Skip to main content

 

 

เมื่อเอ่ยชื่อ...คนมากมายต่างรู้จักเขา…

จริงสิ, ใครต่อใครบอกไว้ว่า เขากลายเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาว

ของความรัก ความหวัง และความฝันของใครหลายคน

กระทั่งมีคนให้สมญานามแด่เขา ‘เจ้าชายโรแมนติก’


 

พิบูลศักดิ์ ละครพลนามนี้นั้นคือนักเขียนในดวงใจของผมอีกคนหนึ่ง

แน่ละ งานเขียนของเขานั้นถือว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตผมมากอีกคนหนึ่ง ไม่ว่าการฉากการใช้ชีวิตบนดอยสูง

มุมมอง ความคิด ความรู้สึกที่ได้สัมผัส กับภาษาง่ายงาม เนียนนุ่ม เหงาและเศร้า ในศรัทธา ในความหวังในความฝัน ในความสุข ในความทุกข์ ในการงานร่วมกับผู้ด้อยโอกาส แม้กระทั่งในเรื่องการต่อสู้กับจิตใจตัวเอง นั้นล้วนเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยทดลอง เรียนรู้ และประสบด้วยตนเองมาแล้วทั้งสิ้น


 

...ช่างเหมือนฝัน ที่กาลเวลาผ่าน นักเขียนในดวงใจ นักเขียนที่ผมชื่นชอบ เคยพกพาหนังสือของเขาหลายเล่มอ่านบนดอย กลางป่า วันหนึ่งผมได้มีโอกาสสัมผัส พบและคุ้นเคยกันจนคล้ายดั่งญาติมิตรสนิทใจ กลายเป็นพี่ชายที่ผมรักและศรัทธาอีกคนหนึ่ง


 

อยากไปเยือนหุบผาแดง...เผื่อได้เขียนงานสักชุดนึง...” เขาบอกผม


 

ผมเชื้อเชิญเขาทันใด จริงสิ,บางที หุบผาแดงอาจเหมาะสำหรับคนเขียนรูป คนเขียนหนังสือเช่นเขา

ผมเชื่อเช่นนั้น ในความรู้สึกของผม หุบเขาแห่งนี้ มีสามสิ่งที่สอดคล้องกัน

เงียบ เหงา งาม


 

...ทำให้นึกถึงภาพวันเก่าๆ ณ บ้านเช่าบ้านไม้หลังเก่า บ้านห้วยทราย ใกล้เชิงดอยสุเทพ ของเวียงเชียงใหม่ ครั้งนั้น พี่ชายคนนี้ได้แวะเวียนมาหาผม จำได้ว่า เราสนทนากันอย่างออกรส ทั้งหวานขมอมเศร้า จากเช้าสายคล้อยบ่ายย้ายย่ำเย็น...ห้วงคำนึงถึงความหลัง อดีตวัยฝันวันเยาว์ของเขาผุดพรายออกมาในความทรงจำ

 

และผมมองเห็นความฝันของคนหนุ่มโลดเต้นในดวงตาของชายคนนี้...

 

"บางที ชีวิตเมื่อเราเดินถอยห่างออกมา เรามักมองเห็นอะไรชัดเจนยิ่งขึ้น..." เขาชอบย้ำๆ คำนี้ให้ได้ยินอยู่เสมอ


 

ผมนิ่งฟังเขา ทุกถ้อยคำนั้นเหมือนภาพผ่านเข้ามาเหมือนสายน้ำไหลรินจากโตรกผาลงสู่ห้วงหุบห้วยข้างล่าง...รี่ไหลเย็นระรื่น มองเห็นฉากของถนนสีแดง หุบเขาแสงตะวัน เมื่อครั้งเขาเคยใช้ชีวิตเป็นครูในแถบแม่ฮ่องสอน ครูหนุ่มกับมอเตอร์ไซค์คันเก่า ผู้แบกเป้ความฝันไว้เต็มเปี่ยม กับภาพห้องสมุดโดดเด่นซุกซ่อนอยู่กลางป่าเขา


 

รวมถึงภาพบ้านเช่าซอมซ่อกลางเมืองเชียงใหม่ ในห้วงระทมของคนหนุ่มกับชีวิตระหกระเหิน ก่อนมีหญิงสาวที่พลัดหลงเข้ามาขออาศัยอยู่ในห้วงทุกข์ยากและไร้หวัง ใช่, เธอคือนางฟ้าที่พลัดหลงเข้ามาในยามความฝันกำลังผุพัง เธอเป็นดั่งแสงเดือน ศรัทธาและความหวัง เป็นทั้งความรัก สุข เศร้า และการจากพราก


 

แหละนั่นคือที่มาของตัวละครในนวนิยายเรื่อง "ขอความรักบ้างได้ไหม"
นวนิยายของหนุ่มสาวในยุคแสวงหาที่ตรึงใจใครหลายคน


 

...แสงแดดสาดส่อง แตะต้องช่วงไหล่

เธอหอบดอกไม้ ยิ้มฉายบนหน้า

ฉันมองร่างเธอผ่านม่านน้ำตา

ภาพเธอพรายพร่า

เธอกลับมาจริงหรือไร

นานเหลือเกินที่เราจากกัน

หยุดอยู่ตรงนั้น ฉันขอร้องไห้

ขอร้องให้สากับความอาลัย

ช่างนานเหลือใจ ช่างนานเหลือเกิน...”


 

และอีกมากมายบทเพลงหวาน อีกหลายลำนำเศร้า ที่ใครหลายคนคุ้นเคย...


 

หากพรุ่งนี้ฉันเอ่ยลา

เธอจะมีน้ำตาให้ฉันไหม
ความรู้สึกเธอจะเป็นเช่นไร

จะเจ็บปวดแปลบใจ หรือไม่เลย


เพลงรักสำหรับฉัน

เธอจะขับร้องมันอีกไหมเอ่ย
อุ้งมืออบอุ่นฉันคุ้นเคย

เธอจะปล่อยมันเปล่าเฉยอยู่กี่วัน


ก็คงไม่เป็นไร

หากวันต่อไปไม่มีฉัน
สำหรับเธอยังมีสิ่งสำคัญ

อีกหลายร้อยหลายพันให้ค้นพบ


ห่วงก็แต่ความฝัน

เกรงมันจะค้างอยู่ไม่รู้จบ
วันเงียบ เดือนเหงา ปีเซาซบ

มันจะหลบเร้นร่างอยู่อย่างไร


เก็บมันไว้ให้ฉันที

ดูแลมันอย่างดีด้วยได้ไหม
อย่าทิ้งขว้างมันเมื่อฉันไป

มีเธอมันจะได้ไม่เคว้งคว้าง…ฯลฯ…”


 

กระนั้น จำได้ว่าเรายังคงถกเถียงอีกหลายเรื่องหลายราว พูดถึงวันนี้และวันพรุ่ง พูดถึงโลกและโลภ ความเร็วของทุน ความล้มเหลวของระบบการศึกษา ความแปลกแยกแปลกเปลี่ยนของคน รวมไปถึงความจริงและลวง


 

จวบจนตะวันแลง เขาจึงขับรถยนต์คันสีแดงเลือดนกค่อยๆ เคลื่อนออกไปช้า ๆ กลับคืนสู่บ้านดินทุ่งดาว แม่ใจ พะเยา และทิ้งความฝันไว้เบื้องหลัง ให้ผมได้ขบคิดใคร่ครวญถึง


 

นั่นคือภาพเก่าๆ ณ บ้านเช่าไม้หลังเก่า ในความคำนึง...

แม้มันจะเก่าและเลือนรางไปบ้าง ทว่ายังคงงามงดและจดจำ!?


