ใกล้สิ้นปีทีไร เชื่อว่าหลายคนคงแอบบ่นกับตัวเองอยู่เงียบๆ ลำพัง
“ชีวิตเราเดินทางมาไกลจังเลย”
“ทำไมมันถึงหนักหนาสาหัสอย่างนี้”
“แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป...”
“สิ่งไหนเล่าที่เราต้องการ...”
“แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง...”
จริงสิ, ที่ผ่านมา ผมพบเจอกับผู้คน มิ่งมิตรมากหน้าหลายตา ทั้งที่เคยพบเจอหน้ากัน ทั้งที่ไม่เคยพบเจอหน้ากัน หากพบและรู้จักกันผ่านตัวหนังสือจนรู้สึกสนิทสนมกันดั่งพี่น้อง แน่ละ ทั้งเขาและเธอมักมีถ้อยคำรำพึงคล้ายๆ กันอย่างนี้
แต่ก็นั่นแหละ มีหลายคนที่เดินทางไปอยู่ตั้งไกล ในขณะที่บางคนบอกว่ากำลังเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อเดินทางไกล ตามห้วงวัน วัยของการแสวงหาแห่งตน กระนั้น เชื่อว่าที่สุดแล้ว- -วิถีคนเราจะผ่านพ้นไปได้อีกวัน- -อีกวัน
อีกเช้า,ที่ผมเปิดอีเมลเจอภาพและข้อความสั้นๆ แต่อ่านดูแล้วรับรู้สึกได้เลยว่า อา-วิถีคนเราที่ผ่านมา...มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
We have 3 stupid stages of life
ความเป็นจริงของชีวิต...
Teen age: วัยรุ่น
Have Time + Energy ...but No Money
มีเวลา + มีกำลัง... แต่ไม่มีเงิน
Working Age: วัยทำงาน
Have Money + Energy ...but No Time
มีเงิน +มีกำลัง....แต่ไม่มีเวลา
Old age: วัยชรา
Have Time + Money ...but no Energy
มีเวลา +มีเงิน....แต่ไม่มีกำลัง
ในตอนท้ายจดหมายฉบับนี้ยังบอกย้ำไว้ว่า...
จงทำแต่พอดี ในตอนที่ยังมี กำลัง
อย่าโหมงานหนักจน.....ไม่มี เวลา
แม้จะได้ เงิน มา....แต่อาจไม่ได้ใช้
ทำให้ผมนึกไปถึงมิ่งมิตรอีกคนหนึ่งจากแดนไกล
บอกเล่าในตอนท้ายให้ฟังว่า ไปอ่านเจอในคัมภีร์ไบเบิล เลยเอามาฝาก
"ไม่ต้องห่วงกับอนาคต ไม่ต้องห่วงกับปัจจุบัน เพราะวันพรุ่งนี้จะดูแล ตัวมันเอง แม้แต่นกกระจอกตัวน้อยๆ ยังไม่อดตาย"
...หรือว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตไม่ต้องการอะไรมากเลย
ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องคาดหวัง หากใช้ชีวิตไปตามปัจจุบันขณะ
เท่านี้ก็มีคุณค่ามากพอแล้ว สำหรับการใช้ชีวิต
“วันนี้คุณรู้จักความจริงของชีวิตกันหรือยัง!?...”
เหมือนเสียงของความคุ้นเคยตะโกนร้องถามมาจากข้างในอีกครั้ง.
*** ภาพแรกและภาพสุดท้าย จาก ‘ก้อนหินริมทาง’
ชมภาพงามๆ เหงาๆ ได้ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=belife