Skip to main content

มีนา


ถึง...น้อง พันธกุมภา


ความขี้เกียจมันไม่เข้าใคร ออกใครจริงๆ ...

แต่ตอนนี้ต้องเริ่มลุกขึ้นมาทำงานแล้ว เพราะคนที่อดทนไม่ได้เมื่อเราไม่ทำงานก็คือ “แม่” ของเราเอง


แม่ของพี่ เป็นภาพสะท้อนของคนจีนในเมืองไทย รุ่นที่ 2 ที่ยังคง ลำบาก ทำงานหนัก และถือปรัชญาพุทธ “ขงจื๊อ” ในเรื่องการทำงานว่าต้องมี ความซื่อสัตย์ ไม่เอารัดเอาเปรียบ ความขยัน อดทน และอดออม แม่มีทุกอย่างจริงๆ แต่พี่อาจจะไม่มีทุกอย่าง อย่างที่แม่มี


เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่เรามีความเหมือนและความต่าง แม้เราจะเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่สอนให้เราเป็นคนค้าขาย เราอาจจะไม่ได้อยากค้าขาย ครอบครัวสอนให้เราทำงานหนัก ในที่สุดเราอาจจะเลือกที่จะไม่ทำงานหนัก


ทำไม เราจึงแตกต่าง...


พี่คิดว่า ทางเลือกและทางเดินของเรา ย่อมเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง เลือกที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเรา เมื่อเราเข้มแข็งพอ ไม่ว่าเราจะได้รับการสนับสนุนหรือไม่ก็ตาม


เมื่อตอนที่พี่ยังเด็ก จะต้องทำงานที่เกี่ยวกับการค้าขาย คือ การช่วยที่บ้านขายของ ทำงานบ้าน และใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนๆ เด็กๆ คนอื่นๆ ไปด้วยในเวลาเดียวกัน คือเรื่องการศึกษา ...


สำหรับพี่แล้วเป็นเด็กที่ขี้เกียจอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการเรียนมาก พี่จะอ่านรอบเดียวเท่านั้น แต่ตอนที่เรียนก็จะตั้งใจเรียน เนื่องจากเรารู้สึกว่าการฟังเป็นเรื่องสนุก เราสนุกและตื่นเต้นกับการได้นั่งเรียน ได้รู้อะไรใหม่ๆ และคิดอะไรตามที่ครูเล่าให้ฟัง


แต่เท่าที่จำได้ วิชาพุทธศาสนา พี่ไม่ได้อะไรมากนัก นอกจากการสวดมนต์ เพราะสมัยนั้นมีการแข่งขันสวดมนต์ และทุกคนก็แข่งกันให้ได้เข้าประกวด เพราะคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดี เหมือนกับแข่งกันเรียน และเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของการเรียน เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในชั้นมัธยมสมัยสิบกว่าปีก่อน ... ไม่รู้ว่าสมัยนี้มีหรือเปล่า


พออยู่บ้าน ก็ต้องทำงาน พี่เลยอดรู้สึกไม่ได้ว่า ชีวิตมีแต่เรื่องงาน ช่วง 3-4 เดือนก่อนจึงคิดว่า เราน่าจะหยุดงานบ้าง หยุดเพื่อฟังเสียงลมหายใจของเราบ้าง


แต่คนที่น่าจะเข้าใจเรามากที่สุดคือ แม่กลับบอกเราว่า ... “ทำงานเถอะลูก” ... เซ็งเลย


พอมาถึงจุดนี้ พี่นึกถึงชีวิตของเพื่อนๆ ที่ต่างทำงานเพื่อหาเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิต บริโภคสิ่งต่างๆ ตามความต้องการ บางคนเป็นพยาบาล ทำงานปกติและต้องเข้าเวร เพื่อให้มีเงินพิเศษมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ดูแลครอบครัว พ่อแม่ เดือนหนึ่งทำงานไม่ต่ำกว่า 26-28 วัน วันหนึ่งทำงาน 8-12 ชั่วโมง บางวันก็ควบ 3 เวร 24 ชั่วโมง


