Skip to main content

มีนา

 

 

ถึง พันธกุมภา

 

พี่กำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ... ฉันกำลังจะเป็นคนตกงานค่ะ

เดือนสิงหาคมนี้เป็นเดือนสุดท้ายสำหรับการทำงานอย่างเป็นทางการของฉัน

 

ญาติพี่น้อง... เจ้านาย... เพื่อนร่วมงาน... เพื่อน... ต่างเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าพี่จะว่าง กลัวว่าฉันจะไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ตอนที่ฉันทำงาน พวกเขาต่างให้ความห่วง ความกังวล ว่าฉันทำงานหนักเกินไป

 

คนและสังคมสมัยนี้ให้คุณค่ากับการทำงานมากกว่าคุณค่าของความว่างงาน พี่เคยมีประสบการณ์การตกงานมาก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนั้นพี่ยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องการว่างงานได้ แต่ครั้งนี้ พี่พยายามปล่อยวางเรื่องการงานในปัจจุบันเพื่อพบกับความว่าง

 

หลายเดือนที่ผ่านมานี้ พี่ทำงานแทบไม่มีวันหยุด สภาพการใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพมหานครเต็มไปด้วยภาระการงาน การทำงานอยู่ในสำนักงาน 8 ชั่วโมงการทำงาน เดินทางไม่ต่ำกว่าวันละ 2-3 ชั่วโมง คนที่อยู่ในเมืองนี้มีชีวิตเพื่องานและความไม่ว่างอย่างแท้จริง เพราะแม้แต่การนั่งรถและเดินทางก็ยังต้องโทรศัพท์เพื่อติดต่องาน ทำงานนอกเหนือเวลาที่อยู่ในสำนักงานอีกด้วย

นี่ยังไม่นับการต้องเปิดโทรศัพท์มือถืทอไว้ตลอด 24 ชั่วโมง เผื่อว่าจะมีใครต้องการโทร ต้องการคุย ต้องการติดต่องาน เหตุฉุกเฉินต่างๆ ของงาน ของครอบครัว ของเพื่อน... ที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ แม้เวลาจะหลับก็ยังไม่ว่าง

 

เคยมีนักมานุษยวิทยาทำงานวิจัยเกี่ยวกับชนเผ่าเร่ร่อนกลุ่มสุดท้าย ที่ยังดำเนินชีวิตแบบเก็บของป่า ล่าสัตว์ (hunting-gathering) และย้ายถิ่นตามฤดูกาล เขาได้ถ่ายทำเป็นสารคดีก่อนที่ชนเผ่ากลุ่มนี้จะต้องยอมจำนนเข้ามาอยู่ในนิคมชนเผ่า ก่อนที่อาฟริกาจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายป่าไม้ที่ดินและการปกครองไปเป็นแบบ “ประชาธิปไตย”

 

เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของชนเผ่าเร่ร่อน เขาทำงานโดยเฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง เพื่อหาอาหารและเก็บไว้กินด้วยวิธีถนอมอาหารต่างๆ ส่วนคนในเมืองทำงานวันละ 8-16 หรืออาจจะ 20 ชั่วโมง เพื่อหวังว่าจะ “สบาย” ตอนบั้นปลายของชีวิต

 

พี่เห็นชีวิตของคนที่ต้องดิ้นรนมาชั่วชีวิตเพื่อความร่ำรวย มั่งคั่ง และพักผ่อนในช่วงบั้นปลายของชีวิต จะมีสักกี่คนที่สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรือถ้ามีจริง สิ่งที่ยังอยู่กับเราก็คือผลจากการทำงานหนัก คือ โรค ความป่วย ความเจ็บไข้ ที่เราไม่อยากมี แต่มันอยู่กับเราตลอดเวลา

 

เมื่อ 3-4 ปีก่อน ผู้ใหญ่ที่รู้จัก อาจารย์ที่นับถือหลายท่านต้องป่วยและเสียชีวิต ด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก หัวใจ และมะเร็ง

 

โรค... ที่หาสาเหตุไม่ได้ นอกจากความเครียด

 

ความเครียดมาจากความว่างหรืองาน พี่อาจจะเข้าข้างตัวเองว่า สิ่งนี้อาจจะต้องตอบเอาเอง เพราะแต่ละคนล้วนมีเงื่อนไขและปัจจัยที่แตกต่าง แต่กรณีหนึ่งที่พี่สงสัยอยู่เสมอ คือผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เห็น ท่านเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงมาก หน้าที่การงานถือว่าอยู่ในตำแหน่งสูงสุดตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 ปี ได้รับความนับถือมากจากสังคมทั่วไป ครอบครัวก็อบอุ่น มีความสุข เป็นพ่อและสามีที่สุดประเสริฐ

 

เมื่อข่าวของท่านมาถึง พี่และเพื่อนๆ ต่างตกใจ ว่าเหตุใดหนอ ท่านจึงเส้นเลือดในสมองแตกได้ ดูท่านไม่น่าจะมีความเครียดใดๆ ในชีวิต เพราะในความเป็นมนุษย์หรือจะบอกว่าความสุขทางโลกทั้งหมด ท่านต่างมีครบ สมบูรณ์ทุกๆ อย่างที่มนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาแล้วพึงจะได้

 

พี่ได้แต่ไปเยี่ยมท่าน และพบกับสายตาที่ไม่ยอมให้ใครมาเห็นท่านในสภาพที่อ่อนแอมากที่สุด พี่เห็นว่า มนุษย์จะประสบความสำเร็จในทางโลกมากแค่ไหนก็ตาม ยังมีทุกข์ ทุกข์ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นเพราะมีความสำเร็จในชีวิตทุกๆ อย่าง มีคนห้อมล้อม เป็นที่นับถือของสังคม แต่ทุกข์เพราะต้องรักษามาตรฐานความดี มาตรฐานความสุข มาตรฐานแห่งความสำเร็จของงาน ครอบครัว และสังคมเอาไว้

 

ทุกข์ที่ไม่สามารถปล่อยวางได้

 

สิ่งที่เกิดกับท่านยังเป็นสิ่งสอนใจพี่เสมอมา เมื่อใดที่ความทะเยอทะยานเดินทางมาถึง พี่จะนึกถึงท่านผู้นี้ตลอด ท่านเปรียบเสมือนครู ที่ทำให้เราเห็นธรรม โดยที่ไม่ต้องพูด

 

มาถึงตรงนี้ พี่อยากจะบอกกับพันธกุมภาว่า... ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงาน การว่างงาน หรือไม่มีเงินใช้ พี่ได้วางแผนไว้ระดับหนึ่งว่า น่าจะได้พักกาย พักจิตสักระยะ เพื่อที่จะได้หันกลับมารักตัวเองอย่างถูกที่ถูกทาง ด้วยการอยู่กับตัวเอง เงียบๆ ปล่อยวางในสิ่งที่ตัวเองอยากมากที่สุดคือ การประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

 

การว่างงานครั้งนี้ พี่อยากให้ชีวิตแบบว่างจริงๆ เพราะการว่างงานครั้งก่อน ก็มีคนมาขอให้ช่วยทำอะไรมากมาย จนกลายเป็นคนว่างที่ไม่ว่าง และเป็นงานที่ไม่ได้เงิน แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไร ครั้งนี้พี่หวังว่าจะเป็นความว่างที่ได้พักกายและจิต เพื่อรู้จักตัวเองมากขึ้น เผื่อว่าความสงบนิ่งจะช่วยให้เกิดปัญญาภายในได้บ้าง

 

ตอนนี้เมื่อคิดถึงผู้ใหญ่หรือครูของความสำเร็จของพี่ท่านนี้ พี่ระลึกเสมอว่า นอกจากงานแล้ว เรายังมีเรื่องร่างกายที่ต้องดูแล เมื่อไม่ป่วยก็ลดความทุกข์ไปได้อย่างหนึ่ง เมื่อรู้จักตนเองก็ลดความทุกข์ได้อีกแบบหนึ่ง

 

คนรุ่นเราโชคดีที่ได้รู้จักความต้องการของตนเอง คนรุ่นก่อนๆ อย่างพ่อ แม่ ป้า น้า ของพี่ โดยเฉพาะผู้หญิงอายุมากๆ หน่อยที่ทำทุกสิ่งเพื่อครอบครัวมาตลอด มักไม่รู้จักแม้กระทั่งความต้องการของตนเอง หรือคนบ้างานที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่า จริงๆ แล้วทำงานไปเพื่ออะไร เมื่อว่างงานแล้วจะทำอะไร ทำให้ไม่เห็นคุณค่าของความว่างทั้งทางโลกและทางธรรม

 

พี่อาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับคนหลายคน เพราะเห็นว่าต่อไปพี่จะเป็นคนขี้เกียจ ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้สร้างความทะเยอทะยานสู่ความสำเร็จอีกต่อไป ... เพราะตอนนี้พี่ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ให้คิดยังคิดไม่ออก

 

เอาเป็นว่าขอพักก่อนนะ ... เดี๋ยวนึง


บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์