Skip to main content

สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา

\\/--break--\>

ผมชอบกิจกรรมนี้มาก เพราะผมชอบการเข้าไปในป่า ทำให้ผมได้อยู่เงียบๆ กับตัวเอง และการอยู่เงียบๆกับตัวเองในป่า ถือเป็นการหาความหมายของชีวิตที่ชนเผ่าในแอฟริกา ดำเนินเป็นวิถีปกติ เพราะเมื่อมีเรื่องอะไรที่คนในชนเผ่า อยากรู้คำตอบ เขาจะไปหาคำตอบในป่า

 

หัวใจของกิจกรรมนี้ ที่ผมสัมผัสนั่นคือ ความเงียบและการอยู่กับตัวเองจะทำให้ปัญญาข้างในตัวเราบอกเราว่าเราควรทำยังไง ควรเลือกแบบไหน ที่เป็นประโยชน์และส่งผลที่ต่อตัวเรา และการเดินไปในป่าอยู่กับธรรมชาติ เป็นกระบวนการที่ทำให้เราได้บรรยากาศที่เอื้อต่อการอยู่กับตัวเองในความเงียบได้เป็นอย่างดี

 

ความเงียบที่เกิดภายในใจเราจะทำให้เราวางความคิดที่ฟุ้งซ่าน กระจัดกระจาย และปรุงแต่งลง โดยเราเพียงมีหน้าที่สังเกตใจตัวเองและเราเพียง “อ่าน” และทำความเข้าใจกับความหมายที่ธรรมชาติบอกเรา ในระหว่างสองข้างทางที่เราเจอ ในการเดินป่า

 

ผมเลือกเดินเข้าไปในป่า ที่ห่างไกลผู้คน มันเป็นเส้นทางรถเส้นเล็กๆ ที่ค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมเดินไปด้วยความรู้สึกตัว และใจมันก็เกิดความคิด ปรุงแต่งต่างๆ ทั้งกลัวเสือจะอยู่ข้างหน้า กลัวงูพุ่งมาฉก เป็นต้น ความกลัวต่างๆ ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเดินไปข้างหน้า เมื่อเห็นทางโค้งและไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นยังไง ผมจะหยุดและค่อยๆ ก้าวไปทีละนิดๆ และชะโงกหัวไปดูว่ามีอะไรหรือเปล่า และเมื่อหันไปมองด้านหลังก็รู้สึกกล้าและชื่นชมตัวเองที่เดินผ่านเส้นทางนั้นมาได้

 

ความกลัวทำให้ผมไม่มั่นใจในตัวเอง และไม่กล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ใจของผมอยู่กับอนาคต ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน นี่จึงเป็นการ “อ่าน” ความหมายแรกที่ผมได้จากการเดิน นั่นคือ เส้นทางที่เราเดินอยู่นี้ มีคนเดินมาก่อนแล้ว แต่เราไม่เห็นใคร และก็มีเพียงเราคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องพึ่งตัวเองและอยู่กับตัวเอง เพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด สิ่งที่ใจไหลไปค้นหาอนาคตกลับทำให้เกิดความคิดปรุงแต่งต่างๆ นานา และเมื่อได้ผ่านปัจจุบันมาได้ มองไปยังอดีตก็ทำให้มั่นใจและมีกำลังใจกับตัวเองว่าเราทำได้ ฉะนั้นการเดินด้วยความเพียรอดทนของตนเองจึงมีส่วนสำคัญในหนทางนี้ อย่างมาก โดยเฉพาะการเดินด้วยความรู้สึกตัว ในปัจจุบันขณะ

 

และต่อมาเมื่อผมเดินไประดับหนึ่ง ตรงบริเวณข้างๆ ทางเดิน ก็มีดอกหญ้าหลายพันต้น เรียงร้อยและโบกส่ายไปมา ราวกับว่ากำลังต้อนรับทักทายกับแขกผู้มาเยือน ผมยืนมองดอกหญ้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ และส่งความรักไปยังดอกหญ้า ที่เค้ากำลังมองผม และผมก็กำลังมองเค้า ตอนนั้นผมรู้สึกราวกับว่าผมกลายเป็นดอกหญ้าดอกหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับดอกหญ้าที่ปลิวไหวไปมา

 

ใจผมรับรู้ความรู้ที่เกิดขึ้น แต่ละขณะๆ และชั่วครู่ก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา ว่า “ฉันคือใครกัน” และผมก็ตอบกลับว่า “ฉันคือใครไม่สำคัญ แต่ ณ ขณะนี้ฉันอยู่ที่นี่ ฉันเป็นหนึ่งเดียวกับฝูงดอกหญ้า ไม่มีเขา ไม่มีเรา มันเชื่อมโยง สืบเนื่อง เกี่ยวสัมพันธ์กัน” น้ำตาผมไหลขณะที่คำตอบนี้เกิดขึ้น ผมจึงตั้งใจกับตนเองว่าชีวิตปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และหากวันพรุ่งนี้หรืออนาคตจะเอื้อให้ผมยังมีชีวิตอยู่ ผมจะใช้ชีวิตที่เป็นอยู่อย่างมีความหมายและมีคุณค่า จะสร้างประโยชน์แก่ตัวเองและคนอื่นให้มากเท่าที่จะทำได้ ยังมีคนอีกหลายคนที่เผชิญความทุกข์ในชีวิตแต่ไม่สามารถจะผ่านพ้นมันไปได้ เมื่อผมเดินทางผ่านจุดที่พอจะแบ่งปันกับคนอื่นได้ ผมจะขอแบ่งปันเท่าที่ผมมี และจะเรียนรู้จากคนอื่นๆ ให้มากขึ้น เพื่อให้ชีวิตได้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน

 

ผมยิ้มให้กับดอกหญ้าและค่อยๆ หันหลังมองไปยังทางที่เดินผ่านมา และเดินกลับไปยังห้องประชุมที่นัดหมายกันไว้ การเดินเท้ากลับไปยังที่เดิมที่ผ่านมา จิตใจของผมแตกต่างไปจากเดิม มันมีความรู้สึกนอบน้อมต่อสองข้างทางมาก ได้เห็นความงามของธรรมชาติสองฝั่ง ต้นไม้ ดอกหญ้า เห็นตัวเองเดินอยู่แต่ละก้าวๆ อนาคตและอดีตไม่มีความหมายเลย มีเพียงเวลาปัจจุบันเท่านั้นที่นำใจให้อยู่กับตัวเองได้ตามความจริงแห่งเหตุปัจจัย

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด