ผมมองเห็นพลังในตัวผู้ชายคนนี้ ตั้งแต่เขาเปิดประตูลงจากรถ หลังจากเรายืนทักทายกัน เขาเอื้อมไปหยิบกล้องถ่ายรูปขนาดกะทัดรัดที่วางบนเบาะหน้ารถ มากดเก็บภาพหลายมุมรอบๆ สวนและบ้านปีกไม้ ในขณะที่ผมกำลังถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใบสักแห้งหล่นกองเต็มลานดินรอบโคนต้น ผมหอบใส่ตะกร้าไม้ไผ่ยัดๆ ไปเทไว้หลังบ้าน ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเก็บเศษใบไม้ใบหญ้าได้มากพอ จะทำปุ๋ยหมักเก็บไว้ พอหันไปมองเขาอีกที ผมเห็นเขาจัดแจงลงมือทำในสิ่งที่รักและชอบเรียบร้อยแล้ว เขานั่งหลบมุมอยู่ระหว่างโรงรถกับต้นตะขบที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ข้างกายเขามีอุปกรณ์เขียนรูป กระดาษ กระดาน จาน สีน้ำ พู่กัน น้ำ และผ้าผืนบาง วางอยู่บนเก้าอี้
เขาลงมือเขียนรูปอยู่เงียบๆ ลำพัง
ภาพแรกที่เขาเขียนสีน้ำในหุบผาแดงนั้น คือ ภาพที่อยู่เบื้องหน้า- -ชิงช้าแขวนบนกิ่งสักหน้าบ้านปีกไม้ ในวันเวลาที่ต้นสักใหญ่กำลังพร้อมใจกันทิ้งใบแห้งร่วงหล่นตามลานดิน แหละนั่น โต๊ะนักเรียนเก่าที่เพื่อนสาวนักเขียนคนหนึ่งยกให้ ตั้งวางโดดเดี่ยวตรงนั้น ถัดไปมองเห็นเล้าไก่มุงด้วยกระเบื้องโบราณที่พ่อผมสร้างไว้ให้นานหลายปีแล้ว และทอดยาวออกไปนั่นคือดอยผาแดงตั้งตระหง่าน หากดูหม่นเศร้าในแล้งฤดูเช่นนี้
ต้นสักทิ้งใบ
ความเศร้าร่วงหล่น
บนลานดินแล้ง
บทกวีแคนโต้เริ่มผุดขึ้นมาหัวสมองผมอีกครั้ง...
เขาเพิ่งเดินทางจากเมืองกรุง ขึ้นเหนือ เพื่อมาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ของ อา ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่สุสานสันกู่เหล็ก เชียงใหม่ หลังจากนั้น เขาจึงเดินทางมาเยือนหุบผาแดง
ผมเดินไปชงกาแฟ พร้อมกาน้ำชา ไปวางไว้ใกล้ๆ จานสีน้ำให้เขา ก่อนหลบออกมานั่งครุ่นคิดและลงมือทำงานให้ห้องเขียนหนังสือ เพราะผมรู้ว่างานเขียนหนังสือ หรืองานเขียนรูปนั้นส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับความเงียบและจำเป็นต้องใช้สมาธิมากเป็นอันดับต้นๆ
คงเหมือนกับที่ ‘กนกพงศ์ สงสมพันธุ์’ บอกเล่าไว้ใน บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร นั่นแหละว่า ‘สมาธิ’ คือกุญแจซึ่งจะไปไขความลี้ลับหลากหลายของชีวิต...วิธีการแห่งการเขียนที่สำคัญที่สุด คือ สมาธิ และคำตอบซึ่งค้นพบจากการเขียนนั่นเองที่มาเพิ่มพูน ‘สมาธิแห่งการมีชีวิตอยู่’ อีกชั้นหนึ่ง
ผมเชื่อเช่นนั้น นอกเสียจากว่า เขาเหล่านั้นจะชอบและชินชากับความอึกทึกของผู้คนและวัตถุมามากต่อมาก หรือเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้
นานๆ ครั้ง ผมได้ยินเขาฮึมฮัมคลอเพลงหวานเศร้าออกมา บางห้วงเวลาผมยินเสียงเขาพร่ำบ่นสนทนากับเจ้าข้าวก่ำ สุนัขแสนซนของผม ที่ชอบเดินป้วนเปี้ยนไปมาอยู่แถวนั้น หลายหนผมแอบชะเง้อไปดูเห็นเจ้าข้าวก่ำกำลังจ้องมองเขาระบัดสีน้ำบนแผ่นกระดาษด้วยสีหน้าฉงน คล้ายอยากจะถามไปว่า เอ...มนุษย์ตนนี้มันทำอะไรอยู่หนอ...
เมื่อเจ้าข้าวก่ำมันวุ่นหนักเข้า เขาก็ย้ายตัวเองมาหลบนั่งหน้าระเบียงไม้ไผ่ ลงมือเขียนรูปใหม่อีกฉากหนึ่ง
มองออกไปนอกระเบียง มองเห็นเทือกภูผาแดงตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ภูเขาหน้าแล้งมันงามและแปลกไปอีกแบบหนึ่ง ใบไม้แห้งกับใบไม้ผลินั้นตัดกันอย่างมีสีสัน แสงเงาจึงมีทั้งสีน้ำเงินสีดำของเหลี่ยมเขา และสีแดง เหลือง เขียวของต้นไม้ใบไม้ที่ขึ้นตามแผ่นดินหินผา
จากเช้ายันเย็น ผมเห็นเขาสนุกกับงานเขียนสีน้ำ แผ่นแล้วแผ่นเล่า...
จนดึกดึ่นค่อนคืน เขายังนั่งปั่นงานต้นฉบับเพื่อส่งให้หนังสือพิมพ์ในวันพรุ่ง
จนทำให้ผมได้แคนโต้หนึ่งบท...
ความเงียบ
ทำให้ชีวิตมีสมาธิ
พลังและแรงบันดาลใจ
ใช่,ผมยังคงมองเห็นพลังบางอย่างในตัวเขานั้นกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา
‘ความฝัน และพลังชีวิต’
เหมือนเขากำลังบอกผมว่า...เมื่อมีความฝัน อย่ารีรอ จงลงมือทำตามฝันให้มันเป็นจริง.