Skip to main content


ช่วงอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่คนรอบข้างผมต้องเสียชีวิตไปมากกว่า
3 คน คนหนึ่งเสียชีวิตด้วยการยิงตัวตาย อีกคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และคนสุดท้ายเสียชีวิตดูความชรา


การจากไปของคนรู้จักเหล่านี้ แน่นอนว่านำมาซึ่งความเสียใจ ความเศร้าโศก และมันก็ทำให้ผมคิดถึง “ความตาย” อยู่ทุกๆ ขณะ เพราะความตายนี้เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเราจริงๆ ซึ่งมันเป็นการบอกย้ำธรรมชาติของชีวิตว่าชีวิตทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง


ความไม่เที่ยงของชีวิต ที่เรารู้ว่าทุกคนเกิดมาต้องตาย ทุกชีวิตมีเกิดย่อมมีดับสิ้นไปเป็นของธรรมดา สิ่งเหล่านี้ได้รับการบอกต่อมานานหลายชั่วขณะ แต่ทำไมกันบางคนจึงไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่กลับไปใช้เวลากับเรื่องไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง หรือมัวแต่หลงเพลินไปกับกิเลสต่างๆ จนทำให้ใช้ชีวิตด้วยความประมาทและไม่ได้เตรียมตัวตายอย่างสงบ


ในหนังสือเกี่ยวกับการเตรียมตัวตายอย่างสงบของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เป็นงานที่ช่วยเราได้มาในการเตรียมตัวตาย ผมอ่านและลองมาทำกับตัวเองทุกๆ คืน คือ เวลาเข้านอนเราก็อ่านบทพิจารณาความตาย และแผ่เมตตาให้กับตัวเองและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก่อนที่จะค่อยๆ โน้มกายมาดูกายดูจิตค่อยๆ รู้สึกตัว รู้ถึงลมหายใจแผ่วเบา ลองทำไปทีละนิดๆ ก่อนนอน แล้วคืนนั้นก็นอนด้วยความอิ่มเอม ปราศจากความฝันหรือความคิดอันยุ่งเหยิงก่อกวน


เมื่อได้พิจารณาถึงความตายแล้ว ทำให้เห็นเลยว่าชีวิตตัวผมนี้ไม่เที่ยง สักวันหนึ่งต้องตายแน่นอน คำถามจึงเกิดขึ้นมาว่าเราจะตายไปโดยไม่ได้พบธรรมะกระนั้นหรือ? เกิดมาพบหนทางแห่งการพ้นทุกข์แล้วทำไมเราไม่ตั้งใจ ตั้งมั่นปฏิบัติให้มากกว่านี้?


แน่นอนว่าการปฏิบัติธรรมนั้นอาจเป็นเรื่องที่ดูยากไปสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของผม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำไม่ได้ เพราะการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันนั้นแหละคือการปฏิบัติธรรมจริงๆ การมีสติระลึกรู้กายและจิตในทุกๆขณะ อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่หลง ไม่เผลอไปตามแรงโน้มถ่วงของการปรุงแต่งต่างๆ


ในเมื่อชีวิตของคนเรามีเกิดและมีดับ สภาวะอารมณ์ต่างๆ ความคิด ความรู้สึก โลภ โกรธ หลง หรือไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ก็เป็นสิ่งที่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กล่าวคือมันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และที่สำคัญคือไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาที่จะสามารถบังคับได้


ฉะนั้นแล้วผมจึงพบว่าการมีสติระลึกรู้กายและจิตนี้ช่วยทำให้ผมจดจำสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดี ไม่ดี เป็นกุศลหรืออกุศล ต่างๆ ได้ด้วยใจเป็นกลาง ดังคำกล่าวของครูอาจารย์ที่ว่า “รู้ความปรุงแต่งโดยไม่ปรุงแต่ง” นั้นคือรู้ถึงสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น เห็นความไม่เที่ยง เห็นไตรลักษณ์ ซึ่งเพียงเท่านี้เราก็ได้ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันแล้ว


และอย่างที่ได้บอกไปเมื่อคราก่อนว่า เรามีหน้าที่ทำเหตุให้เกิด แต่ไม่ได้มุ่งไปหาผล เช่น เราอยากพ้นจากทุกข์ หรือไม่อยากเสียใจ ไม่อยากโกรธ ไม่อยากหลง แล้วเราไม่ได้ไปละหรือหนีความทุกข์ หนีความเสียใจ หรือหนีความโกรธ ความหลง เพราะนั้นเป็นการบังคับจิต ไปกดข่ม ซึ่งผิดกับหลักอนัตตา

สิ่งที่เราจะทำได้นั้นคือเอาใจมาดู มารู้กาย รู้จิต รู้ลงไปในปัจจุบันขณะ คือรู้ความโกรธ รู้ความเสียใจ รู้ความหลง แต่ไม่ใช่ปรุงแต่ว่าเรื่องที่โกรธคืออะไร เรื่องที่เสียใจคืออะไร อยู่อย่างนั้น ถ้ามัวไปคิดพิจารณาแล้วหาอะไรมาปรุงแต่งใจให้ดีขึ้น เช่น หาหนังสือมาอ่าน หาเพลงมาฟัง เพื่อให้หายโกรธ หายเสียใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ความโกรธ ความเสียใจหายไปจริงๆ แต่กลับจะทำให้สภาวะเหล่านี้เก็บซ่อนไว้ในจิตใต้สำนึกและรอวันปะทุมาในอนาคต


มาถึงตรงนี้แล้ว .....หายใจออก หายใจเข้า ผมเริ่มตระหนักรู้ชัดว่าชีวิตไม่เที่ยง สภาวะต่างๆก็ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรยั่งยืนยาวนานได้ มีเหตุ ปัจจัย ต่างกัน มีเกิด มีดับ เป็นของธรรมดา เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง


เรายังมีร่างกายและมีจิตใจในปัจจุบันขณะนี้ ถ้าได้เริ่มต้นสำรวจกายและใจของตัวเองก็คงจะเป็นต้นทุนชีวิต เป็นต้นทุนธรรมที่จะเอาไว้ติดประจำจิตไปทุกๆ ชาติ เมื่อตายไปแล้วจะได้ดีใจว่ายังตายไปด้วยใจที่มีธรรม......

 

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์