เพื่อนที่ทำงานโรงงานอยู่ในสายการผลิต สมัยที่ยังมีการสังการผลิตค่อนข้างมาก บางคนทำงาน 2 กะ (2 ช่วงเวลา คือ 16 ชั่วโมง) บางคนทำงาน 3 กะ (24 ชั่วโมง) ถ้าวันไหนได้ทำงาน 8 ชั่วโมงก็จะรู้สึกว่าชีวิตมันโล่งๆ


ครอบครัวที่สนิทกันครอบครัวหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงานรับซื้อผลผลิตทางการประมง คือ ปลา กุ้ง จากทะเลเพื่อมาแปรรูป วันหนึ่งเขาทำงานไม่ต่ำกว่า 15 ชั่วโมง


พี่เห็นคนเหล่านี้มีเงินใช้มากมาย ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีอาจจะได้น้อยหน่อย เศรษฐกิจดีๆ ซื้อง่ายขายคล่องก็อาจจะได้มากหน่อย แต่ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อย และไม่มีเวลาใช้เงิน ไม่มีเวลากระทั่งไปเดินซื้อของกินของใช้ส่วนตัว ไม่มีเวลาที่จะขับรถที่ซื้อไว้


หลายคนเมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายที่สะสมความเหนื่อยก็นำมาซึ่งโรคภัย คือร่างกายฝืนกระทั่งไม่ไหวแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อสู้ต่อไป ที่โชคร้ายก็เป็นมะเร็ง หรือเส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากความเครียด


พี่เคยถามกับพี่สาวว่า... ทำงานเพื่ออะไร?...”

คำตอบคือ “พออายุเยอะๆ ไป จะได้สบายไง...”

เราก็คุยกันว่า “มันก็คือการพักใช่ไหม?”

เธอก็ตอบว่า “อืม...ก็ใช่”


พี่ก็เลยเอาข้ออ้างของความขี้เกียจมาบอกเขาว่า “ฉันก็พักอยู่นี่ไง ไม่ต้องรวยก็พักได้”

โชคดีที่บ้านเมืองของเราไม่ใช่ประเทศที่อาหารการกินแพงมากมาย ถ้าเรารู้จักใช้เราก็ไม่ได้อดอยากยากแค้นอะไร


เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง (ที่หลายคนอาจจะเคยฟังมาบ้างแล้ว) พี่ชอบมาก อยากเล่าให้ฟัง...


มีผู้ชายคนหนึ่ง วัยประมาณ 50-60 ปี นั่งตกปลาอยู่ริมน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ๆ สวยงาม เหมาะกับการพักผ่อนมาก เขานั่งในท่าสบายๆ เขามีกระติกใส่เหยื่อตกปลา มีน้ำไว้ดื่ม อาหารพกใส่ห่อนิดหน่อย ใส่หมวก และนั่งอยู่ใต้ร่มไม้


ผู้ชายอีกคนหนึ่งขับรถเบนซ์มาจากเมืองหลวงเพื่อมาดูที่ดินผืนนี้ แล้วเขาจะมาพัฒนาเป็นท่าเรือ รีสอร์ท และสถานที่พักผ่อนตกปลากสำหรับคนกรุง เนื่องจากเขาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์


ผู้ชายทั้งสองคนนี้อายุเท่ากัน และได้พบกัน ขณะที่ผู้ชายคนแรกกำลังนั่งตกปลาอยู่นั้นเอง

ผู้ชายคนที่สองถามว่า “คุณมานั่งที่นี่ทำไม?”

ผู้ชายคนแรกตอบว่า “แล้วคุณล่ะมาทำไม?”


ผู้ชายคนที่สองจึงเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตอนแรกเขาเติบโตมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอาชีพรับซื้อปลาจากทะเลแห่งนี้ อยู่ห่างไปไม่มากจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ ครอบครัวเขามีสะพานปลา โรงงานขนาดใหญ่ โครงการของเขาตอนนี้ก็คือจะขยายธุรกิจครอบครัวที่มีอยู่เพื่อให้มีความมั่นคงขึ้น และขยายมาทำรีสอร์ท ท่าเรือ และสถานพักตากอากาศ บนที่ๆ ยืนอยู่นี้


ผู้ชายคนแรกถามว่า “คุณทำงานหนักมากมายเพื่ออะไร?”

ผู้ชายคนที่สองตอบว่า “ผมจะได้พักตอนแก่ไง แล้วคุณล่ะ”

ผู้ชายคนแรกตอบว่า “ผมก็พักอยู่นี่ไง”




 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบอยู่กับตัวเอง เพราะมีความรู้สึกไม่มั่นคง อีกทั้งยังคิดว่าเราควรที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ บ้าง ในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมต่างๆ ที่มีในความสัมพันธ์  แต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งที่ทำงานขับเคลื่อนทางสังคมในเรื่องชีวิตทางเพศได้เข้าร่วมภาวนา หรือ Retreat ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการภาวนาเพื่อติดตามเพื่อนๆ ที่ได้ภาวนาในรุ่นต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ได้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน ซึ่งกันและกันว่าใครเป็นอย่างไร มีสุข มีทุกข์อย่างไรบ้าง
พันธกุมภา
เมื่อมีเวลาตรวจดูสภาวะจิตใจของตัวเองในช่วงนี้แล้ว ก็เหมือนกับว่าผมได้พบกันสภาวธรรมต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนไปหลายๆ ประการ มีเกิด มีดับ สลับกันไปในจิตแต่ละช่วงขณะ คือค่อยๆ รู้สึกตัวบ้างในบางครั้ง รู้ว่าเผลอ รู้ว่าหลง รู้ว่าประคอง ในอารมณ์ต่างๆ เช่น ความคิด ความโกรธ หรือแม้กระทั่งความอยาก
พันธกุมภา
ผมถามพี่ที่รู้จักกันท่านหนึ่งว่า "ที่คนทั่วไปไม่ค่อยปฏิบัติธรรมเพราะอะไร"และพี่ท่านนี้ก็ได้ตอบจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่า เมื่อก่อนเค้าไม่สนใจ  เพราะเป็นเด็กจะไม่ค่อยมีความทุกข์ แต่พอโตขึ้นแล้วไม่สามารถหาคำตอบได้ในบางคำถาม แต่ธรรมะกลับตอบได้
พันธกุมภา
ถามสวัสดีค่ะเหนื่อยจัง  นอนน้อยเลยเบลอมีคำถามมาถามน้องอีกแล้วค่ะ  คือเมื่อคืนและเมื่อหลายคืนก่อน ดูละครสาปภูษา กับสุสานภูเตศวรสองเรื่องนี้มีความเหมือนกันอยู่อย่างคือ  ย้อนยุค  ทะลุมิติ  โดยมีเรื่องวิญญาณมาเกี่ยวข้องจู่ๆ ก็มีคนถามขึ้นมาว่า  เชื่อเรื่อง ชาตินี้ ชาติหน้า ไหมทำให้พี่คิดขึ้นมาว่า เออ แล้วมันจริงเหรอ เรื่องนี้น่ะไม่รู้สิคะ  ตามความคิดส่วนตัวคือ เชี่อค่ะเชื่อ เลยไม่อยากทำอะไรไม่ดีเลย  อยากสั่งสมความดี สร้างบุญเพราะเราเห็นว่ามันสุขตั้งแต่นาทีที่ทำวันก่อนอ่านหนังสือคุณ ดังตฤณ พี่คิดว่าตามแนวคิดคุณดังตฤณ  มันก็มีจริงสิคะ ชาตินี้…
พันธกุมภา
ต่อจากการตอบจดหมายเรื่องทุกข์ใจกับคนที่ไม่ชอบเรา1 ขอบคุณอย่างยิ่งค่ะอ่านแล้วรู้สึกน้ำตาจะไหล
พันธกุมภา
ช่วงที่ผ่านมา มีจดหมายจาก คุณ พรพรรณ เขียนจดหมายมาสอบถามผม 4 เรื่องดังนี้  1. การที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนที่เขาไม่ชอบเรา หรือมีทัศนคติที่ขัดแย้งกัน  เราควรทำอย่างไร2. การแผ่เมตตา  ช่วยให้ทุกข์ที่เกิดขึ้นคลายลง ได้หรือไม่  และการแผ่เมตตามีคุณอย่างไร3. การไปปฏิบัติ  จะช่วยให้เกิดผลบุญถึงเจ้ากรรมนายเวรได้จริงหรือเปล่าคะ4. คุณน้องเต้าเชื่อเรื่องกรรม หรือไม่คะ ผมได้รับและตอบกลับดังนี้.................... สวัสดีครับ ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ผมได้แบ่งปันนะครับแต่...สภาวะของผมอาจเป็นคนอื่น…
พันธกุมภา
 คืนนี้ ดึกแล้วครับช่วงเวลาตีสามกว่าๆ ควรเป็นเวลาที่ผมจะได้นอนหลับอย่างสงบแต่ไม่รู้ทำไม? คืนนี้จึงเกิดความรู้สึกว่าอยากจะรวมเล่มบันทึก "ธรรมใจ ไดอารี่" นี้ให้เสร็จ
พันธกุมภา
ผมเขียนเรื่องนี้ตอนเพิ่งตื่น ตอนนี้ยังไม่ได้ล้างหน้า แปรงฟัน ตาก็ดูเบลอ ทำอะไรก็เบลอๆ อยู่นิดหนึ่ง ยังไม่ค่อยมีใจอยากจะทำอะไร ความขี้เกียจเป็นเพื่อนที่ไม่หนีไปไหน ยังคงยืนอยู่ข้างๆ กายผม ไม่อยากทำอะไรเลย แม้ว่าจะมีงานมากน้อยเพียงใด ผมอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงที่การอยู่เฉยๆ เพราะเวลาไม่ได้ทำอะไรก็ดีไปอีกอย่าง...บอกไม่ถูกครับ
พันธกุมภา
  ตอนนี้ผมพบว่าความอ่อนล้าทำให้เหนื่อยกับสิ่งกำลังทำอยู่ ไม่ว่างานจะสนุกเพียงใด แต่ถ้าอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตจนไม่สามารถจัดการได้ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง วิธีการเรียงลำดับความสำคัญของงานเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการมีชีวิตที่สมดุลกัน
พันธกุมภา
แม่เพิ่งโทรมาถามผมว่าวันเกิดปีนี้จะทำอะไร? และเตือนว่าอย่าลืมไปทำบุญถวายพระ แถมยังบอกอีกว่าปีนี้ อยากให้ทำทานโดยการซื้อผ้าเช็ดตัวให้กับผู้เฒ่าผู้แก่และเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผมรู้สึกดีใจที่คุณแม่โทรมา เพราะอย่างน้อยแสดงว่าท่านจำวันเกิดของผมได้ แม้ว่าผมจะไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรกับวันเกิดเพราะมันก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งสำหรับผม แต่ที่ไหนได้วันนี้เป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณแม่ เพราะท่านได้ให้การเกิดผมมาลืมตาดูโลก
พันธกุมภา
ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า 3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง
พันธกุมภา
หลังจากวันที่เริ่มบันทึกมาจนถึงวันนี้ ก็ผ่านเลยมาหลายวันแล้ว มีเรื่องราวหลายๆ อย่างเกิดขึ้นในชีวิตแต่เท่าที่สำคัญและจำได้ดีคือ ช่วงวันที่ 5 - 15 มกราคม ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ที่ทำงานสุขภาวะทางเพศประมาณ 20 คนได้เข้าอบรมภาวนาภายในและการเรียนรู้โครงสร้างทางสังคม ที่บ้านสวนธารทิพย์ ซึ่งมีพี่อวยพร เขื่อนแก้ว เป็นกระบวนกรหลัก