Skip to main content

 

เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก


สำหรับ คนที่ผมรัก “ฟ้า” เธอเป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก เราเจอกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เราไปทำกิจกรรม ซึ่ง ณ เวลานั้นเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากไปกว่าการได้นั่งคุยกัน โดยฟ้านั่งทานข้าวกับผม สิ่งที่แปลกใจมากคือ เธอกินมังสวิรัติ ซึ่งมันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมกันนะ หญิงสาวหน้าตาดี สุภาพเรียบร้อยคนนี้จึงได้ปฏิบัติตัวได้น่าศรัทธาเพียงนี้ และมันทำให้เราได้คุยกัน จนทำให้ผมว่าตั้งแต่เด็กจนโตเธอมีโอกาสได้เข้าวัดฟังธรรมอยู่บ่อยๆ จนฝังมาเป็นนิสัยประจำตัวจนถึงทุกวันนี้

เราคุยกันและแลกเปลี่ยนเบอร์กัน แรกๆ ผมปลื้มและแอบชอบเธอมาก แม้ว่าผมจะเคยมีแฟนมาแล้ว แต่สำหรับฟ้าแล้ว ผมรู้สึกศรัทธาและปลื้มมากๆ แม้ว่าเราสองคนจะมีอายุห่างกันมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเราสองคน เพราะธรรมะที่เราพูดคุยกันนั้น เป็นเรื่องชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เอาอายุมาเป็นข้อจำกัด เราจึงคุยกันด้วยความเข้าใจ และเอื้ออาทรต่อกันและกันเสมอมา

ความใกล้ชิดค่อยๆ เพิ่มพูนความสัมพันธ์ของเราให้ลึกซึ้งมากขึ้น ดั่งต้นไม้ต้นน้อยๆ ที่ค่อยปลูกลงไปในผืนดินที่เติบโตอย่างช้าๆ มีรากที่เข้มแข็ง ยึดแน่นไม่ไหวหวั่นต่อลมฟ้าฝนหนาวร้อน เราอยู่เคียงข้างกันเสมอแม้ว่าใครจะสุขจะทุกข์จะเสียใจดีใจ เราเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นคนรู้จัก เป็นกัลยาณมิตร ที่ดีต่อกัน ซึ่งมันทำให้ผมมั่นใจว่าความรู้สึกของผมนั้นมันเริ่มตกผลึกก่อเกิดกลายเป็นความรัก ความผูกพัน จนทำให้เรามีความเข้าใจกันมาโดยตลอด แม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันด้วยความจริงที่เราสื่อสารกันด้วยความจริงใจ ให้เกียรติ ให้โอกาส รับฟังกันอย่างตั้งใจ และคุยกันด้วยไมตรีรักมาเสมอ เป็นปุ๋ยอย่างดีที่เพาะต้นรักของเราอย่างนุ่มนวม ซึ่งบางครั้งเราจะเจ็บปวดกับสิ่งที่พบ เจอกับความผิดหวังอย่างไม่ได้ตั้งใจ เจอกับความสุขที่เบิกบาน แต่เราก็เชื่อว่ามันคือความจริงที่งดงามของชีวิต ที่เราร่วมเดินไปพบเจอด้วยกัน 

ผมยังจำได้ดี ว่าในช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมกับฟ้าพาไปวัด แถวๆ เกาะสีชัง และเราใช้ชีวิต “ดูจิต” สนทนาธรรมและดื่มด่ำบรรยากาศอบอุ่นจากไอทะเล ทำกับข้าวกินกันริมชายฝั่ง นั่งนับดาวยามราตรี มีเวลาก็ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวรอบเกาะ หาซื้อเงาะ ซื้อทุเรียนมานั่งกิน รินน้ำเปล่าชนกัน คุยเรื่องความฝันร่วมกันมากมาย ที่จริง ผมก็ไม่ได้คิดว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ผมมีความสุขล้นเปี่ยมในปัจจุบัน และรู้สึกอิ่มตัว อิ่มใจ และไม่อยากจะหาใครมาในชีวิตอีกแล้ว เพราะฟ้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของผมตอนนี้ คือเข้าทำนองว่าพอมาเจอเธอผมก็อยากจะหยุดไว้ตรงนี้ 

เราสองคนมีความเหมือนกันคือ เราเป็นคนที่สนใจในธรรม และปฏิบัติธรรมเหมือนกัน แถมยังช่วยเกื้อกูลกันดูจิต แลกเปลี่ยนธรรมะ ทุกๆ วัน นี่จึงเป็นความดีนิดน้อยที่เรามีเสมอกัน ผมจำได้ว่าแต่ละวันที่เราได้คุยกัน เราจะถามกันเสมอว่า “วันนี้ทุกข์กัดบ้างไหม” และแลกเปลี่ยนกันว่า “ดูจิต” เป็นอย่างไรบ้าง อารมณ์เป็นอย่างไร ความคิดเป็นอย่างไร และช่วยแนะนำกัน แต่นอกจากนี้เราก็คุยกันตามประสาคนหนุ่มสาวทั่วไปที่มีทั้งเรื่องที่บางครั้งไม่เข้าใจกันบ้าง ทะเลาะกัน หึง หวง น้อยใจ รำคาญ หงุดหงิด ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ผมดีใจที่เราสองคนพูดคุยกันดูความกรุณา และเวลาที่เธอ “ร้อน” ผมก็จะใช้ “เย็น” คอยโอบอุ้มการสนทนา ทำให้เธอเย็นลงและได้สติคุยกันมากขึ้น

มีครั้งหนึ่งตอนที่ต่างฝ่ายต่าง “ร้อน” ใส่กัน จนงอนกันไปทั้งคู่ แล้วเราก็ตัดสินใจว่าจะไม่คุยกันสักสองสามวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่ถึงค่อนวัน ผมก็โทรศัพท์ไปหา และเธอก็รับ เมื่อทั้งผมและเธอใจเย็นลง เราก็เริ่มคุยกัน สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ก็แนะนำกันว่ามีอะไรที่ทำแล้วสบายใจ หรือทำแล้วไม่สบายใจ อะไรที่ไม่ชอบให้ทำ อะไรที่ชอบให้ทำ

และช่วงหลังๆ ที่เรารักกันมากขึ้น เราก็ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายธรรมะ ความเมตตา กรุณา ก็โอบอุ้มให้ใจของเราดีขึ้น และปรับความเข้าใจกันในทุกสุด มันทำให้ผมพบว่าการได้คุยกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างมีเมตตากรุณาต่อกันทำให้เราผูกพันและเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้ผมมีความสุขกับความรักมากมาย แต่อนาคตผมไม่มั่นใจเท่าไหร่นักเพราะ “เหตุ” “ปัจจัย” มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเราสองคนไปได้ พอพูดถึงเหตุปัจจัยนี้ ก็คิดมาได้ว่า เราสองคนตั้งใจว่า “จะรักกันให้ดีที่สุด”และจะไม่สร้าง “เงื่อนไข” ให้เกิด “ปัจจัย” อันนำไปสู่ “เหตุ” ให้ได้เลิกร้างลากันไป บางครั้งเมื่อมีผู้หญิงเข้ามาคุยกับผมเพื่อขอคบด้วย ผมก็ไม่สร้างเงื่อนไขในการเข้าไปคุย สนทนา ให้เขาหรือเราได้สานสัมพันธ์กันต่อ แต่จะคงไว้เพียงความเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักเท่านั้น และเหมือนกัน เมื่อมีชายคนอื่นมาคุยกับฟ้า ฟ้าก็จะปฏิเสธ ไม่ให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร และบอกอีกว่า “มีแฟนแล้ว” และหากใครที่ทำท่าจะมาจีบ เธอก็บอกว่าขอคุยแบบเพื่อน

แม้ว่าผมกับเธอ ไม่ได้แก่อะไรมากมาย ผมเป็นเพียงชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าๆ กับหญิงสาววัยย่างเข้ายี่สิบ เรายังมีอนาคตอีกไกลในสายตาของคนอื่นๆ ทว่าวันนี้เราสองคนมองว่า เราไม่รู้เลยว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของการมีชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งพอเราตระหนักถึงมรณานุสติข้อนี้มันจึงทำให้เราสองคนรีบทำอะไรโดยเร็ว เพื่อให้เป็นต้นทุนชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเรายังไม่ได้สิ้นลมหายใจไปจริงๆ เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ไปเรื่อย 

แต่เมื่อปลายฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ผมรู้สึกผิดมากที่ผมมีเวลาทำแต่งาน ไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญในการไปพักผ่อนสุดสัปดาห์ด้วยกันกับฟ้าเลย แม้ว่าปีนี้เราจะคบกันได้แปดปีแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาใจใส่ฟ้าเลย ทั้งๆ ที่ฟ้าก็เสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อให้ผมทำงานกับสังคม ทำงานเพื่อส่วนรวม ผมจึงรู้สึกขอบคุณที่ฟ้าเข้าใจ และให้โอกาสผมทำงานที่ผมรัก ผมจึงมีความสุขทั้งกับงานและกับคนที่รัก

