Skip to main content

วันธรรมดาวันหนึ่ง ชีวิตประจำวันก็ผ่านไปด้วยเหตุปัจจัยเหมือนเดิม มีประชุม ทำค่าย อบรม เดินทางจัดกิจกรรมตามจังหวัดต่างๆ ได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตา มีโอกาสได้สนทนากันตามเรื่องราวที่แตกต่างกันไป แต่ข้างในใจกลับเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา เบื่อหน่าย ไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนัก

\\/--break--\>

ช่วงนี้ผมมีความรู้สึกเบื่อและว่างเปล่า จะมีความสุขก็ไม่สุด จะทุกข์ก็ไม่สุด เหมือนมันครึ่งๆ กลางๆ ใจมันโหรงเหรง บอกไม่ถูกครับ บางครั้งรู้สึกตัวแล้วมันก็กลับไปทุกข์ต่อ เห็นร่างกายและจิตใจ มีแต่ความทุกข์ บ่อยครั้งที่ยังเจือไปด้วยความไม่ชอบใจและยัง “เป็น” ผู้เบื่อผู้ทุกข์อยู่เสมอๆ ใจยังแอบไม่เป็นกลางต่อสภาวะที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก


ผมดีใจที่มีกัลยาณมิตรที่ร่วมภาวนาทั้งครูบาอาจารย์ตลอดจนพี่ๆ เพื่อนๆ อีกหลายคน ที่ได้พูดคุยแบ่งปัน เรื่องราวและสภาวะที่เกิดขึ้น ผมค่อนข้างตกใจกับตัวเองเพราะไม่เคยทุกข์ติดต่อกันหลายวันแบบนี้มาก่อน ทั้งที่สิ่งแวดล้อมภายนอกมีแต่ความสนุกสนาน และก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความทุกข์ใจอะไร


ความกังวล ลังเล สงสัยเกิดขึ้นตามมามากมาย เวลาผ่านไปเกือบอาทิตย์ ที่รู้สึกเบื่อหน่าย อยากจะไปให้พ้นเสียจากโลกนี้ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากภาวนา ใจไม่อยากจะแสวงหาอะไรอีกแล้ว เหมือนแต่วันละตื่นขึ้นมาก็นับหนึ่งใหม่และก็เจอแต่ทุกข์ทั้งทางกายและทางใจอยู่เสมอๆ


เมื่อมาถึงจุดนี้ก็เริ่มเข้าใจว่าแท้แล้วความทุกข์ที่เกิดขึ้นนี้ ก็เป็นเพียงปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นมา เพื่อให้เราได้เห็นความรู้สึก ได้เห็นจิตใจเพิ่มมากขึ้น แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าเวลาภาวนาเราต้องรู้ ตื่น เบิกบาน แต่ทำไมเราจึงเจอแต่ทุกข์ทุกๆ วัน ซึ่งนั้นก็เพราะเราไปติดอยู่กับสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน จนลืมไปว่ากายและใจของเรานั้นมีธรรมชาติแปรเปลี่ยนไม่คงที่ บังคับควบคุมไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อเราไปอยากให้เบิกบานก็ทำไม่ได้ เพราะความจริงตอนนี้ของจิตใจเป็นอีกแบบหนึ่ง จะบังคับให้เบิกบานก็ไม่ได้ จะกลายเป็นการแทรกแซง


สิ่งที่จะพาให้ผ่านช่วงนี้ไปได้คือ ความอดทนที่จะเผชิญกับสภาวะต่างๆ โดยการยอมรับความเป็นจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่หลงไปยินดี ยินร้าย หรือ ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “ให้รู้ซื่อๆ” หรือ “ให้เห็นความทุกข์แต่ไม่เป็นผู้ทุกข์” สิ่งต่างๆ ที่จำมาจากครูบาอาจารย์ จักเกิดผลปรากฏได้ก็คือการลงมือปฏิบัติจากเราเอง เพื่อให้เข้าใจสัจธรรมภายในกายใจที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง เราจึงรู้และเห็นได้ด้วยตัวเอง


เมื่อรู้สึกตัวแต่ละขณะและเริ่มนับหนึ่งใหม่ในทุกๆ ครั้ง จะพบว่ากายและใจไม่เหมือนเดิมเลยสักวัน สักเวลา มีและไม่มีทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ แต่สิ่งที่เกิดและยังคงอยู่ก็คือ “ความทุกข” ในทุกๆ วันนี้แหละครับ ที่มีให้เห็นอยู่เสมอๆ และคงจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน

 

 

 

บล็อกของ พันธกุมภา

พันธกุมภา
มีเรื่องหนึ่ง ที่อยากเตือนตัวเองมากๆ นั่นคือว่านักภาวนาหลายๆ คน พอภาวนาไปแล้ว ก็เริ่มคิดว่าเป็นนักภาวนา บางทีเราก็หลงไปสร้างภาพความเป็นคนดีขึ้นมาทันที จนลืมนึกถึงไปว่าเราภาวนาเพื่อเห็นความจริง และความจริงนี้ก็เป็นความจริงธรรมดาของกายและใจเท่านั้นเอง
พันธกุมภา
ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมา ผมตั้งใจอธิษฐานในการภาวนาในรูปแบบอิริยาบถ เดิน ยืน นั่ง หรือ “เนสักชิก” ซึ่งเป็นธุดงควัตร นั้นหมายความว่าช่วงกลางคืนผมจะไม่นอนหลับ แต่จะเจริญสติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่หัวค่ำจนถึงช่วงสว่าง และใช้ชีวิตต่ออย่างปกติ
พันธกุมภา
สำหรับเรื่องป่าเขา มีเรื่องหนึ่งที่ผมจำได้ ตอนนั้นในการเข้าร่วมคอร์สภาวนาแห่งหนึ่ง อาจารย์ผู้นำกระบวนการ ได้เชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมทุกคน ได้ร่วมหาคำตอบของชีวิตโดยการเข้าไปในป่า และอยู่ตรงนั้นเพื่อหาคำตอบให้กับชีวิตของตัวเอง โดยการอยู่เงียบๆ และอยู่กับตัวเองคนเดียวให้มากที่สุด ไม่พูดไม่คุยกับใคร และรอคำตอบที่เกิดขึ้นในใจของเรา
พันธกุมภา
ชีวิตในการอยู่ท่ามกลางขุนเขา ป่าไม้ ร่มไพร ลำธาร เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้มีอากาสเฝ้ามองใจของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง เป็นบรรยากาศที่เห็นอาการต่างๆ เกิดขึ้น แปรเปลี่ยนไป ตามการปรุงแต่งของอารมณ์และสิ่งที่เข้ามากระทบภายนอก ทั้งการดูผ่านตา ได้ยินผ่านหู ได้กลิ่นผ่านจมูก ก็ตาม
พันธกุมภา
ผมชอบเดินทางไปในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเพราะจะทำให้จิตใจตัวเองเกิดอารมณ์ต่างๆ มากมาย ทั้งที่ไม่ค่อยจะเกิด เช่น ความขุ่นเคืองใจในการตากแดด ความกลัวจากการเดินในป่าช้า ความเหนื่อยจากการเดินหลงทาง เป็นต้น ซึ่งการหาสิ่งใหม่ให้ใจได้รู้ได้เห็นนี้จะช่วยให้เห็นสภาวะต่างๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ถือเป็นอุบายหนึ่งในการภาวนา
พันธกุมภา
การเจริญสติในช่วงที่อยู่ที่วัดป่าสุคะโต ภายหลังจากผ่านบททดสอบแรกเรื่องการเดินจงกรมที่ผมมัวแต่ไปตั้งท่าว่าอยากรู้อยากดูสภาวะแล้ว ก็ได้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นว่าตัวเองนั้นเผลอไปจ้องมองเสียนาน
พันธกุมภา