 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
  เมื่อนั่งอยู่ในความเงียบ ในสวนบนเนินเขายามเช้าตรู่ เพ่งดูหมอกขาวคลี่คลุมดงดอยอยู่เบื้องหน้า ทุ่งนาเบื้องล่างลิบๆ นั้นเริ่มแปรเปลี่ยนสี จากทุ่งข้าวสีเขียวสดกลายเป็นสีเหลืองทองรอการเก็บเกี่ยว ใช่, ใครต่อใครเมื่อเห็นภาพเหล่านี้ คงรู้สึกชื่นชมภาพอันสดชื่นรื่นรมย์กันแบบนี้ทุกคนทว่าจริงๆ แล้ว พอค้นให้ลึกลงไป ก็จะพบว่า ในความงามนั้นมีความทุกข์ซุกซ่อนอยู่ให้รับรู้สึก เมื่อนึกถึงภาพเก่าๆ ของหมู่บ้าน ผ่านไปไม่กี่สิบปี  จะมองเห็นได้เลยว่าหมู่บ้านเกิดของผมมีความแปลกเปลี่ยนไปอย่างเร็วและแรง อย่างไม่น่าเชื่อ“ตอนนี้ อะหยังๆ มันก่อเปลี่ยนไปหมดแล้ว...” เสียงใครคนหนึ่งบ่นเหมือนรำพึงจริงสิ,…
ภู เชียงดาว
ผมเริ่มค้นพบว่าตัวเองนั้นไม่เหมาะกับเมือง หลังจากที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มานานหลายปี ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงคิดเช่นนี้- -อาจเป็นเพราะระยะหลังรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแปลกและป่วย บางครั้งคล้ายยินเสียงจากข้างในกำลังบอกอะไรบางอย่าง ราวกับจะบอกว่า... ‘ที่สุดแล้ว,ชีวิตต้องกลับคืนสู่เส้นทางที่จากมา’ แหละนั่น ทำให้ผมเริ่มวางแผนกลับไปใช้ชีวิตในสวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดอีกครั้ง หลังจากที่ปล่อยให้สวนรกร้างว่างเปล่ามานานเต็มทีจริงสิ, ผมปล่อยให้ต้นไม้ในสวนรกเรื้อและโตขึ้นตามลำพัง ไร้การดูแลเอาใจใส่ ไม่มีเวลารดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย คงเหมือนกับชีวิตตัวเองกระมัง ที่ต้องมาอยู่กับเมือง มัวแต่ไขว่คว้าบางสิ่ง…
ภู เชียงดาว
สิ่งดี ๆ ในชีวิต พ่อค้าแวะมาหาคนสวนที่เขากำลังพักผ่อนอยู่ตรงหน้ากระท่อม “สวัสดีครับคนสวน” พ่อค้าทักทาย “ผมมีข้อเสนอดีๆ มาให้ คุณคงสนใจเป็นแน่” และเมื่อเห็นทีท่าเฉยเมยของคนสวน พ่อค้าก็เริ่มพูดธุระที่เขาคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนสวนจะต้องขยายพื้นที่ปลูกกุหลาบเพิ่มขึ้นและพ่อค้าจะเป็นคนเอาไปขายในเมือง “คนสวน ด้วยความชำนาญของคุณ กุหลาบของเราจะสวยงามที่สุดในเมือง” พ่อค้าสรุปด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง “ขอบคุณแต่เราไม่สนใจ” คนสวนตอบพร้อมยิ้มอย่างเคย “แต่คุณจะได้เงินเยอะ...” พ่อค้าว่า ท่าทางแปลกใจ “ผมไม่สนใจเงินทองหรอก” “ใครๆ ก็อยากได้เงินกันทั้งนั้น...” “แต่ไม่ใช่ผม…
ภู เชียงดาว
ความเรียบง่ายมีแรงดึงดูดที่ลี้ลับเพราะมันจะฉุดเราไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางที่คนส่วนใหญ่ในโลกไปกันไปจากการทำตัวให้เด่น ไปจากการสะสมไปจากการทะนงหลงตนและจากการเป็นเป้าสายตาของสาธารณะไปสู่ชีวิตสงบ อ่อนน้อมถ่อมตน กระจ่างใสยิ่งกว่าสิ่งใดๆที่วัฒนธรรมบริโภคอย่างฉาบฉวยรู้จักกัน.                                                        …
ภู เชียงดาว
ที่มาภาพ  www.salweennews.orgที่มาภาพ www.sarakadee.comที่มาภาพ www.salweennews.orgกอดกับความเย็นเยียบอยู่อย่างนั้น, กลางป่าเปลี่ยวอ้อมอกอันบอบบางของเธอมิเคยอบอุ่นอยู่กับความมืดดำในความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง, ชีวิตความตายเหมือนมิเคยแยกจางห่างกันเลยโอ. เด็กๆ  ตามแนวชายแดนยามใดหนาวฤดูลมแล้งแห้งโหมพัดเข้ามาสู่,หัวใจเธอนั้นเหมือนจักรับรู้รสสัมผัสชีวิตวิถีที่จำต้องระเหเร่ร่อนนั่น,คือสัญญาณความขัดแย้งอันเลวร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในหลืบเขารอการอุบัติเสียงแม่กระซิบบอกพวกเธอเบาๆเร็วเข้า,…
ภู เชียงดาว
  “การถอยออกไปจากสนามรบของชีวิตทำงานเงียบๆ ด้วยเป้าหมายที่สร้างสรรค์คือคำตอบหนึ่งต่อคำถามที่ว่าจะอยู่อย่างไรในสถานการณ์ที่ทุกอย่างกำลังพังทลาย”จากหนังสือ “ความเงียบ”จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปลผมไม่รู้ว่า สวนของผมนั้นกลายเป็นสวนผสมผสานตั้งแต่เมื่อไหร่...แต่ผมรู้ว่า พักหลังมานี่ เมื่อเดินทางกลับบ้านไปสวนทีไร ผมมักติดกล้าไม้เข้าไปในสวนเกือบทุกครั้ง ไม่อย่างก็สองอย่าง แวะซื้อมาจากกาดคำเที่ยง บ้างได้มาจากเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มอบให้มา พอไปถึง ก็ลงมือขุดหลุม เอาเศษฟางเศษหญ้าลงคลุกกับเนื้อดิน หย่อนต้นไม้ต้นเล็กลงไป กลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม หรือรอให้น้ำฟ้าหล่นรดให้ฉ่ำชื้นเอง…
ภู เชียงดาว
    “...เมื่อมนุษย์จมอยู่กับฝูงชนที่ขาดความเป็นมนุษย์ ถูกผลักไปมาอย่างอัตโนมัติไปตามแรงเหวี่ยง บุคคลนั้นก็สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่แท้ สูญเสียคุณธรรม หมดความสามารถที่จะรัก และศักยภาพที่จะกำหนดตนเอง เมื่อสังคมประกอบด้วยผู้คนที่ไม่รู้จักความวิเวกภายใน สังคมนั้นก็ไม่อาจรวมกันได้ด้วยความรัก แต่อยู่ได้ด้วยอำนาจครอบงำและความรุนแรง...” ถ้อยคำของ “โทมัส เมอร์ตัน” คัดมาจากหนังสือ “ความเงียบ” จอห์น เลน เขียน, สดใส ขันติวรพงศ์ แปล สวนบนเนินเขาเหนือหมู่บ้านเกิดของผม ตั้งอยู่ในเนื้อที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความกว้างและยาวราวสี่ห้าไร่…