วันหนึ่งก่อนจะย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิปีนี้ ผมตั้งใจที่จะหาของขวัญทำมือให้กับฟ้า เพราะผมจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฟ้ากลับจากการปฏิบัติธรรมที่ต่างจังหวัด ฟ้าเริ่มรักผมมากขึ้น และทำของขวัญทำมือให้กับผมมากมายหลายอย่างและทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึก “รัก” ที่ฟ้ามีให้แก่ผม ผมดีใจมาก แม้ว่าตอนนั้นผมจะกลัวว่าฟ้าจะไม่รักผม ถ้าผมทำอะไรไม่ดี แต่นั้นก็เป็นเพียงการคิดมากของผมฝ่ายเดียว แต่สุดท้ายเมื่อเราได้ทำความเข้าใจกันเรื่องจึงผ่านพ้นมาได้ด้วยดี มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ทำให้รักของเราสองคนเติบโต และเข้มแข็งไม่สั่นคลอน ทว่าย่างเวลาผ่านมา ผมอยากจะบอกกับฟ้ามากว่าผมรักฟ้ามากเพียงใด เพราะชีวิตทั้งชีวิตของผม ไม่มีใครที่จะมีความหมายและคุณค่ามากกว่า “ฟ้า” คนนี้อีกแล้ว

เมื่อใกล้ถึงวัดหยุดสุดสัปดาห์ผมเดินทางไปตลาด ผมซื้ออาหารสำหรับทำกินกัน และซื้ออุปกรณ์เพื่อทำของขวัญทำมือให้ฟ้า ฟ้าคงจะดีใจไม่น้อยที่ผมทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบเด็กๆ ป๊อปปี้เลิฟ ให้กันและกัน ผมมีความสุขมากเลย แต่ก็ต้องแอบทำ และอ้างกับฟ้าว่าผมทำงานอยู่ ไม่มีเวลา เพียงเพราะอยากจะเซอไพร์สให้ฟ้าประหลาดใจและปลื้มกับการกระทำของผม

บอยอยู่ไหน นี่หม่าม้าเองนะ” โทรศัพท์ของหม่าม้าของฟ้า ดังขึ้น และมีเสียงปลายสายเอ่ยขึ้น
ครับ” ผมตอบด้วยเสียสั่น และตกใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความมึนงง
ตอนนี้น้องฟ้าอยู่โรงพยาบาล บอยมาหาฟ้าด้วยด่วนเลยนะ” แม่ของฟ้าบอกผม และได้อธิบายว่าควรไปโรงพยาบาลอย่างไร

ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้มาก่อนว่าฟ้าไม่สบาย ความสับสนทำให้ผมร้องไห้ ไม่รู้จะคุยกับใคร ใจของผมสั่นไหว ไม่อยู่กับตัวเองเลย ผมรีบนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปยังโรงพยาบาลเป้าหมาย....

.............. 

ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน หม่าม้าและญาติของฟ้ายืนร้องไห้อยู่ด้านหน้าห้องผู้ป่วย ผมรีบวิ่งเข้าไปถามเหตุการณ์จากหม่าม้า แล้วจึงได้รู้ว่า ฟ้าเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็กแล้ว และพอรักษาตอนช่วงเจ็ดขวบก็หายแต่ไม่รู้ว่ามันจะมากำเริบอีกในปัจจุบันนี้ ซึ่งหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ทางที่จะช่วยให้ได้คุณหมอบอกว่าต้องเปลี่ยนหัวใจ

ผมร้องไห้ น้ำตาไหล รู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้มีโอกาสบอกความรู้สึกต่อฟ้า หรือแม้แต่จะขอโทษกับเรื่องราวที่ผมเคยทำให้ฟ้าเสียใจ และที่สำคัญคือผมไม่อยากให้ฟ้าเป็นอะไรไป ชีวิตทั้งชีวิต ใจทั้งหมดใจของผม เป็นของฟ้าหมดแล้ว ผมอยากให้ฟ้ามีชีวิตอยู่ต่อ เพราะฟ้ามีความฝัน อยากเป็นไกด์ อยากเป็นนักเล่นไอซ์สเก็ต อยากเปิดร้านกาแฟ และอยากอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ช่วยเหลือคนที่ลำบาก คนที่มีความทุกข์ ฟ้าอยากรักษาทุกข์ให้คนอื่นๆ อยากช่วยเยียวยาใจให้คนที่ไร้ทางออกแห่งทุกข์

ผมไม่รู้จะทำยังไงดี จึงได้โทรหาแม่ แม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น และผมก็ได้เล่าให้แม่ฟัง ซึ่งแม่เข้าใจในความรู้สึกของผม และรู้ว่าผมรักฟ้าเพียงใด วันนี้ผมได้ทำทุกอย่างเพื่อแม่และครอบครัวหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้ทำอะไรกับฟ้าเลยแม้แต่น้อย ผมมัวทำแต่งาน ไม่มีเวลาให้ฟ้าเลย และยังพาแต่เรื่องกวนใจให้ฟ้าอารมณ์เสียอยู่ตลอด ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี

แม่บอกผมว่าตัดสินใจในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข แม่ยินดีกับทุกทางเลือกที่ผมเลือก
ส่วนหม้าม่าบอกกับผมว่าหม้าม่าก็ยินดีกับทางที่ผมจะเลือก ขอให้บอกมา ท่านจะไม่ห้าม
ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อให้ฟ้าได้อ่าน

หลังจากที่เปลี่ยนหัวใจแล้ว ผมคงนอนหลับสงบอยู่ข้างๆ หญิงสาวที่ผมรัก ไม่มีเสียงที่จะพูด ไม่ได้มองใบหน้าแสนน่ารักของฟ้า ไม่ได้สัมผัสกอดฟ้า

ผมคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง และผมขอให้รู้ไว้เลยว่าผมมีความสุขมากกับทางที่ผมเลือก และในสิ่งที่ผมทำนี้ ผมทำมันด้วยความรักและความหวังดีต่อฟ้า อยากให้ฟ้ามีชีวิตที่ทำตามความฝันในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ

ฟ้าจ๋า.....อย่าโกรธพี่นะครับ ที่พี่เลือกที่จะให้หัวใจของพี่กับฟ้า พี่บอยยังไม่โกรธฟ้าเลยที่ฟ้าไม่เคยบอกพี่ว่าฟ้าเป็นโรคหัวใจ ไม่อย่างนั้นพี่คงจะทำเรกิช่วยฟ้าแล้ว แต่พี่ก็เสียใจที่ไม่ได้ช่วยดูแลสุขภาพใจฟ้าเลย พี่เอาแต่ทำงาน มีเวลาให้คนอื่น แต่ไม่เคยมีเวลาให้กับฟ้าเลย พี่รู้ว่าการได้อยู่ด้วยกัน

เราสองคนมีความสุขมาก แม้จะทะเลาะกันบ้าง งอนกันบ้าง แต่เราก็รักและเข้าใจกันเสมอมา วันนี้พี่ซื้อของทำมือมาทำของให้น้องฟ้า แต่พี่ไม่ได้ทำ พี่ขอโทษนะครับ แต่พี่ตั้งใจจะทำหลายอย่างให้ฟ้า พี่อยากจะบอกรักฟ้า อยากจะขอโทษฟ้า อยากให้ฟ้ารู้ว่าฟ้าสำคัญกับชีวิตพี่เพียงใด จากวันแรกที่เราพบกัน จนถึงวันนี้ที่จากกัน พี่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงหัวใจของพี่ พี่มั่นคงในความรักที่มีแก่ฟ้า และรู้สึกถึงรักที่ฟ้ามีต่อพี่ตลอดมา ตอนนี้กายพี่ไม่ได้มีอยู่แล้ว ฟ้ากุมหัวใจให้ดีนะครับ ใจพี่อยู่กับฟ้าแล้ว ใจพี่เป็นของฟ้าแล้ว

นับจากวันที่เราพบกัน จนถึงวันที่เราจากกัน และวันที่พี่หลับไป ฟ้าตื่นขึ้นมาแล้ว พบกับชีวิตแห่งความเป็นจริง ใจของพี่เป็นของฟ้าแล้ว มันเหมือนนิยายน้ำเน่า แต่พี่ก็ทำมันจริงๆ อย่าร้องไห้นะจ๊ะคนดี พี่อยู่ข้างฟ้าเสมอ ไม่ว่าวันนี้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ฟ้าจะสัมผัสถึงไอรักจากพี่ได้

ฟ้าจ๋า....สานฝันของตัวเองให้สำเร็จ ถ้าหากฟ้าอยากจะรักใคร ขอให้เขาเป็นคนที่รักฟ้า และเขาต้องดูแลฟ้าได้ดีกว่าพี่นะครับ ที่สำคัญเขาต้องมีธรรมะในใจ เป็นคนดีอย่างสม่ำเสมอ และอย่าเป็นคนที่เอาแต่ทำงานๆ จนไม่มีเวลาให้ฟ้าอย่างพี่นะครับ

ขอบคุณธรรมะที่พาให้เราได้มาใช้ชีวิตรักด้วยกัน
ขอบคุณน้องฟ้า ที่เป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นญาติธรรม เป็นทุกๆ สิ่งในชีวิตของพี่
ขอบคุณที่ให้โอกาสพี่ได้รักฟ้า....

เมื่อเวลาพาให้เรามาพบกัน แต่เวลาไม่ได้พรากเราไปจากกัน พี่อยู่กับฟ้าเสมอ ฟ้าเป็นกาย พี่เป็นใจ กาลครึ่งหนึ่งซึ่งเราพบกัน มันจึงทำให้เราไม่เคยจากกันไปไหน

มองไปบนฟ้า แล้วเราจะเจอหน้ากันทุกๆ ลมหายใจนะจ๊ะ

รักฟ้า,
พี่บอย
24 กันยายน 2548

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด