Skip to main content

เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า            
โศกเศร้าใช่ไหมหัวใจหวัง
ยามสายลมเลาะภูรับรู้-ดัง 
             
แว่วฟังเหมือนดั่งเพลงร้าวราน

ใครบางคนสับสน บ่นถึงเจ้า  
ไยวิถีจึงเหน็บหนาวแตกร้าวฉาน
ไม่มีแล้วหรือ...จิตวิญญาณ                                             
ที่จะขับที่จะขานเพลงหวังดี
เหมือนบทเพลงเปลี่ยนท่วงทำนอง    
หัวใจจำร่ำร้องในวิถี...
ก่อนเคยร่วมสอดประสานดวงชีวี
      
มี-ไม่มี เรามิพรั่นมิหวั่นกลัว
บัดนี้,ความฝันพลันหมองหมาง        
ดุ่มเดินเคว้งคว้าง ทางสลัว
ยิ่งดั้นด้นค้นหา ยิ่งหม่นมัว               
                                                            
ดิ่งลึกท่ามความดี-ชั่ว ในตัวตน

\\/--break--\>
เหน็บหนาวใช่ไหมหัวใจเจ้า

หลายสิ่งรุมเร้าเศร้าสับสน
ชีวิตบนทางที่วกวน...                     
                 
กี่คนกี่คน ล้วนถูกมัด-พันธนาการฯ



















 

ลมหนาวมาเยือนอีกครั้ง ทำให้คุณนึกถึงบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมาทันใด คุณเขียนไว้เมื่อครั้งยังทำงานกลางป่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เขียนให้กับตัวเองและมิ่งมิตรในยามสับสนอ่อนล้า นึกถึงผองเพื่อนหลายคน บ้างก่นด่าชะตากรรม อีกทั้งยอมแพ้ระหว่างทาง หันหลังคืนกลับ ก่อนเดินพลัดหายไปในเมืองแห่งความลวงและกลวงดังเดิม                                                                                 

จริงสิ, ชีวิตคนเรานั้นล้วนต่างประสบพบเจออะไรๆ มามากต่อมาก ผสานผสมปนเปกันไปอยู่อย่างนั้น ทั้งสุขทุกข์ สมหวัง พ่ายหวัง หัวเราะ ร่ำไห้ บาดเจ็บ เหน็บหนาว นุ่มนวล ดิบเถื่อน สลัด เกาะกุม ไขว่คว้า ได้มาสูญเสีย พรากจาก ฯลฯ ทว่าหลายต่อหลายครั้ง เหมือนเราถูกมือที่มองไม่เห็นจับกระชากเหวี่ยงลงไปในหุบเหวของความดำมืด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากที่สุดแล้ว เรากลับผุดโผล่ ฮึดสู้ และพร้อมเผชิญกับมันได้อย่างเหลือเชื่อ ก้าวพ้นออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ประหนึ่งว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ประเดประดังเข้ามา เป็นเพียงบททดสอบชีวิต ว่าเราจะก้าวข้ามและผ่านพ้นไปได้อีกบทหนึ่งหรือไม่เท่านั้นเอง          

"ชีวิตคนเราจำเป็นต้องเกิดใหม่หลายๆ หน..."            
คุณย้ำบอกตัวเองอย่างนี้ หลังจากใช้ชีวิตมาอย่างหน่วงหนักจนวัยใกล้เลขสี่แล้ว การเกิดใหม่ของคุณนั้นอาจหมายถึงการกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง แม้กระทั่งเรื่องของหน้าที่การงานหรือการใช้ชีวิต

เมื่อนั่งอยู่ในความเงียบลำพัง...คุณชอบย้อนมองชีวิตที่ผันผ่านมา บางครั้งรู้สึกเศร้า บ้างอดหัวเราะให้กับตัวเองไม่ได้ เกือบสี่สิบปี วิถีผ่านพบและเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่งเลยหรือนี่
!? จากลูกชาวนายากจนคนหนึ่งที่มีโอกาสหลุดเข้าไปเรียนในเวียงแล้วเจอกับสังคมแปลกแยกแปลกใหม่ที่สนุกและเลวร้ายระยำ พลัดหลงเข้าไปอยู่ในฝูงเพื่อนเกเรและร้ายกาจ แต่คุณก็หลุดออกจากวงโคจรอุบาทว์นั้นมาได้ทัน ในขณะที่เพื่อนหลายคนนั้นเลือกทางเดินสายโจร และสิ้นสุดที่คุกตารางกับความตายไม่ต่ำกว่าสิบราย               

คุณนั่งครุ่นคิด...บางทีอาจเป็นเพราะความจนทำให้คุณเห็นความจริง ทำให้คุณเล็ดลอดออกมาได้ ประกอบกับช่วงนั้น แม่ผู้ให้ความรัก ห่วงใย คอยเอาใจใส่คุณ พลันมาจากไปในห้วงนั้นด้วย จึงทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนและเลือกเดินไปอีกเส้นทางหนึ่ง...จำได้ว่า หลังแม่ตาย คุณเฝ้าถามตัวเองถี่มากขึ้นทุกวันๆ...เราเกิดมาทำไม เราอยู่เพื่ออะไร และจริงๆ แล้วในชีวิตคนเราต้องการอะไร!?                                             

และแล้วชีวิตคุณก็ออกเดินทางไกลมากขึ้นทุกที... 
จบมัธยมปลาย ก็เริ่มทำงานอยู่ร้านเหล็ก แบกเหล็ก พนักงานเก็บเงิน ครูอาสาสมัครเดินสอน ขายประกัน เป็นยามโรงแรมขณะเรียนวิทยาลัยครูอยู่พักหนึ่ง ก่อนไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวให้กับโรงเรียนคนพิการทางสมอง และมาเป็นครูผลิตสื่อและครูพี่เลี้ยงกินนอนอยู่ร่วมกับเด็กพิการทางสายตา ในโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ


เด็กๆ ผู้พิการทางสายตานี่เองได้สอนคุณหลายอย่าง ในห้วงขณะชีวิตคุณกำลังทดท้อและมืดดำสับสน แต่พวกเขากลับมีส่วนกระตุกต่อมสำนึกคุณให้ฟื้นตื่น ให้ดวงจิตคุณสว่างวาบขึ้นมาได้

ใช่ พวกเขาและเธอสอนคุณให้รู้จักจินตนาการ ความฝันและความหวัง ซึ่งมีมากกว่าคนตาดีหลายเท่านัก จากนั้น คุณตัดสินใจขึ้นไปเป็นครูอาสาฯ บนดอยสูงติดกับชายแดนไทย-พม่า นานนับสิบปี แน่นอนว่า รายทางที่คุณแบกเป้ ดุ่มเดินลัดเลาะไปตามทุ่งนา ลำห้วย เนินเขา ป่าสน ไร่ข้าว ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพี่น้องชนเผ่ากลางป่าลึกนั้น ได้มีส่วนหนุนเสริมให้คุณรู้จักชีวิตตัวเองและชีวิตผู้อื่นมากขึ้น แน่นอน วิถีหมู่บ้านป่า อาจเปล่าเปลี่ยวและเหน็บหนาว แต่ที่นั่นทำให้คุณรู้จักกรุ่นอายความรักบริสุทธิ์ของเด็กๆและแววตาอาทรของพ่อเฒ่าแม่เฒ่า    

บนดอยนั้น ยังทำให้คุณรู้จักความอดอยาก ความป่วยไข้ การเกิดและความตาย คุณยังจำภาพเด็กน้อยวัยสามขวบป่วยหนัก คุณใช้ผ้าขะม้าพัดรวบร่างทั้งคุณ พ่อและเธอจนแนบแน่น กันหลุดลื่นล้มระหว่างทางอันเละด้วยดินโคลน ก่อนพาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ลงไปส่งโรงพยาบาลอำเภอเวียงแหง ในค่ำคืนมืดฝนพรำตลอดทาง ภาพนั้นยังติดตามคุณอยู่ไม่เคยเลือนหาย...ภาพพ่อของเด็กน้อยนั่งสะอื้นร้าวลึกอยู่ริมบันไดโรงพยาบาล เมื่อเราไม่อาจยื้อช่วยชีวิตเธอไว้ได้

บนดอยสูง ยังได้สอนคุณให้รู้จักภาวะดิ้นรน การเอาตัวรอดของผู้คน เห็นร่องรอยการข่มเหงกดขี่และความไม่เป็นธรรมกระจายไปทั่วหุบเขา แหละนั่นอาจเป็นส่วนหนึ่งทำให้คุณตัดสินใจลาออกครู มาทำงานหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ประชาไท' ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อนครูดอย บ้าหรือเปล่า...ลาออกทำไม เขากำลังจะบรรจุเป็นข้าราชการแล้ว แต่งานสื่อมวลชนก็ได้สอนคุณให้รู้จักพลังของสื่อ และทำให้คุณมองเห็นความทุกข์ยากของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบทั้งชีวิต สิทธิ เสรีภาพไปทั่วทุกหนแห่ง งานสื่อทำให้คุณรู้จักทั้งด้านดีและด้านเลวร้ายของสังคมไปพร้อมๆ กัน ยิ่งเสาะค้น ยิ่งหมักหมม ยิ่งขุดคุ้ย ยิ่งเห็นความลึก กว้าง ทับซ้อน ทวีคูณ...

กระทั่งคุณตัดสินใจลาออกงานประจำได้ขวบปีกว่า มาใช้ชีวิตในสวนหุบผาแดง อันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิด และคุณถือว่าตนเองกำลังเกิดใหม่อีกหน                                                                                       

"เป็นคนสวนและคนเขียนหนังสือ..." 
"จน...แต่มีความสุข" คุณบอกใครต่อใครอย่างนั้น...และบอกกับตัวเองอยู่ย้ำๆ ว่า นับแต่นี้ ขอเลือกวิถีทางธรรมดา เรียบง่าย สงบ อยู่ร่วมกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เรียนรู้ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร ในพื้นที่เล็กๆ ให้สมดุล สอดคล้อง อ่อนโยนกับโลกใบนี้ ที่สำคัญ...คุณพยายามสลัดทิ้งซึ่งพันธนาการที่ผูกมัดรัดรึงชีวิตและจิตวิญญาณให้หลุดออกไปให้มากที่สุด                                                                           

จริงสิ, ชีวิตคนเราล้วนเคยถูกผูกมัดอยู่กับพันธนาการมาแล้วทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง หน้าที่การงาน ความรัก ครอบครัว กิเลส อำนาจ ความเห็นแก่ตัว ความละโมบ เงินตรา ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า แม้ว่าเราจะสลัดพันธนาการหนึ่งออกไป แต่ก็ดูเหมือนว่ามีพันธนาการตัวใหม่เข้ามารัดรึงเราไว้อีก กระนั้นก็ตามเถอะ มาถึงตอนนี้ คุณรู้แล้วว่า จริงๆ แล้ว คนเราไม่ต้องสะสมอะไรให้มากนัก ยิ่งเหลือน้อยเท่าไร ยิ่งโปร่งโล่ง สบาย...

"แล้วอยู่ได้อย่างไร...ไม่มีเงินเดือน ไม่มีงานประจำ ไม่กลัวอดตายเหรอ" ใครคนหนึ่งเอ่ยถามคุณ คุณได้แต่ยิ้ม แล้วหันไปมองรอบๆ บ้านปีกไม้ สวนชีวิตของคุณกำลังรกครึ้มกลายเป็นป่า ทั้งไม้ผล ผักไม้ไซร้เครือ รวมทั้งดอกไม้กำลังงอกเงย งอกงาม แต่ถ้าใครถามคุณเช่นนั้นอีก คุณคงบอกได้แต่เพียงว่า- -อย่ากังวลถึงวันพรุ่ง...แต่จงใช้ชีวิตวันต่อวัน...เพียงเท่านั้น                                                             

คงเหมือนกับดวงตะวันยามเช้าที่โผล่พ้นยอดดอยผาแดงทางทิศตะวันออก และลับลงตรงเหลี่ยมดอยหลวงเชียงดาวทางทิศตะวันตกทุกย่ำเย็น.        

* * * * *

หมายเหตุ : งานชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน คอลัมน์ปลายทางเส้นนี้มีดอกไม้ วารสารผู้ไถ่ ฉบับที่ 81 กันยายน-ธันวาคม 2552

 

 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
ผมรู้ว่าสี่ห้าปีมานี้ ผมเขียนบทกวีได้ไม่กี่ชิ้น อาจเป็นเพราะต้องอยู่กับโลกข่าวสารที่จำเป็นต้องเร่งและเร็ว หรืออาจเป็นเพราะว่ามีบางสิ่งบางอย่างบดบัง จนหลงลืมมองสิ่งที่รอบข้าง มองเห็นอะไรพร่ามัวไปหมด หรือว่าเรากำลังหลงลืมความจริง...ผมเฝ้าถามตัวเอง...  อย่างไรก็ตามเถอะ...มาถึงตอนนี้ ผมกำลังพยายามฝึกใช้ชีวิต ให้อยู่กับความฝันและความจริงไปพร้อมๆ กัน ช่วงนี้ หลังพักจากงานสวน ผมจึงมีเวลาอยู่กับความเงียบลำพัง เพ่งมองภายในและสิ่งรายรอบมากยิ่งขี้น และผมเริ่มบันทึกบทกวีแคนโต้เหมือนสายน้ำ หลั่งไหล อย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ ตามดวงตาที่เห็น ตามหัวใจได้สัมผัสต้อง บ่อยครั้งมันมากระทบทันใด ไม่รู้ตัว…
ภู เชียงดาว
เกือบสามเดือนแล้วที่ผมพาตัวเองกลับมาอยู่ในหุบเขาบ้านเกิด ชีวิตส่วนใหญ่จึงขลุกอยู่แต่ในสวน ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าเหงาหรือห่างไกลกับผู้คนเลย เพราะในแต่ละเดือนมักมีมิ่งมิตรเดินทางมาเยี่ยมเยือนหากันตลอด  และทำให้ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่า...บางทีการอยู่นิ่งก็หมายถึงการเดินทาง ใช่ ผมหมายถึงว่า ในขณะที่ผมอยู่ในสวน หากยังมีผู้คนเดินทางแวะเวียนมาหา และที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ผมยังมองเห็นเมล็ดพันธุ์เดินทางมายังสวนอย่างต่อเนื่อง “ผมเอาเมล็ดพันธุ์มาฝาก...” นักเดินทางคนหนึ่งเดินทางไกลมาจากสงขลา ล้วงเอาเมล็ดพันธุ์ที่ใส่ไว้ในกล่องฟิล์มยื่นให้ ขณะผมกำลังง่วนทำงานอยู่ในสวน
ภู เชียงดาว
หลังดินดำน้ำชุ่ม เขาหยิบเมล็ดพันธุ์หลากหลายมากองวางไว้ตรงหน้า มีทั้งเมล็ดผักกาดดอยที่พ่อนำมาให้ เมล็ดฟักทองที่พี่สาวฝากมา นั่นเมล็ดแตงกวา เมล็ดหัวผักกาด ถั่วพุ่ม ผักบุ้ง บวบหอม ผักชี ฯลฯ เขาค่อยๆ ทำไปช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทั้งหว่านทั้งหยอดไปทั่วแปลง เสร็จแล้วเดินไปหอบใบหญ้าแฝกที่ตัดกองไว้ตามคันขอบรอบบ้านปีกไม้มาปูบนแปลงผักแทนฟางข้าว ให้ความชุ่มชื้นแก่ดินหลังจากนั้น เขามองไปรอบๆ แปลงริมรั้วยังมีพื้นที่ว่าง เขาเดินไปถอนกล้าตำลึง ผักปลัง ผักเชียงดา มะเขือ พริก อัญชัน ตะไคร้ ขิง ข่า กระเพรา โหระพา สาระแหน่ ฯลฯ มาปลูกเสริม หยิบลูกมะเขือเครือ(ที่หลายคนเรียกกันว่าฟักแม้วหรือซาโยเต้)…
ภู เชียงดาว
ในช่วงสองเดือน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ เขาใช้เวลาเทียวขึ้นเทียวล่องระหว่างเมืองกับสวนในหุบเขาบ้านเกิด เพื่อวางแผนลงมือทำสวนผักหลังบ้าน แน่นอน- -เพราะเขาบอกกับตัวเองย้ำๆ ว่าหากคิดจะพามนุษย์เงินเดือน กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นได้ จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีฐานที่มั่น และมีผักไม้ไซร้เครือเตรียมไว้ให้พร้อม ให้พออยู่พอกินเสียก่อน ใช่ เขาหมายถึงการสร้างฐานความมั่นคงทางอาหาร ด้วยการปลูกพืชผักสวนครัวหลังบ้าน   หลายคนอาจบอกว่า งานทำสวนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เหมือนกับงานสาขาอาชีพอื่น แต่ก็อีกนั่นแหละ เขากลับมองว่า งานสวนไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…
ภู เชียงดาว
1. ในชีวิตคนเรานั้นคงเคยตั้งคำถามที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก คำถามคลาสสิกหนึ่งนั้นคือ...“คนเราต้องการอะไรในชีวิต!?...” คำตอบส่วนใหญ่ก็คงหนีไม่พ้นต้องการปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ...อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค หากปัจจุบัน ‘เงิน’ กลับกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของคนเรา แน่นอน, เมื่อเอาเงินเป็นตัวกำหนดชะตากรรม,ชีวิต จึงทำให้ทุกคนต้องดิ้นรนเพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งทุกอย่าง จนทำให้ชีวิตหลายชีวิตนั้นขวนขวายทำงานกันอย่างหน่วงหนัก ‘การงาน’ ได้กระชากลากเหวี่ยงเรากระเด็นกระดอนไปไกลและไกล ให้ออกไปเดินบนถนนของความโลภ ไปสู่เมืองของความอยาก ไปสู่กงล้อของการไขว่คว้าที่หมุนวนอยู่ไม่รู้จบ…
ภู เชียงดาว
ค่ำนั้น, ฟ้าเริ่มครึ้มมัวหม่นเมฆฝน ข้ายืนจดจ้องฝูงมดดำเคลื่อนขบวนมหึมา ไต่ไปบนปีกไม้ไปหารวงรังแตนเกาะริมขอบหน้าต่างบ้านปีกไม้ หมู่มดยื้อแย่งขนไข่แตนกันออกจากรัง อย่างต่อเนื่อง ขณะฝูงแตนบินว่อนไปมาด้วยสัญชาติญาณ คงตระหนกตกใจระคนโกรธขึ้งเคียดแค้น แต่มิอาจทำอะไรพวกมันได้ เหล่าฝูงมดอาศัยพลพรรคนับพันนับหมื่นชีวิต ใช้ความได้เปรียบเข้าปล้นรังไข่พวกมันไปหมดสิ้น ไม่นาน ขบวนมดจำนวนมหาศาลก็ถอยทัพกลับไป ฝูงแตนไม่รู้หายไปไหน เหลือเพียงรังแตนที่กลวง ว่างเปล่า
ภู เชียงดาว
ในที่สุด, ผมก็พาตัวเองกลับคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากโชคชะตาชักชวนชีวิตลงไปอยู่ในโลกของเมืองตั้งหลายขวบปี การกลับบ้านครั้งนี้ ผมกะเอาไว้ว่า จะขอกลับไปพำนักอย่างถาวร หลังจากชีวิตเกือบค่อนนั้นระหกระเหินเดินทางไปหลายหนแห่ง ผ่านทุ่งนา ภูเขา แม่น้ำ ทางป่า ถนนเมือง... จนทำให้บ้านเกิดนั้นเป็นเพียงคนรู้จักที่ไม่คุ้นเคย เป็นเหมือนโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราวก่อนออกเดินทางไกล อย่างไรก็ตามได้อะไรมากและหลากหลาย... สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาสู่,ชีวิตการกลับบ้านเกิดหนนี้, เหมือนกับว่าไปเริ่มสู่จุดเริ่มต้นและก่อเกิด ผมบอกกับหลายคนว่ากำลังเกิดใหม่เป็นหนที่สามจากบ้านเกิด เข้ามาเรียนในเวียง…
ภู เชียงดาว
