่ยมดอยหลวงเชียงดาวทางทิศตะวันตกทุกย่ำเย็น.        

* * * * *

หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน คอลัมน์ปลายทางเส้นนี้มีดอกไม้ วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 81 กันยายน-ธันวาคม 2552

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
“พระจันทร์กำลังขึ้นในหุบเขาผาแดง...” เสียงของเจ้าธันวา ลูกชายกวีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น กับภาพที่ฉายอยู่เบื้องหน้า พระจันทร์ดวงกลมโตกำลังเดินทาง โผล่พ้นหลังดอยผาแดงอย่างช้าๆ ก่อนลอยเด่นอยู่เหนือยอด ลอยสูงขึ้นไปบนเวิ้งฟ้าราตรี  0 0 0 0 อีกหนึ่งความทรงจำที่ตรึงผมไว้กับการเดินทางวันนั้น เป็นการเดินทางช้าๆ ไม่เร่งรีบ เรียบง่าย ไม่มีเป้าหมาย แต่เราได้อะไรๆ จากความเรียบง่ายนั้นมามากมาย เมื่อผมนัดกับพี่ชายกวี ‘สุวิชานนท์ รัตนภิมล’ คนเขียนหนังสือ คนเขียนเพลง คนเขียนคำกวี เพื่อไปค้นหาความลี้ลับบางอย่างกลางป่า
ภู เชียงดาว
เหมือนว่าอดีตกำลังกวักมือเรียกหาเหมือนว่าปัจจุบันกำลังคลี่เผยความลับอยู่เบื้องหน้าฉันรู้สึกตื่นเต้น อยากก้าวย่างไปบนทางสายนั้น ถนนความหวังและความใฝ่ฝันภูเขาลูกนั้นที่ฉันคุ้นเคย แม่น้ำสายนั้นที่ฉันฝันถึงป่าไม้ผืนนั้นยังตรึงไว้ในดวงตากับสายลมเริงร่า กลางทุ่งหญ้าสีทอง แหละนั่นตะวันเจิดจ้า กับท้องฟ้าสีฟ้าเบิกบานสดใสเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงออกเดินทาง ไกลแสนไกลไปตามหาความฝันอันกว้างใหญ่ไปค้นหาความหวังใหม่ไม่รู้จบเพราะโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่เพราะโลกใบนี้ยังไม่โหดร้ายเกินไปนักฉันจึงศรัทธา คิดและฝัน...ฉันจึงออกเดินทาง....…
ภู เชียงดาว
เธอมิใช่ผู้หญิงที่สูงศักดิ์หากคือหญิงผู้แน่นหนักรักยิ่งใหญ่รักในอิสรภาพ ความเป็นไทรักต่อสู้ เพื่อสิ่งยากไร้- -ในสังคมเธอมิใช่เป็นเจ้าหญิงในตำนานหากทำงานกับปัญหาอันหมักหมมกระชากแหวก กรอบมายา ค่านิยมเพียรเพาะบ่มความแกร่งกล้า- -พยายามเธอเฝ้าเรียน เฝ้าฝืนและตื่นรู้แม้อยู่ท่ามกลางสายตาที่เหยียดหยามหากเธอยังต่อสู้กับความเสื่อมทรามแม้จักผ่านกี่ห้วงยามความเลวร้าย !ใช่,และเธอไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเองหากเปล่งเสียงร้องปกป้องชนทั้งหลายเพื่อภราดรภาพ เสรีภาพของหญิงชายเพื่อเปล่งแสงแห่งความหมาย- -ความเท่าเทียม !เธอคือหญิงนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่มีจิตใจกล้าหาญชาญยอดเยี่ยมเธอประกาศยืนหยัด...“ความเท่าเทียม”…
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ : http://www.aromdee.net/pic_upload/Sep07/p2120_1.jpgในวันฟ้าเปลี่ยนสีข้ามองเห็นสัตว์การเมืองเปลี่ยนร่างบ้างสลัดคราบทิ้งกลายพันธุ์บ้างเกาะเกี่ยวกระหวัดรัดกันสมสู่ เสพสม กลิ้งเกลือกกองอาจมกิเลส ความใคร่อยาก อำนาจไม่รู้จบอา- - ข้ามองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมา มองเห็นแล้วส่ายหน้าหดหู่ใจ...............ผมค้นบทกวีที่ผมแต่งเอาไว้นานแล้ว ออกมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง...หลังมีข่าวว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งในนามว่า “เหี้ย” ออกมาผสมพันธุ์กันในทำเนียบรัฐบาล แหละนี่คือ "เบื้องหลัง 'เหี้ย' หลงฤดู โชว์อึดเสพเมถุน-เล้าโลมเป็นชั่วโมง ในทำเนียบหลังตึกไทยคู่ฟ้า" ที่เผยแพร่ใน ‘มติชนออนไลน์’…
ภู เชียงดาว
เมื่อวันก่อน เพื่อนนักเขียนสาวเมืองเหนือ นาม “สร้อยแก้ว คำมาลา” ส่งข่าวมาบอกว่า จะเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ที่ ‘ร้านเล่า’ เชียงใหม่ ในช่วงเย็น วันที่ 12 ก.พ.นี้ พร้อมกับชักชวนผมเข้าไปร่วมวงคุยกับศิลปินนักเขียนเมืองเหนือกันด้วย“ชื่อหนังสือ... เพราะคิดถึง... เป็นรวมความเรียงที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารสานใจคนรักป่าเมื่อปีก่อนๆ แต่เพิ่งเอามารวมเล่มเจ้า” เสียงหวานๆ ของเธอบอกเล่าให้ฟัง“ปกสีชมพูอีกแม่นก่อ...” ผมแหย่เธอเล่น“แม่นแล้ว...สีชมพูหวานแหววเลยแหละ...” เธอรีบบอกพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ
ภู เชียงดาว
 ภาพประกอบโดย : ขวัญข้าวจากตาน้ำน้อยน้อยค่อยหยาดหยดผ่านขุนห้วยเคี้ยวคดรดรินไหลสู่ลุ่มน้ำสาขา -  -เดินทางไกลไปเลี้ยงชีพหล่อเลี้ยงในหัวใจคนกว่าจะเป็นแม่น้ำอันกว้างใหญ่ต้องผสานสายใยอันใหญ่ล้นดินอุ้มน้ำ  ป่าอุ้มฝน  คนอุ้มคนกว่าจะเป็นผลิตผลของแผ่นดินนั่นแสงแดด สายลมคอยห่มป่าโน่นเม็ดฝนหล่นโปรยมามิรู้สิ้น…ฟังสิเพลงนกป่า หญ้าผลิบานให้ได้ยินว่าชีวินนั้นสอดคล้องกันและกันลองหันมองจ้องดูสรรพสิ่ง…เราจะเห็นความจริงมิแปรผันคน ดิน น้ำ ป่า ฯ พึ่งพาอาศัยกันหากสิ่งหนึ่งผกผัน  สิ่งนั้นตาย !มาเถิด,  มาร่วมกันปกป้องป่ามารักษาสายน้ำ…
ภู เชียงดาว
อยู่ดีๆ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งส่งเรียงความ เรื่องวันเด็ก ของ ด.ช.ภูภู่ มาให้ แถมยังย้ำบอกอีกว่าต้องอ่าน อืมม...ใช่ พออ่านแล้วฮาเลยนะครับ ผมว่าอารมณ์ขัน แสบ มัน ฮา อย่างนี้ น่าจะเขียนส่ง ต่วยตูน นะเนี่ยไม่รู้ว่าใครได้อ่านกันหรือยัง ขออนุญาตนำมาแปะให้อ่านกันตรงนี้แล้วกันครับ...ขอย้ำ- -โปรดเขย่าอารมณ์ขันก่อนอ่าน...