การเดินทางมาเจริญสติที่วัดป่าสุคะโตในช่วงก่อนเข้าพรรษานี้ แม้ว่าที่พักจะไม่เพียงพอแต่ผมก็ได้นอนด้านบนศาลา ซึ่งมีผู้คนมาจากหลายๆ ที่มาร่วมเจริญสติ และยังมีคณะผ้าป่าที่มาร่วมทอดผ้าป่าอีกด้วย ครานี้ที่วัดจึงแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ในวัยเด็กเล็ก ไปจนถึงผู้สูงอายุ
พันธกุมภา
วันเข้าพรรษาปีนี้ผมมีความตั้งใจกับตัวเองที่จะภาวนาให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยการเจริญสติในรูปแบบอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความอดทน พากเพียรให้กับตัวเอง ในการมีสติสัมปชัญญะมากยิ่งขึ้นกว่าชีวิตปกติที่ผ่านมา
พันธกุมภา
 สวัสดีประชาไท สวัสดี ผองน้องพี่ ประชาไทสบายดี กันไหม ให้ถามหาได้พบกัน แบ่งปันธรรม แต่นานมาขอขอบคุณ วิถีพา เราพบกัน
พันธกุมภา
  เรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว, ปลายฝนต้นหนาว อากาศร้อนระอุไปทั่วแผ่นฟ้า ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คนเดียวมานานแล้ว เพราะหน้าที่การงานที่มากมาย ทำให้ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของผมเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะผมมุ่งแต่จะทำงาน แต่ไม่ได้มีโอกาสได้ดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย ผมทำงานที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง เราทำงานเพื่อสังคม มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นคนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดี งานที่เราทำเป็นงานเพื่อส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของคนอื่น ซึ่งนั่นทำให้ผมต้องมีเวลาให้กับงาน ให้กับคนอื่นมากกว่าการดูแลตัวเองและการดูแลคนที่ผมรัก
พันธกุมภา
ชีวิตเกิดมาหนนี้ สิ่งที่ต้องการสูงสุดคืออะไร? คำถามนี้ ถามแล้ว ถามอีก ใจคอยถามอยู่ตลอดเวลาว่าต้องการอะไร ปรารถนาสิ่งใด ทำไมยังไม่มุ่งไปทางนั้นให้เต็มที่ ไยจึงกลัวที่จะเลือก ที่จะตัดสินใจ แม้ว่ารู้และเห็นว่าความน่ากลัว สังเวช อนาถใจของการเวียนว่ายนี้มีมากน้อยเพียงใด แต่เหตุใด ใจจึงไม่เคยหลุดออกจากสมมุติมากมายที่เกาะกุมเราไว้
พันธกุมภา
ช่วงหลังๆ นี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับญาติธรรมกัลยาณมิตรหลายๆ คน ซึ่งแต่ละคนก็เจอสภาวะจิตที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการภาวนาที่แตกต่างกัน ตามจริต ตามเหตุ ปัจจัยของแต่ละคน ทำให้แต่ละคนเจอกับสภาวะต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน และมีความรู้ ตื่น เบิกบาน ที่มากมายคละกันไป กัลยาณมิตรที่ร่วมสนทนากันนี้มีอยู่ในหลายวัย หลากอาชีพ และมีความสนใจในการภาวนาที่แตกต่างกัน บางคนมีปัญหาเรื่องความรัก ปัญหาครอบครัว ปัญหากับที่ทำงาน ปัญหากับการเรียน และก็ล้วนแต่มองเห็นว่าการภาวนาโดยการเจริญสติรู้กายรู้ใจในชีวิตประจำวันนี้จะทำให้ตัวเองได้เข้าใจความทุกข์และพ้นจากความทุกข์