‘ลุ่มน้ำแม่ป๋าม’ ถือว่าเป็นลุ่มน้ำสาขาหลักที่สำคัญของแม่น้ำปิงอีกสายหนึ่งของอำเภอเชียงดาว ที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลย เมื่อย้อนทวนขึ้นไปบนความสลับซับซ้อนของต้นกำเนิดน้ำแม่ป๋าม หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ตาน้ำ จะพบว่าอยู่บริเวณชุมชนบ้านแม่ปาคี ต.สันทราย ของ อ.พร้าว ก่อนจะลัดเลาะไหลอ้อมตีนดอยผาแดง ลงสู่หุบห้วยบริเวณบ้านป่าตึงงาม โดยมีสายน้ำย่อยอีกสายหนึ่ง คือน้ำแม่ป๋อย ได้ไหลมารวมกับน้ำแม่ป๋ามตรงสบน้ำบ้านออน ต.ปิงโค้ง อ.เชียงดาว นอกจากนั้นยังมีลำน้ำแม่มาดอีกสายหนึ่ง ซึ่งมีขุนน้ำอยู่บริเวณป่าเชิงดอยบ้านปางโม่ ก็ได้ไหลมาสมทบกับน้ำแม่ป๋าม แล้วค่อยไหลผ่านหมู่บ้านแม่ป๋าม…
ภู เชียงดาว
มองไปในความกว้างและเวิ้งว้าง ทำให้ผมอดครุ่นคิดไปลึกและไกล และพลอยให้อดนึกหวั่นไหวไม่ได้ หากภูเขา ทุ่งนาทุ่งไร่ สายน้ำ และวิถีชีวิตในหมู่บ้านเกิดของผมต้องเปลี่ยนไป เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติเข้ามาเยือน
ภู เชียงดาว
‘…เรารู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ โลกนี้มิใช่ของมนุษย์ มนุษย์ต่างหากที่เป็นสมบัติของโลก สิ่งนี้เรารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันเหมือนดังสายเลือดในครอบครัวเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่โลก ย่อมเกิดขึ้นแก่บุตรธิดาของโลกด้วย มนุษย์ไม่ใช่ผู้สานทอใยแห่งชีวิต เขาเป็นเพียงเส้นใยหนึ่งในนั้น สิ่งใดก็ตามที่เขาทำต่อข่ายใยนั้น ก็เท่ากับกระทำต่อตนเอง...’จดหมายโต้ตอบของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงที่ซีแอตเติ้ลจากหนังสือ ‘ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป’วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ : แปล และเรียบเรียง
ภู เชียงดาว
  ผมยืนอยู่บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน จ้องมองภาพเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า... เป็นภาพที่คุ้นเคยที่ยังคงสวยสด งดงาม และเรียบง่ายในความรู้สึกผม ภาพชาวนาในท้องทุ่ง ภาพหุบเขาผาแดงที่มีป่าไม้กับลำน้ำแม่ป๋ามไหลผ่านคดโค้งเลียบเลาะระหว่างตีนดอยกับทุ่งนา ก่อนรี่ไหลลงไปสู่ลำน้ำปิง แม่น้ำในใจคนล้านนามานานนักนาน
ภู เชียงดาว
(1)ดอกฝนหล่นโปรยมาทายทักแล้ว,ในห้วงต้นฤดูหอมกลิ่นดินกลิ่นป่าอวลตรลบไปทั่วทุกหนแห่งหัวใจหลายดวงชื่นสดในชีวิตวิถีถูกปลุกฟื้นตื่นให้เริ่มต้นใหม่อีกคราครั้ง…ตีนเปลือยย่ำไปบนดินนุ่มชุ่มชื้น,เช้าวันใหม่ไต่ตามสันดอย ไปในไร่ด้วยกันนะน้องสาวผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน  ช่วยกันทำงานๆพี่ใช้เสียมลำไม้ไผ่กระทุ้งดิน  น้องหยิบเมล็ดข้าวหยอดใส่หลุมไม่เร่งรีบ ไม่บ่นท้อ ในความเหน็ดหน่ายเสร็จงานเราผ่อนคลาย  เอนกายผ่อนพักใต้เงาไม้ใหญ่แล้วพี่จะกล่อมให้, ด้วยเพลงพื้นบ้านโบราณขับขาน