Skip to main content

พันธกุมภา


ถึง มีนา


เมื่อได้ยิน......


ทำไมคุณโง่แบบนี้”

งานชุ่ยๆ แบบนี้เหรอที่ทำเต็มที่แล้ว”

มีหัวไว้ใส่หมวกเปล่าๆ”


สารพัดมากมาย คำด่าทอที่เรามักไม่ชอบ – ในที่นี้ก็มีผมอยู่ด้วยแหละครับ เวลาที่มีใครมาต่อว่า มานินทาในทางร้ายๆ แล้วมักจะต้องเดือดร้อนเป็นฝืนเป็นไฟอยู่เสมอ อืม...คิดในใจ นี่ไม่ใช่ตัวเรา เราไม่ได้เป็นคนแบบนั้น เราไม่ใช่คนอย่างที่เขาว่านะ.....


ขณะที่คำชม อาทิ

คุณทำงานเก่งจัง”

ทำได้แค่นี้ สุดยอดเลยทีเดียว ยอดเยี่ยมมากๆ๐

คิดได้แค่นี้ ก็เจ๋งเลย”


คำพูดชื่นชม เยินยอในทางบวกเหล่านี้ หลายคนไม่ปฏิเสธ หรือไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเหมือนคำพูดร้ายๆ หรือลบๆ แต่กลับมองว่าใช่ๆ ตัวฉันนี่แหละ ที่เป็นแบบนี้ นี่เลยคือตัวฉัน มันคือสิ่งที่ฉันเป็น.....


พี่มีนาครับ....ผมว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ที่หลายคนจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองผิด หรือยินยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำดี ทั้งนี้เพราะเราถูกสอนมานมนานว่า เราควรจะทำดี เป็นคนดี ทำอะไรให้ได้รับคำชื่นชม ยินดี ซึ่งการสอนสั่งเช่นนี้เอง เป็นการทำให้เราคุ้นชินกับการพูดถึงในทางบวกมากกว่าทางลบ


ยิ่งนักปฏิบัติหลายคนที่ได้ลอง “ดูจิต” ของตนนั้น บางคนถึงกับไม่ยอมรับในความคิดร้ายๆ ของตนเลยก็มี เช่น บางคนโกรธ ก็บอกว่าฉันไม่ได้โกรธ บางคนโมโห ก็บอกว่าไม่ใช่ฉันที่โมโห ขณะที่พอเห็นจิตที่ดีใจ มีความสุข ก็คิดว่านี่แหละคือตัวคือตนจริงๆ ของตน


อันที่จริงแล้ว ความคิดของคนนั้นมีหลายแบบ ทั้งดีและไม่ดี การที่คนภาวนากันมากๆ โดยเน้นเรื่องการดูจิตนั้นก็เพื่อให้เรา “เห็น” ความคิด เห็นจิตใจ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าดีหรือไม่ดี


การวิปัสสนาคือการดูตามความเป็นจริง เป็นการรู้ เห็นซื่อๆ ไม่ปรุงแต่ง มองด้วยความเป็นกลาง นั่นคือมีอุเบกขาเกิดขึ้นในจิต และมองความคิดทั้งที่ดีไม่ดี สุขหรือทุกข์ โมโหหรือดีใจ โกรธหรือเมตตา ด้วยความเป็นกลางวางเฉย ไม่ปรุงแต่งใดๆ


การที่เราตามรู้ ตามเห็นไปเรื่อยๆ โดยเริ่มต้นจากการดูกาย หรือดูใจของตนนั้น สามารถทำได้ง่ายมาก คือ เราลองทำตัวเองเป็น “ผู้ดู” มากกว่าเป็น “ผู้เล่น” นั่นคือ เมื่อเราโกรธ เราก็เพียงรู้ว่าเราโกรธ เมื่อเราโมโหเราก็เพียงรู้ว่าเราโมโห หรือเมื่อเราดีใจก็เพียงรู้ว่าดีใจ เมื่อเราสุขใจก็เพียงรู้ว่าสุขใจ หลักการง่ายๆ คือ เมื่อเกิดความคิด อารมณ์แบบไหน ก็เพียงแค่ “รู้” “ดู” “เห็น” ด้วยใจอันเป็นกลาง