ภู เชียงดาว
เย็นลมเหนือพัดโชยผ่านกิ่งไม้ เย็นเยียบเย็นตะวันโผล่พ้นฉายแสงเช้าละมุนอุ่นอ่อนหากชีวิตหลายชีวิตโหยหา หวนหาความงามครั้งเก่าก่อนแม้ผ่านนานหลายนาน กี่เดือนปี ความหลังยังคงกรุ่นกลิ่นหอมนิ่งฟังสิ- -คล้ายยินเสียงนางฟ้าครวญเพลงแว่วมาแต่ไกลยังจดจำภาพเธอติดตาอยู่เสมอนะนางฟ้าเธอผู้มีดวงตาสุกใสในวัยเยาว์ฝันแก้มเธอเปล่งปลั่งดั่งดอกไม้สีชมพูแย้มผลิหวานงามแสนงามในนามของความรักที่เธอโปรยปรายแจกจ่ายให้ทุกคนคราพบเห็นยัง เป็น อยู่ เช่นนั้นใช่ไหม...นางฟ้าจากเช้า สู่บ่าย ล่วงลับเย็นยามตะวันอำลาลับขอบเขาตะวันตก...ในเงียบนั้นเรามองเห็นแสงงามอยู่กลางทุ่งเมฆฝันยังระบำร่ายรำฝันอยู่อย่างนั้นเช่นเดิมอยู่ใช่ไหม...…
ภู เชียงดาว
1.ฤดูหนาว...เชื่อว่าใครหลายคนคงรู้สึกชื่นชอบฤดูกาลนี้กันเป็นพิเศษ บางคนชื่นชอบเพราะชีวิตได้สัมผัสกับไอหนาว หมอกขาว ตะวันอุ่น...หลายคนอาจหลงรักดอกไม้ที่พากันแข่งชูช่อเบ่งบานล้อลมหนาวกันดื่นดาษ บางคนอาจชื่นชอบ เพราะเป็นฤดูกาลแห่งการถวิลหาความหลังที่ครั้งหนึ่งนั้นมีหัวใจที่เคยระรื่นชื่นสุขบางคนอาจชื่นชอบเพราะความสะอาดสดของอากาศของฤดูหนาวทว่าเมื่อหันไปมองคนอีกกลุ่มหนึ่งบนดอยสูง ในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกล...ฤดูหนาวกลับกลายเป็นความทารุณ โหดร้ายมากพอๆ กับความตายกันเลยทีเดียวใช่, ความหนาวทำให้หลายชีวิตต้องเผชิญกับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนแล้วหละนึกไปถึงร่างอันบอบบาง…
ภู เชียงดาว
ภาพโดย www.thaingo.org -งาม- เธองามดั่งดวงดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่งในหมู่มวลธรรมชาติสรรพสิ่งเพียงลมสายบริสุทธิ์พัดต้องล่องลอยมาสู่,ชีวิตเธอก็คลี่กลีบนวลยิ้มแย้มเบิกบานอยู่อย่างนั้นให้สัมผัสพบเห็นเป็นที่ชื่นชมในกัลยาณมิตรให้ชุ่มชื่นดวงจิตเธอช่วยชุบชูชีวิตหลายชีวิตให้มีหวังยิ่งยามแผ่นดินแล้งแห้งหรือเร่าร้อนดังไฟ-แกร่ง-เธอแกร่งดั่งภูผาที่ยืนท้าต้านแรงลม แดด ฝนวิถียังเฝ้าฝ่าฟัน บากบั่น ยึดมั่น ก้าวไปบนถนนของคนจนและความจน แหละผจญไปบนเส้นทางของความจริงแม้ร่างนั้นดูบอบบาง หากยังฝืนกำหมัดหยัดยืนชูมือขึ้นสู่ฟ้า เพียรวาดฝัน ปรารถนา ปวงประชาพบทางแห่งเสรีใช่, เหมือนกับที่เธอว่าไว้ในบทกวี...“…
ภู เชียงดาว
ข้าไม่สนใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ข้าเดินอย่างสบายๆ ให้ทุกสิ่งดำเนินไปในวิถีของมัน มีข้าวสามทะนานอยู่ในย่าม มีฟืนใกล้เตาไฟ แล้วจะสนใจไยกับมายาและการบรรลุธรรม ชื่อเสียงและโชคลาภจะมีประโยชน์อันใด ข้านั่งในกระท่อม ฟังเสียงฝนยามค่ำ เหยียดขาอย่างอิสระอยู่ในโลก. ‘เรียวกัน’ ผมกลับมาพักอยู่ในสวนบนเนินเขาอีกครั้ง,ในวันที่ลมหนาวมาเยือน เป็นการกลับมาใช้วิถีของความเรียบง่ายและเป็นสุข, ผมรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อมาพักอยู่ในบ้านสวน ซึ่งนับวันสวนยิ่งคล้ายป่าไปทุกที ใจผมรู้สึกนิ่ง สงบมากขึ้น ไม่ต้องเคร่งเครียด เร่งรน หากใช้ชีวิตให้กลมกลืนและใกล้กับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุดมาถึงห้วงยามนี้ ผมบอกกับตัวเองว่า…