Skip to main content

ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มเข้าใจว่าชีวิตที่เกิดขึ้นมานี้มีแต่ “ทุกข์” ทั้งๆ ที่หลายเรื่องราว เราสามารถที่จะพบกับความสุขได้โดยไม่ยาก แต่นั้นอาจไม่ใช่ความสุขที่นำไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

ชีวิตอย่างช่วงวัยของข้าพเจ้านั้น มีหลากหลายเรื่องราวที่เข้ามากระทบ ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวายและบางคราก็ไม่สามารถที่จะหาทางออกไปสู่เส้นทางแห่งความสงบสุขได้อย่างแท้จริง

ความว้าวุ่นใจที่เกิดขึ้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักแล้วว่า ควรจะนำพาชีวิตของตนเองให้พบกับความสุข-สงบ-เบิกบาน อย่างเอาจริงเอาจังเสียแต่โดยพลัน

แม้ว่าที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้พาตัวเองเข้าไปสู่เส้นทางของความบันเทิงเริงใจ เที่ยวผับ เธค ยามราตรีเพื่อหาความสุข หรือแม้แต่เลือกที่จะคบกับใครสักคนเพื่อให้เขาคนนั้นได้เข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูลให้ข้าพเจ้า ได้หลุดออกจากความว้าวุ่นใจต่างๆ ที่ดำรงอยู่

การใช้ชีวิตเที่ยว เฮฮา สนุกสนานไปวันๆ นั้น เป็นเพียงการสร้างความสุขที่ใจในชั่วขณะเท่านั้นเอง หากใช่เป็นการพบกับความสุขที่แท้ ผู้เป็นนิรันดร์ได้

เมื่อช่วงหนึ่ง หญิงสาวผู้เป็นดั่งพี่-เพื่อน-แฟน ได้ชวนให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมปฏิบัติธรรม โดยการเจริญวิปัสสนา เป็นเวลานานกว่า 10 วัน ในสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง  โดย 10 วัน ณ ที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะพูดคุยกับใคร ไม่สามารถที่จะใช้โทรศัพท์ หรือแม้แต่การจดบันทึกได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ครูวิปัสสนาได้ฝึกอบรมคือการเฝ้าดูลมหายใจของตนเอง หรือ “อานาปานสติ” และการตามดูอารมณ์ทางใจและกายที่ปรากฏขึ้นโดยใช้ความปล่อยวางเป็นฐานในการปฏิบัติ ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า “วิปัสสนา” โดยเป็นการปฏิบัติตามแนวมรรคมีองค์ 8

ตลอดระยะเวลา 10 วันนี้ ข้าพเจ้า ได้เฝ้าดูจิตของตน ได้รู้และเห็นกิเลสที่มีอยู่ภายในตน และยังได้ฝึก “อุเบิกขา” หรือการปล่อยวาง ทำใจให้เป็นกลาง เมื่อรู้สึกเกิดเวทนาต่างๆ ในร่างกายหรือจิตกระสับกระส่ายไปมากระตาม

เมื่อพูดถึงจิตแล้ว ก็เหมือนดั่งกบ ที่ชอบกระโดดไปมา จิตของข้าพเจ้าไม่ได้นิ่งอยู่กับที่ หากแต่กระโดดไปมาเหมือนกบ แต่เมื่อได้ลับจิตให้คม ฝึกสมาธิให้แน่วแน่แล้ว กบน้อยๆ ตัวนั้น ก็พลันหยุดกระโดดแต่สามารถอยู่ในท่าที่แน่นิ่งได้เป็นเวลานาน

จิตที่นิ่งเป็นอารมณ์หนึ่งของจิตที่เกิดขึ้น เมื่อจิตนิ่งแล้ว หาใช่เราจะรู้สึกชอบ หรือหากจิตกระสับกระส่ายไม่มีสมาธิ หาใช่เราจะรู้สึกไม่ชอบ หากแต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือ “การเฝ้าดู” อย่างอุเบกขา ไม่ตัดสิน ปล่อยวาง ทำใจเป็นกลาง เพื่อไม่สร้างโลภะ โทสะ และโมหะให้เกิดขึ้นอีก

ในช่วงระยะเวลา 10 วันที่ข้าพเจ้าไปเจริญอานาปานสติ-วิปัสสนา-เมตตาภาวนา แล้วนั้น ข้าพเจ้าพบว่าหนทางที่จะทำให้พ้นทุกข์หรือพบกับสุขที่แท้จริงคือการเดินตามแนวทางนี้ นี่เอง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้โปรดแก่ศิษย์ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มาตั้งหลายร้อยหลายพันปี

(ข้าพเจ้ามีความสุขใจยิ่งนักที่ได้พบกับธรรมะในห้วงที่เป็นมนุษย์ และสามารถเริ่มปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุดได้ในภพนี้ หรือหากไม่ถึงก็เป็นทุนสำรองไว้ในภพหน้า)

ดังนี้แล้ว การทำใจให้เป็นไปตามธรรมนั้น ย่อมสามารถทำได้ ไม่ว่า “คน”นั้นๆ จะอยู่ในเพศ ในเชื้อชาติ ศาสนา วรรณะ หรือวัยใดก็ตาม “ทุกๆ คน” สามารถเข้าถึงธรรมอันเป็นเครื่องยึดเหนียวแห่งจิตใจตามแต่จริตที่เหมาะสมและสอดรับกับธาตุของตนเองได้

ทั้งนี้แล้ว แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในเพศบรรพชิต หรือไม่ได้อยู่ในวัยที่อายุมากทางโลกและสังคม แต่ข้าพเจ้าได้ตั้งมั่นแก่ใจตนว่าด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าที่ผ่านมา ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นหนทางที่จะก้าวไปสู่การพ้นทุกข์อย่างแท้จริง และ ข้าพเจ้าระลึกได้กับใจตนเองว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ข้าพเจ้าได้พบกับธรรมะนั้นถือเป็น “ธรรมะจัดสรร” แก่ข้าพเจ้าผู้มืดบอกทางปัญญา ผู้ที่ยังมีความกลัว ความโกรธและความหลงอยู่ในตน

“ธรรมตามใจ” แห่งนี้ จึงเป็นดังพื้นที่การได้สนทนาและแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลายในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ การปฏิบัติเจริญสติในแนวทางต่างๆ การเจริญวิปัสสนา การเมตตาภาวนา หรือแม้แต่เรื่องกฎแห่งกรรม หลักธรรม คำสอน ของครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่ได้เข้าถึงสัจธรรม เพื่อการเรียนรู้ของท่านและข้าพเจ้าร่วมกัน

ข้าพเจ้าใคร่ขอบอกแก่ท่านทั้งหลายก่อนว่า ประสบการณ์ทางธรรมของข้าพเจ้านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตของต้นไม้นั้น ข้าพเจ้าคงเปรียบดั่งเช่น ต้นไม้กล้าเล็กๆ ที่เริ่มเติบโตทีละนิดๆ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่จะโตหรือจะไม่โต ก็อยู่ในทางเดินของชีวิตนี้  หากภาษาที่ข้าพเจ้าใช้ หรือ คำที่นำมาเขียนไม่ถูกต้อง ได้ขอให้ท่านทั้งหลายที่เข้าใจดี ได้ช่วยอธิบายและบอกเล่าประสบการณ์ ความรู้ให้ด้วย

เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้เข้าใจสิ่งต่างๆ มากขึ้น
เพื่อการทำใจให้ตามธรรมของข้าพเจ้า
เพื่อธรรมที่นำใจ สู่การพ้นทุกข์และพบกับสิ่งนั้นอันประเสริฐสุด....