เมื่อเราตามรู้ ตามดูไปเรื่อยๆ เราก็ทำแบบทั้งที่เป็นทางการเช่นนั่งภาวนา หรือ ทำในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อมีคนมาว่าเราว่า “โง่” แล้วเราโกรธ นั้นเราเพียงแต่รู้ว่ากำลังโกรธ และอาจพิจารณาดูว่า ความโกรธนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปนั้น เราได้เห็นไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยงของจิต


การที่เราได้ “รู้” ทันความคิดนั้น ก็คือ การที่เรามีสติ พอเรามีสติไปรู้อารมณ์ต่างๆ แล้ว อารมณ์นั้นๆ จะตั้งอยู่และดับลง หากในทางกลับกันเมื่อเรา “หนี” อารมณ์ “โกรธ” โดยการคิดเอาว่า “ฉันไม่โกรธ” “ฉันเบิกบาน” โดยที่ไม่ได้ตามรู้ พิจารณาดูอารมณ์นั้นๆ มันก็อาจทำให้อารมณ์นั้นหายไปได้


แต่อารมณ์นั้นมันจะหายไปไหนหละ นอกจากส่วนลึกของจิต หรือในจิตใต้สำนึก และมันก็เป็นการกดทับอารมณ์ต่างๆ ในส่วนลึกไว้ จนวันหนึ่งอาจระเบิดออกมาได้ อาจทำให้เราฟุ้งซ่าน มากกว่าเดิม


เหมือนดังที่พระอาจารย์ ปราโมทย์ ปราโมชโช ที่กล่าวว่า “มองโลกในแง่ดีมีความสุข มองโลกตามความเป็นจริงพ้นทุกข์” – ซึ่งสำหรับคำกล่าวนี้ผมระลึกว่าเป็นสิ่งที่น่าจะน้อมนำมาสู่การพิจารณาในการดำเนินชีวิตของเราประจำวันว่าเรามีความคิด รู้สึกอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับจิตเราบ้าง


ซึ่งในที่นี้ขอย้ำว่า การ “รู้” ไม่ใช่การ “เพ่ง” ไม่ใช่การ “คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะรู้” แต่เป็นการรู้หลังที่เกิดอารมณ์ต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งผมเองก็ได้ทำแบบเล่นๆ ตามดูไปเรื่อยๆ จิตจะเป็นยังไงก็ปล่อยเขา พอมีคนมาด่าก็รู้ว่าถูกด่า โมโหก็เพียงรู้ว่าโมโห พอจะหนีอาการโมโหไปร้องเพลงให้สำราญใจก็รู้ว่ากำลังหนี หรืออยากนั่งสมาธิกดอารมณ์นี้ไว้ ก็รู้ว่ากำลังจะทำสมาธิ ทำสมถะ เพียงแค่รู้ตัวเดียวครับผมว่านี่คือสิ่งสำคัญจริงๆ


หลายคนที่ยังรู้สึกว่าทำไมต้องรู้ รู้แล้วจะหายจริงหรือ หรือรู้แล้วจะเป็นอย่างที่ผมได้บอกไว้หรือไม่นั้น ผมก็ไม่รู้นะครับ เพราะผมกับคนอื่นๆ ต่างกัน ดังนั้น ใครที่ได้ดูจิต ได้ตามรู้ ตามดูอารมณ์ต่างๆ ในแต่ละวันเป็นอย่างไรก็ลองทำไปเรื่อยๆ ทำเล่นๆ ทำสบายๆ ผ่อนคลายๆ


ทำเป็นปริมาณสะสมไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเมื่อจิตเราพลิก จิตจะพลิกเองโดยที่เราเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าจิตพลิกเป็นจิตที่มีคุณภาพ เป็นจิตที่ตื่นรู้นั้นเป็นอย่างไร.....และตัวตนในตนเองนั้นจะเป็นอย่างไร?

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก