Skip to main content

    คราวก่อนผมเล่าเรื่อง MIT Hacks ที่ชาว MIT เล่นแผลงๆ แบบปัญญาชน เช่น ยกเอารถทั้งคันไปบนยอดโดมของ MIT สร้างระบบไฟเพื่อฉายเกมส์ tetris บนตึกสูงในแคมปัส เป็นต้น การเล่นแผลงๆ เหล่านี้ ไม่ใช่การเล่นเฉยๆ แต่สะท้อนให้เห็นความสามารถชั้นสูงในการใช้ความรู้อันก้าวหน้าของพวกเขามาประยุกต์เพื่อแสวงหาความเป็นไปได้และสร้างอารมณ์ขัน

     จะว่าไป ชีวิตเหล่านักวิชาการก็มักจะถูกมองว่าเป็นหนอนตำรา (nerd) ที่ไม่เข้าใจโลก คร่ำเคร่งแต่กับการอ่านหนังสือ เขียนบทความหรือตำรา และซื่อบื้อ

 

     ในทางตรงกันข้าม MIT Hacks กลับสะท้อนอารมณ์ที่ต่างไปจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ผมเป็นนักวิชาการอาคันตุกะอยู่มากทีเดียว สถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยก็สะท้อนความรู้สึกนี้ โดยเฉพาะงานออกแบบชิ้นสำคัญ ของ I.M. Pei หรือ Frank Gehry คนแรกนั้นผมค่อนข้างคุ้นตา เพราะเคยอาศัยในตึกที่ Pei ออกแบบมาหลายปีสมัยเรียนที่ University of Hawaii แต่ผลงานคนหลังนี่ ผมเพิ่งมีโอกาสเห็นก็คราวนี้ อาคารที่ Gehry ออกแบบเป็นอาคารที่ดูบิดเบี้ยวเหมือนไม่ใช่อาคาร มีส่วนที่ยื่น ส่วนที่เว้า ผิดแปลกไปจากอาคารทั่วไปที่มีลักษณะเป็นกล่อง การใช้วัสดุและสีสัน ยิ่งทำให้อาคารกลายเป็นประติมากรรมในตัวของมันเอง การปรับโครงสร้างของสถาปัตยกรรมแบบกล่องให้มีความซับซ้อนและเปลี่ยน concept ของการรับรู้ของคนเราเรื่องตึกอาคารจึงเป็นจุดเด่นสำคัญของ Gehry

 

     นอกจากนี้ การคร่ำเคร่งกับประเด็นทางสังคมอื่นๆ ก็สะท้อนออกมาในบทบาทหลายอย่าง เช่น การพูดถึงสิทธิและความเสมอภาคผ่านนิทรรศการย่อยที่จัดเป็นครั้งคราว รวมไปถึงการจัดกิจกรรมทางวิชาการอื่นๆ  แต่ในอีกด้าน MIT ก็มีด้านที่สื่อสะท้อนว่าชีวิตนักวิชาการไม่ได้คร่ำเคร่งเสมอไป ดังเช่นการแสดงอารมณ์ขันและเรียกเสียงหัวเราะ พร้อมๆ กับให้คนฉุกคิด เป็นครั้งคราวผ่านการทำ MIT Hacks กระทั่งศาสตราจารย์คนสำคัญของ MIT ก็ยอมร่วมกิจกรรมเต้นกังนัมสไตล์ใน MIT version ที่ผมพูดถึงเมื่อครั้งก่อน

 

     อีกด้านหนึ่ง ต้องบอกว่าความรู้และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ผมได้ยินมา ก็มาจากอาจารย์ ดร. อภิวัฒน์ รัตนวราหะ แห่งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ศิษย์เก่า MIT ช่วยเล่าเกี่ยวกับ MIT ว่าพยายามเป็นมหาวิทยาลัยที่พยายามนำเอาองค์ความรู้มาปฏิบัติได้จริง และทำงานวิจัยในระดับ cutting edge หรืออยู่แนวหน้าสุดของวงการ ดังจะเห็นได้จากหนังสือที่ผลิตออกมาจาก MIT Press ล้วนแล้วแต่น่าอ่านน่าสนใจและข้ามสาขาอย่างมาก กระทั่งมากในระดับที่ต้องเป็นคนในวงแคบๆ เท่านั้นถึงจะเข้าใจ แต่ MIT Press ก็พิมพ์ผลงานเหล่านั้นออกมา แถมยังลดแลกแจกแถมในยามฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งบรรดานักวิชาการไทยที่มาอยู่ที่ฮาร์วาร์ดต้องแบกกลับบ้านคนละหลายกิโลกรัม

 

     อาจารย์อภิวัฒน์ สมเป็นศิษย์เก่า MIT เพราะเป็นคนรอบรู้และมองข้ามวิทยาการได้หลายมุมมอง แถมยังพาผมไปชม Media Lab ของ MIT ซึ่งตื่นตาตื่นใจมากๆ เพราะเป็นตึกวิจัยที่เปิดให้คนทั่วไปเดินเข้าไปในตัวอาคาร และจะเห็นกลุ่มวิจัยต่างๆ ทำงานกันให้เห็น เพราะผนังของ Media Lab เป็นกระจกใส มองทะลุไปเห็นนักวิจัยกำลังทำงาน เล่น หรือค้นคว้ากันตามประสา 

 

     แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจผมในหลายๆ เรื่อง แต่การได้เห็นนักวิจัยทำงานใน Lab และพยายามคิดค้นอะไรใหม่ๆ ที่เอาไปใช้ได้ ไม่เพียงแต่จุดประกายความสนใจของคนที่ได้พบเห็น แต่ยังสะท้อนคุณค่าบางประการที่ MIT พยายามหล่อหลอมนักศึกษา เช่น การวิจัยควรจะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้ ทำนองเดียวกันกับอาคารรัฐสภา หรือ Reichtag ของเยอรมันนี ที่ประชาชนสามารถเดินอยู่เหนือห้องประชุมของผู้แทนราษฎร เพื่อสังเกตุการประชุมได้โดยไม่มีอะไรปิดบัง และงานวิจัยจะต้องเป็นประโยชน์และสื่อสารกับสังคมไปพร้อมๆ กัน

 

     ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยของอเมริกามีบาดแผลที่ยากจะลบในเรื่องการสร้างอาวุธและรับงบประมาณจากกระทรวงกลาโหมเพื่อทำวิจัยสนับสนุนการทหาร หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นการรับเงินที่จะไปช่วยรัฐบาลรบราฆ่าฟันเอาชีวิตคนมากกว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ความรู้เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ 

 

      แต่หลายคนก็โต้แย้งอีกเหมือนกันว่า การที่มหาวิทยาลัยรับใช้รัฐบาลนั้นก็สมควร โดยเฉพาะในมิติเรื่องความมั่นคง 

 

     เหตุผลฝ่ายหลังดูจะถูกมองว่าเป็นการแถไปข้างๆ คูๆ เนื่องด้วยมหาวิทยาลัยไม่จำเป็นต้องสร้างเครื่องจักรสังหาร เพราะมีบริษัทภาคเอกชนรับงานทำนองนี้อยู่แล้ว ดังในหนังเรื่อง Citizen Four ที่พูดถึงเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) ที่เป็นวิศวกรโครงสร้างของระบบคอมพิวเตอร์และทำงานให้บริษัทเอกชนที่รับจ้างรัฐบาลอีกทอดหนึ่งเพื่อสอดแนมประชาชน จนเขามองว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐที่ไม่ถูกต้อง และละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน จนสโนว์เดนทนไม่ไหวออกมาเปิดโปงรัฐบาลสหรัฐว่ากำลังร่วมมือกับบริษัทที่ให้บริการด้านอินเตอร์เน็ตต่างๆ ทำการสอดแนมประชาชนในนามความมั่นคงในสเกล (scale) ระดับอภิมหาศาล

 

    ในที่สุด เรื่องของมหาวิทยาลัยก็ต้องกลับมาพิจารณาบนฐานของสังคมว่า มหาวิทยาลัยพึงมีบทบาทอย่างไร ซึ่งผมเห็นว่าปรัชญาของมหาวิทยาลัยไทยออกจะมั่วๆ และมีความเป็นนามธรรมสูงมาก บางทีก็ใส่ความทะเยอทะยานแบบไม่สามารถบรรลุได้แม้ในชาตินี้และชาติหน้าเอาไว้ หากจะเข้าใจเรื่องนี้ลองเอา mission statement ของมหาวิทยาลัยไทยมาอ่านดูว่ามหาวิทยาลัยต้องการทำอะไรเพื่อความก้าวหน้าของสังคมไทย มีประโยชน์ด้านใดแก่ประชาชนไทยและสังคมโลก 

 

บล็อกของ บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ

บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ตรุษจีนปีนี้ผมไม่ได้กลับบ้าน คงอยู่เงียบๆ เหมือนเคย แต่บรรยากาศของตรุษจีนของชาวจีนโพ้นทะเลไม่ว่าที่ไหนๆ ก็จะต้องมีเสียงของเติ้งน้อยเป็นเพลงประกอบราวกับเพลงบังคับของเทศกาล อดไม่ได้ที่จะหวนคิดถึงความเก่าความหลังที่ชีวิตวกวนพาไปเดินเล่นไกลถึงนิวยอร์ค
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมเคยเขียนงานชุด จริยธรรมของการพบพาน (The Ethics of Encounter) เอาไว้เมื่อหลายปีก่อน เพื่อนำเสนอสิ่งที่เป็นไปได้ในสถานการณ์ของการเชิญหน้า ว่าในการปะทะสังสรรค์กันของมนุษย์กับคนแปลกหน้าย่อมเกิดภาวะพิเศษ ซึ่งอาจนำไปสู่สงครามหรือสันติภาพก็ได้ หลายปีมานี้ผมพบว่าปัญหาหนึ่งของสังคมไทยก็คือการปะทะกั
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
v\:* {behavior:url(#default#VML);} o\:* {behavior:url(#default#VML);} w\:* {behavior:url(#default#VML);} .shape {behavior:url(#default#VML);}
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ
ผมได้รับชวนจากมิตรสหายท่านหนึ่งให้เข้ามาเขียนบล็อกที่นี่ หลังจากไปโพสต์ต่อท้ายข่าวซุปเปอร์แมนลาออกจากเดลี่เทเลกราฟไปเขียนบล็อก ผมบ่นไปทำนองว่า อยากออกไปทำงานอย่างอื่นบ้าง มิตรสหายท่านนั้นเลยยื่นข้อเสนอที่ยากปฏิเสธ เพราะผมอ่านข่าวในประชาไทอยู่นานแล้ว ก็อยากมีส่วนร่วมด้วย ประการหนึ่ง