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
ชีวิตนี้แสนสั้นและใจก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เช้าสายบ่ายค่ำจิตใจไม่เหมือนเดิม กายก็มีทั้งสุขและทุกข์แปรปรวนไปตามธรรมดา ชีวิตแต่ละวันจึงแสนจะสั้นและดูแล้วไม่เที่ยงเอาเสียเลย จนบางครั้งรู้สึกกลัวว่าจะไม่ได้ทำอะไรก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป จึงต้องใคร่ครวญคิดคำนึงอยู่เสมอๆ ว่าตั้งแต่เกิดมามีอะไรที่ตัวเองยังไม่ได้ทำบ้าง และก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตนี้เพื่อลงมือทำสิ่งนั้นอย่างจริงจังไม่ใช่แค่คิดและปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
พันธกุมภา
เร็วๆ นี้ผมและญาติธรรมกำลังร่วมกันดำเนินการจัดพิมพ์ธรรมใจไดอารี่ ฉบับธรรมทาน ซึ่งพี่ๆ ญาติธรรม ทุกๆ คน ที่ได้มาพบเจอ รู้จัก สนทนาธรรมกัน ได้ช่วยเหลือ เกื้อกูล ให้คำปรึกษา แนะนำต่างๆ มากมาย และเมื่อมีผู้เสนอให้ทำ ธรรมใจไดอารี่ขึ้น
พันธกุมภา
สำหรับผมกับแฟน เราทั้งสองคบกันด้วยเหตุแห่งความศรัทธาที่มีต่อกัน ในวันที่เราเจอกันครั้งแรก แม้ไม่ได้รู้สึกอยากจะได้มาครอบครองแต่ด้วยความที่เธอเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่สนใจในทางธรรม ทั้งการถือศีล และการปฏิบัติ ทำให้เราทั้งสองได้สนทนาและแบ่งปันการภาวนาของกันและกันและก็ได้คุยกันเรื่อยมา
พันธกุมภา
วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก
พันธกุมภา
การได้สังเกตจิตใจของตัวเองตามความเป็นจริงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่าจิตใจนี้มีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไปมาตามเหตุปัจจัยเงื่อนไขชีวิต แล้วยังมีปกติไหลลงสู่ที่ต่ำ ไปสู่ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ความโกรธ ขุ่นเคือง หงุดหงิด ความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขาดสติ เผลอหลงใหลไปกับโลกของความคิดและสิ่งภายนอกใจ
พันธกุมภา
คำอวยพรจากเพื่อนๆ พี่น้อง หลายๆ คน ส่งมายังผมหลายฉบับ ทำให้เกิดความปีติยินดี ที่ได้รับคำอวยพรอย่างยิ่ง และผมก็ได้ตอบกลับไปยังเพื่อนๆ พี่น้อง ทั้งที่ส่งมาและไม่ได้ส่งมา อีกหลายๆ คน การให้พรจึงเสมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้กันและกันรู้ว่ายังคงระลึกถึงกันอยู่เสมอ
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น
พันธกุมภา
  ในการภาวนาบ่อยครั้งนักที่ผมมักจะได้ยินคนอื่นๆ มาเล่าให้ฟังทำนองว่า สถานที่นี้ไม่ดีเลย ไม่เหมาะที่จะภาวนาเลย เสียงก็ดัง คนก็เยอะ ไม่มีที่ ไม่มีทางเดินจงกรมหรือนั่งปฏิบัติเลย เพราะมองว่าการที่จะภาวนาได้นั้นจะต้องไปในสถานที่ที่มีรูปแบบ เช่น มีทางให้เดินจงกรม มีเบาะให้นั่งภาวนา เป็นต้น
พันธกุมภา
ปลายเดือนตุลาคม 2552 นี้ ผมได้มีโอกาสไปภาวนากับพี่ๆ ญาติธรรมเชียงใหม่ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ซึ่งพวกเราไปกัน 4 คน ได้แก่ พี่เอ้ พี่ยา พี่นา และผม ซึ่งผมรู้จักพี่ๆ ผ่านทางการสนทนาในอินเตอร์เน็ตและทุกๆ คนก็ภาวนาในแนวดูจิตเหมือนๆ กัน
พันธกุมภา
บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้
พันธกุมภา
ในแต่ละวันชีวิตคนเราก็มีเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนกัน ไม่มีใครมีเวลามากหรือน้อยไปกว่ากัน ทว่าอยู่ที่ว่าใครจะจัดสรรเวลาให้กับตัวเองมากน้อยเพียงใด ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และอื่นๆ อีกมายมาย ซึ่งการจัดระดับความสำคัญของภารกิจระหว่างวันแต่ลัอย่างนื้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยให้วันแต่ละวันผ่านไปอย่างมีคุณประโยชน์
พันธกุมภา
โดยปกติแล้ว ผมมักจะเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่กับที่ เป็นคนที่ชอบเคลื่อนไหวตัวเองไปๆ มาๆ ดังนั้นการเจริญสติด้วยการรู้สึกที่กายและใจเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมานี้ จึงเป็นการภาวนาที่ทำให้ผมถนัดและสามารถรู้สึกตัวได้บ่อยที่สุด