Skip to main content

บ่อยครั้งที่การเจริญสติของใครหลายคนติดอยู่กับอารมณ์คือหลงไปแช่อยู่กับอารมณ์นานจึงทำให้เกิดการเผลอยึดมั่นในอารมณ์นั้น กลายเป็นติดหลุม เผลอลงไปแช่ จะรู้สึกมัวๆ หรือเผลอไปแทรกแซง จนยากยิ่งนักที่จะรู้สึกตัวทัน ทั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านแนะไว้ว่าอาจเป็นเพราะจิตยังไม่ถึงฐานหรือจิตยังไม่ตั้งมั่น


สำหรับผมแล้วเหตุการณ์ทำนองนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อเผลอไปกับอารมณ์ราคะ ทำให้ใจไม่สามารถหลุดจากสภาวะนี้ได้ เผลอไปแช่อยู่เป็นเวลานาน และรู้สึกมัวๆ นัวๆ เห็นไม่ชัด ตัดไม่ได้ หรือแม้ว่าความโกรธจะเป็นตัวที่หยาบใหญ่ที่เห็นได้ชัดแต่บางครั้งก็จะรู้สึกว่าใจจะติดยึดไปเหมือนกัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีแรงของสมาธิมาช่วย


เพราะคิดว่าการเจริญสติในชีวิตประจำวันก็น่าจะพอให้รู้กายรู้ใจตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับผมจะยาก เพราะในแต่ละวัน ต้องทำงานพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในที่ทำงาน ห้องประชุม ค่ายจัดกิจกรรมต่างๆ ก็มักจะเผลอไปคิดอยู่นานกว่าจะรู้สึกตัว และเมื่อมาดูกายดูใจตัวเองก็จะพบว่ามันมีลักษณะมัวๆ เห็นไม่ชัด และใจจะแห้งๆ ไม่ค่อยรู้ ตื่น เบิกบานเท่าใดนัก


สิ่งที่ช่วยทำให้ใจตั่งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู เพื่อช่วยให้จิตสามารถเห็นอารมณ์ทางกายและใจได้อย่างรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่เผลอไปแทรกแซงหรอืบังคับใจ ก็มีเหตุอยู่หลักๆ เช่น การทำสมถะภาวนา โดยการทำใจให้สงบตั้งมั่นในอารมณ์ สำหรับผมใช้อานาปานสติ บางครั้งก็บริกรรม บางครั้งก็ไม่บริกรรม แล้วแต่ว่าจิตตอนนั้นพึงใจหรือชอบแบบไหน แล้วก็ได้ทำสมถะภาวนาโดยการมีสติทุกๆ ลมหายใจเข้าออก และรู้สึกตัวไปเฉยๆ ให้ใจอยู่กับอารมณ์ที่เกิดในแต่ละขณะๆ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นการพักจิตและเสริมกำลังให้จิตตั้งมั่น ถอนออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดูก็พอ หรืออีกแบบหนึ่งคือ หากใจรู้ไม่ชัด ก็ให้ดูจิตลงไปเลยว่ารู้ไม่ชัด หากรู้มัวๆ ก็แค่รู้ไปว่ารู้มัวๆ เพียงเท่านี้ใจก็จะเกิดสมาธิตั้งมั่นชั่วขณะ ซึ่งสมาธิชั่วขณะนี้เองจะช่วยให้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดู


สำหรับผมมักจะใช้วิธีแรกในการภาวนาในรูปแบบตอนก่อนนอนและตอนตื่นเช้า ขณะที่วิธีหลังจะใช้ในขณะระหว่างวันของตนเอง ทั้งนี้เพราะไม่สามารถแยกได้ว่าอย่างใดดีกว่ากัน เลยทำทั้งสองอย่างไปตามเหตุเงื่อนไขที่มีของชีวิต เมื่อใจตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูแล้ว หากใจเผลอไปคิด หรือ เกิดอารมณ์ อาการต่างๆ ขึ้น ก็จะมีสติรู้สึกตัวเท่าทันและวางอารมณ์อาการนั้นๆ ได้ ทำให้เกิดสติเป็นขณะๆ


ทั้งนี้หากใจตั้งมั่นด้วยการทำสมถะแล้วเมื่อถอนจากสมาธิออกมาอยู่กับอารมณ์ปกติตรงจุดเปลี่ยนนี้เองจะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของจิตได้ชัดเจนมากทำให้เห็นความไม่เที่ยงและเป็นอนัตตาของจิต หรือใช้จิตที่ตั้งมั่นนี้ดูรูปที่เคลื่อนไหว จุดตรงนี้ถือเป็นนาทีสำคัญในการดูสภาวะที่สามารถเห็นไตรลักษณ์ของรูปและนามที่แปรเปลี่ยนอย่างชัดเจน


ครูบาอาจารย์มักเตือนว่า
การภาวนาทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเป็นของที่ต้องดำเนินไปพร้อมๆ กัน ไม่ควรทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง (และบางครั้งจิตก็ไหลไปเป็นสมถะและเป็นวิปัสสนาโดยที่เราเองก็ไม่สามารถบังคับควบคุมจิตได้ เพราะจิตเป็นอนัตตา) สองสิ่งนี้เป็นเสมือนที่พึ่งพิงอาศัยหนุนเสริมแรงของกันและกันเพื่อให้เกิดใจที่ตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูและเกิดปัญญารู้แจ้งในความจริงของกายและใจและคลายความยึดมั่นถือมั่นในอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จนเข้าถึงความจริงสูงสุดในเบื้องปลาย.....


 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์