Skip to main content

บ่อยครั้งที่รู้สึกตัว และอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นภายในใจ มันยิ่งทำให้เห็นว่าเราสามารถตามรู้ ตามดูสภาวะต่างๆ ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวก หรืออารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้นภายในใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีหน้าที่เหมือนกันคือ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่สามารถควบคุมหรือบังคับบัญชาได้


บางทีในขณะที่ดูจิตนี้ เมื่อใจเกิดสภาวะด้านบวกขึ้นมา เมื่อสติไปรับรู้ ก็มักจะอยากให้มันเกิดขึ้นอีก อยากให้มีสติเกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะจะได้ไม่ต้องทุกข์ หรือบางครั้งที่เกิดความทุกข์ เกิดอารมณ์ด้านลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อารมณ์โกรธ เคือง หงุดหงิด เสียใจ เป็นต้น ก็ไม่อยากให้เกิดอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอีก เพราะมันเป็นอารมณ์ฝ่ายลบที่อาจทำให้เราไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น


ผมเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือบททดสอบของจิตใจเรา คือ อารมณ์ต่างๆ เหล่านี้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่บ่อยครั้งเมื่อเราเกิดอารมณ์ที่ไม่ชอบใจเราก็มักจะปฏิเสธ หรือกดข่มมันไว้ไม่ให้มันแสดงตัวออกมา เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมันจะทำให้เรากลายเป็นคนคิดไม่ดี คิดในแง่ร้ายกับคนอื่น กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีไม่ได้


ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองไม่ค่อยโกรธใคร เวลาที่ดูใจตัวเองช่วงแรกๆ จะพบว่าตัวเองมีตัวหลงและตัวฟุ้งมากกว่าตัวอื่นๆ แต่พอดูไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวันก็พบว่าในตัวเอง ยังมีตัวร้ายๆ อีกหลายตัวที่ซ่อนอยู่ ทั้งความอยาก ความโกรธ ขุ่นเคืองใจ ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้นี้เป็นตัวร้ายที่ผ่านเข้ามาให้ได้เห็น และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็รู้สึกเลยว่าตัวเองยังมีอารมณ์ต่างๆ เหล่านี้อีกมากมาย และเมื่อมีเหตุปัจจัยเข้ามากระทบ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นและดับลงไปตามกาลเวลา


ช่วงแรกๆ ที่เกิดสภาวะตัวร้ายๆ โผล่ขึ้นมา ผมมักจะไม่ชอบ จะปฏิเสธ และกดข่มมันไว้ เพราะความรู้สึกเหล่านี้อาจทำให้เรามองคนในแง่ร้ายและสามารถเห็นโลกในมุมบวกได้ แต่ทว่ายิ่งห้าม ยิ่งปฏิเสธ มันเท่าไหร่ ใจก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถที่จะผ่านมันไปได้ กลายเป็นการไปบังคับ แทรกแซงจิตใจด้วยรู้ตัว หรือบางทีแทนที่จะตามรู้ ตามดู แต่กลายเป็นทำผิด ที่ไป ตามละ ตามล้าง ตัวร้ายๆ เหล่านี้


การตามรู้ตามดู มาเกิดขึ้นเมื่อใจยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ว่าจิตใจอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเมื่อผ่านมาเกิดขึ้นก็สามารถผ่านไปได้ เพียงเราทำหน้าที่แค่รู้ แค่ดู โดยไม่เข้าไปเพ่ง จ้อง หรือ ไปทำอะไรให้มันเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นที่จิตไปรู้สึกระลึกได้ ก็ดับลง หรือหากไม่ดับก็ไม่เป็นเราเราก็เพียงรู้ว่ามันยังดำรงอยู่ หรือหากมันยังไม่หายแล้วเรารู้สึกไม่ชอบก็มารู้ทันใจปัจจุบันที่สุดที่เกิดตัวไม่ชอบนี้ขึ้นมา


ตัวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ เป็นอาการของจิตที่เกิด ซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นนิสัยเดิมของจิต หรือเป็นเพราะมีเหตุปัจจัยเข้ามากระทบ และเมื่อเรารู้สึกถึงการมีอยู่ของอารมณ์ต่างๆ โดยไม่ปฏิเสธ ไม่หนี ไม่ตามละ ตามล้าง แต่แค่รู้ แค่ดู โดยไม่เพ่ง จ้อง หรือประคอง เห็นมันตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่เกิดเป็นอาการของจิต เป็นอารมณ์ ไม่ใช่ตัวเรา และไม่สามารถบังคับ ควบคุมได้ มีความเป็นอนัตตานี้เอง


ทั้งนี้อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะเห็นตัวร้ายๆ เกิดขึ้นในใจตนเพียงใด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เมื่อเราเห็นมันบ่อยๆ แสดงว่าเรามีสติรู้สึกตัวได้บ่อยๆ เมื่อรู้แล้วก็จบลงที่รู้ไม่ตามไปทำอะไรเพิ่มเติม เริ่มต้นใหม่ในทุกๆ ครั้งที่รู้ ส่วนการกระทำทางกาย วาจา และท่าทีต่างๆ ก็ให้แสดงออกต่อคนอื่นด้วยความเมตตาและกรุณาต่อกัน

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์