Skip to main content

 

   
 
                    
บ่ายนั้น, แสงแดดแผดแผ่เปลวร้อน- - เริงแรง 
ผู้คนตามแนวชายแดนนั้นยังคงใช้ชีวิต
ไปบนความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
ความหวังแห่งสันติแหว่งหาย
ความฝันอันสุขสดใสพลันมืดมัว
แม้กระทั่งความฝันของเธอ…
เด็กๆ ตามแนวชายแดน

นั่นเด็กน้อยชวนกันไปไต่บนสันดอย
เฝ้าเสาะค้นหากิ่งไม้โค้งยาวงอในป่า

 

คนตัวโตบอกเพื่อนๆ ว่า…

ไปเถิดเราไป ไปหากิ่งไม้มาทำปืน
วันนี้เราจะทำสงคราม...

เฮ้ !! เร็วเข้า…รีบแบ่งฝ่ายแบ่งค่ายแบ่งพวกกัน
ต่อไปนี้เราไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่มิตรใดใดทั้งสิ้น
ถูกต้อง, เรากลายเป็นคนแปลกหน้ากันและกัน
จงจำไว้…เราล้วนคือศัตรู
ที่จำต้องเข่นฆ่าทำลายล้าง,ชีวิต
เลือด บาดเจ็บ และการล้มตายเท่านั้นที่ต้องการ
เมื่อข้ายิง เอ็งต้องล้มตายทันที
ไม่มี- -ไม่มีหรอก ความสงสารในสงคราม
ปัง ปัง..!! เด็กน้อยคนหนึ่งถูกปืนไม้ยิง
ร่างร่วงล้มตายตาเหลือกค้าง
อีกฝ่ายหัวเราะร่าวิ่งรี่เอาหน่วยไม้สุกสีแดงมาทาใบหน้าลำตัว
จนกลายเป็นสีเลือดแดงทั่ว…มันตายแล้ว!!

โอ.โลกของเธอ โลกของเด็กน้อย
ในห้วงยามที่แสงแดดแผดเผาร้อนเริงแรง
พวกเธอต่างคิดฝันอยู่อย่างนั้น
ต่างฝันว่าโลกของเธอกำลังอยู่ในสงคราม
โลกของเรานั้นคือสงคราม!?
 
* * * * * * * * * * * * * * * * *
 
คุณหยิบบทกวีชิ้นนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง...เป็นบทกวีที่คุณเขียนไว้นานแล้วเมื่อครั้งยังเป็นครูดอยอยู่ริมตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ทำให้คุณเห็นความรุนแรงมันแทรกซึมไปทั่วทุกหนแห่ง ซอกซอนไปในชีวิตและหัวใจผู้คน แม้กระทั่งในหัวใจของเด็กๆ ของแผ่นดิน เด็กๆ ที่อาศัยอยู่บนดาวโลกของความเศร้าดวงนี้
 
ภาพผ่านลอยวนมาในห้วงคำนึง หลังเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งทางความคิดในเมืองไทย จนกลายเป็นสงครามของความรู้สึก จากข้างใน ประทุ ระอุ รุนแรง กระทั่งเป็นสงครามกลางเมือง ปิดล้อม ห้ำหั่น ทำร้ายกันและกัน แน่ละ ความสูญเสียจึงแผ่กระจายไปทั่วเหมือนไฟลามเมือง ลุกฮือขยายไปทั่วทุกหย่อมย่าน
 
ภาพนักข่าวไทยและต่างชาติถูกยิงล้มคว่ำ ภาพเด็กๆ เดินข้างถนนถูกยิงนอนตายบนฟุตบาท  ผู้หญิงเก็บขยะแน่นิ่งในกองขยะ หญิงชายอาสาสมัครพยาบาลถูกยิงจากมือแม่นปืน ฯลฯ เขาและเธอต่างถูกยิงและล้มลงจมกองเลือดและสมองเกลื่อนกระจายไหลนองไปตามพื้นถนน
 
คุณรู้สึกอึดอัดขัดข้อง และแอบร่ำไห้อยู่เงียบๆ ลำพัง และแล้วสงครามกลางเมืองต่างแดนที่ล้วนเป็นพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกันทำร้ายกัน ภาพเหล่านั้นคุณเคยรับรู้เคยนั่งดูผ่านจอโทรทัศน์แต่ตอนนี้กำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองของคุณ
ผืนดินของความสงบ ถูกกลบด้วยเลือดและหยาดน้ำตาเอ่อนองไปทุกตรอกซอกซอย
และน่าเศร้าที่ต่างฝ่ายก็โยนความผิดให้กันว่า คุณคือผู้ก่อการร้าย!
 
ในความมืด ในความเงียบ คุณเฝ้าถามตัวเองไปมาอย่างนั้น...ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงเลวร้ายและรุนแรงต่อกันอย่างนี้ หรือเป็นเพราะว่ามนุษย์นั้นกำเนิดมาพร้อมความบาป หรือแท้จริงมนุษย์นั้นแฝงไว้ด้วยความดิบและมีสัญชาติญาณของสัตว์เถื่อนอยู่ข้างใน ทำไมความคิดต่างทางการเมืองถึงกลับทำร้ายกันแบบนี้ หรือว่าการเมืองเป็นยาพิษ เป็นสิ่งชั่วร้าย
 
จริงสิ,ทำให้คุณนึกไปถึงประโยคหนึ่งของใครคนหนึ่งที่บอกว่า ‘เมื่อมนุษย์มีอำนาจก็จะกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย’
 
คุณรับรู้แล้วว่าสงครามในหลายๆ พื้นที่ ไม่ว่าตามแนวชายแดน หรือในเมืองใหญ่ นั้นไม่แตกต่างกันเลย และล้วนแฝงมาจากปมเงื่อนทางการเมืองทั้งสิ้น บ้านเมืองปั่นป่วน ด้วยอำนาจ หลง มืดดำและเสแสร้ง
 
บางคนถึงกับบอกว่า นี่คือเกม และประเทศคือของเล่นระดับสูง
บางคนบอกว่าไม่ใช่ของเล่น แต่นี่คือเลือด และมันคือสงคราม!
 
แน่นอน ทุกคนบอกว่าตอนนี้สงครามสงบลงแล้ว แต่คุณบอกว่า ยัง- -สงครามยังไม่จบง่ายๆ หรอก และนับจากนี้สังคมไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
 
คุณบอก- -รับรู้ได้ผ่านกระแสลมของความเปลี่ยนแปลง
 
คุณรู้สึกอย่างนั้น ว่าต่อแต่นี้ เรากำลังเจอกับสงครามอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือสงครามข้างใน ที่คุคั่ง อึดอัดและเอ่อท้น  เป็นสงครามของความซ่อนแฝงระหว่างชนชั้น สงครามของความหวาดระแวง สงครามของความคลางแคลงใจ สงครามของการไม่ไว้ใจ
 
แล้วจะมีหนทางใดบ้างเล่า เราถึงจะลบรอยร้าวนั้นไปได้!?
 
คุณถามและคุณบอกกับตัวเอง- - คุณยังมึนและเศร้ากับเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่พอรับรู้จากความรู้สึกว่านับจากนี้ สิ่งที่จะช่วยเยียวยาบาดแผลในหัวใจผู้คนนั้นได้ในสิ่งแรกนั้น คือ ‘หยุดใช้ความรุนแรง’ และเอาใบหน้าของ‘ความจริง’ นั้นคลี่เผยออกมา
 
แน่นอน ความรุนแรงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย มีแต่จะสูญเสียและล่มสลายบนซากปรักหักพังของชะตากรรม
 
แน่นอน สังคมจะต้องทวงถาม ค้นหาและเปิดเผย‘ความจริง’ ของสาเหตุของสงครามและความรุนแรงนั้นออกมาให้ได้เสียก่อน เพราะคุณเชื่อว่า ‘สัจจะ- -ความจริงแท้’ เท่านั้นจะทำให้เรามองเห็นหน้ากากของความลวง ใบหน้าอันจอมปลอมและเสแสร้ง หลังจากนั้นความโกหกมดเท็จจะเดินทางออกมาจากริมฝีปากอันเน่าเหม็นของพวกเขาเหล่านั้นได้
 
หากความจริงเปิดเผย ทุกฝ่ายยอมรับ คุณเชื่อว่าทุกคนจะหันมาเดินบน‘หนทางแห่งสันติ’ได้เหมือนเดิมอีกครั้ง อย่างที่หลายคนเชื่อว่า สังคมจะผ่านความรุนแรงและความขัดแย้งไปได้ ก็ต้องด้วยใจที่ใฝ่สันติ สันติที่เป็นทั้งวิธีการและเป็นทั้งเป้าหมาย แต่ก็นั่นแหละ คุณครุ่นคิดไปมา ยังรู้สึกหวั่นๆ วิตกแกมกังวลว่า ตราบใด ความจริงยังซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่ยอมเปิดเผยออกมาสู่ที่แจ้ง ตราบนั้น สงครามมันคงจะไม่จางหายไปง่ายๆ
 
บางทีมันอาจจะกลับมาปะทุอีกครั้ง เหมือนกับเกมสงครามของเด็กๆ
 
                       
หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสาร 'ผู้ไถ่' ฉบับ 83 พ.ค.-ส.ค.2553 

 

บล็อกของ ภู เชียงดาว

ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
   
ภู เชียงดาว
 
ภู เชียงดาว
  จู่ๆ คุณก็รู้สึกเหนื่อยเพลีย ข้างในเหมือนว่างโหวง ไม่สดชื่นรื่นรมย์เหมือนแต่ก่อน มือเท้าชา ร่างกายอ่อนแรง สมองมึนงง คิดโน่นลืมนี่อยู่อย่างนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่คุณก็หลีกหนีห่างจากเมืองอันสับสน ไกลจากผู้คนของความอึงอล มาอยู่ในหุบเขาสงบเงียบแบบนี้  
ภู เชียงดาว
  1.
ภู เชียงดาว
-1- หลังการเก็บเกี่ยวข้าว นวดข้าว ขนข้าวมาเก็บไว้ในหลอง(ยุ้งฉาง)ของชาวนา ไม่นาน ท้องทุ่งเบื้องล่างก็ดูเปิดโล่ง มองไปไกลๆ จะเห็นตอซังข้าว กับกองฟางสูงใหญ่กองอยู่ตรงนั้น ตรงโน้น กระนั้น ท้องทุ่งก็ไม่เคยหยุดนิ่ง มันมีชีวิต มีการเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เท่าที่เขาเฝ้าดู ในหน้าแล้ง หลังฤดูกาลเก็บเกี่ยว คนเลี้ยงวัวประจำหมู่บ้านคงมีความสุขกันถ้วนหน้า พวกเขารู้ดีว่าจะทำอย่างไงหลังจากชาวนาขนข้าวขึ้นหลองเสร็จเรียบร้อย คนเลี้ยงวัวจะรีบปล่อยฝูงวัวสีขาวสีแดงหลายสิบตัวลงไปในทุ่งโดยไม่ต้องบอกเจ้าของนา ไม่มีใครว่า ปล่อยให้มันเล็มยอดอ่อนจากตอซังข้าว บ้างก้มเคี้ยวเศษฟางข้าว…
ภู เชียงดาว
เกือบค่อนปีที่ข้าตัดสินใจหันหลังให้กับใบหน้าของเมืองใหญ่ มุดออกมาจากกล่องของความหยาบ แออัดและหมักหมม ถอยห่างออกมาจากความแปลก แยกออกมาจากความเปลี่ยน สลัดคราบมนุษย์เงินเดือน สลัดความเครียดที่สะสม สลัดทิ้งซึ่งพันธนาการ ตำแหน่ง หน้าที่การงาน และความโลภ ที่นับวันยิ่งพอกพูนสุมหัวใจข้า - - กระชาก ขว้างทิ้งมันไว้ตรงนั้น อา,ทุกอย่างช่างหน่วงหนักและเหน็ดหน่าย - -ย้อนถามตัวตน ข้าระเหระหนเดินทางมาไกลและแบกรับสัมภาระมากเกินไปแล้ว !